บทที่ 117 เงาตื่นขึ้น!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 117 เงาตื่นขึ้น!

สวี่ชิงเห็นภาพเหล่านี้ หนึ่งหมัดซัดลงไป แต่ผนังด้านนอกเจดีย์นี้ก็แข็งแกร่งเหลือเกิน และยังมีเกราะคุ้มกันชั้นหนึ่งแผ่ออกมาสลายพลังหมัดของสวี่ชิง

เพียงแค่เพราะค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่บนน่านฟ้าเกาะเผ่าเงือกเวลานี้ ทำให้พลังบำเพ็ญทั้งหมดรวมถึงพลังจากภายนอกล้วนถูกสะกดลงไปที่ระดับรวมปราณ เจดีย์สร้างฐานนี้ก็ไม่เว้น เกราะคุ้มกันถูกลดทอนลงไปอย่างรุนแรง เวลานี้แม้จะสลายพลังหมัดของสวี่ชิงได้ แต่ก็ถูกทำให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน

สวี่ชิงมองภาพนี้ ในดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ เขาไม่อยากจะเสียเวลาเปล่า มือขวาจึงทำปาง เรือเวทข้างๆ ส่งเสียงครืนครันเปลี่ยนทิศทาง พุ่งกระแทกที่นี่อย่างรุนแรงทันที

ระดับความแข็งแกร่งของเรือเวทสวี่ชิงเทียบได้กับระดับสร้างฐาน พูดได้ว่านอกจากเรื่องที่ไม่มีต้นกำเนิดพลังระดับสร้างฐานแล้ว นี่คือเรือเวทระดับสร้างฐานลำหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

เวลานี้เมื่อถูกเรือเวทกระแทกอย่างแรง เกราะคุ้มกันนอกเจดีย์สร้างฐานแตกสลาย พังทลายทันที และผนังด้านนอกของเจดีย์สร้างฐานก็แตกร้าวจากการแรงปะทะของเรือเวทสวี่ชิง

สวี่ชิงเก็บเรือเวท พุ่งเข้าไปในรอยร้าวทันที เหยียบเข้าไปด้านในเจดีย์

ด้านในเจดีย์ ไฟตะเกียงดับวิญญาณสั่นไหว สะท้อนเงาสวี่ชิงที่เข้ามาไปที่ผนัง

ร่างสวี่ชิงก็ไม่ได้ชะงักแม้แต่น้อย หลังจากเข้ามาในนี้ก็คิดจะคว้ามือไปที่ตะเกียงดับวิญญาณที่กำลังเผาไหม้ ทว่าตอนนี้เอง ชายหนุ่มเผ่าเงือกที่อยู่ในช่วงทะลวงขั้นข้างๆ ก็เบิกตาโพลงขึ้น สีหน้าเผยความร้อนรนและโกรธแค้น ขณะจะอ้าปาก แต่กลับกระอักเลือดกองใหญ่ออกมาคำหนึ่ง

พลังบำเพ็ญในร่างกายเขาแปรปรวนขึ้นมาฉับพลัน แต่ยังกัดฟันยกนิ้วชี้ไปทางสวี่ชิง ด้านหลังร่างกายมีเงามายาเงือกปรากฏออกมา ตบโจมตีสวี่ชิงอย่างดุดัน

สวี่ชิงไม่อยากเสียเวลาที่นี่ มือขวายกขึ้นซัดออกไปหนักๆ หนึ่งหมัด ก่อเกิดลมพายุ พัดไปที่ภาพมายาเงือกคนนั้น

ภาพมายาพังทลายลงทันที กระทั่งพัดชายหนุ่มเผ่าเงือกข้างหลังคนนั้นจนปลิวไปกระแทกยังผนังข้างๆ กระอักเลือดสดออกมาด้วยเช่นกัน

หลังจากผนังที่สูญเสียการป้องกันไปจนกลับกลายเป็นผนังธรรมดาถล่มลงจากการกระแทกครั้งนี้ ร่างของชายหนุ่มคนนั้นก็ร่วงลงฉับพลัน เป็นหรือตายยังไม่รู้

สวี่ชิงไม่มีเวลาสนใจอีกฝ่าย เวลานี้รีบสาวเท้าเข้าไปหาตะเกียงดับวิญญาณ ยกมือคว้าขึ้นคว้า

ทว่าตอนนี้เอง เงาเขาที่สะท้อนจากแสงไฟกลับบิดเบี้ยวขึ้นในพริบตา เคลื่อนไหวด้วยตัวเองโดยที่สวี่ชิงไม่ได้ควบคุมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สวี่ชิงยกมือ เงาเองก็ยกมือขึ้น

แต่ไม่รอให้สวี่ชิงคว้าตะเกียงดับวิญญาณ จู่ๆ เงาของเขากลับยืดแผ่ออกไปอีกหนึ่งช่วง มือสีดำยืดแผ่ไปยังตะเกียงดับวิญญาณล้ำหน้าสวี่ชิงไป ราวกับเกลียดชังแสงไฟที่ลุกโชนนี้อย่างมาก และ…ดับมันลง!

สวี่ชิงหยุดลงทันควัน เพียงพริบตาก็หันหน้าไปมองผนัง

เงาในเวลานี้ หลังจากดับแสงไฟก็สลายหายไปบนกำแพง

แต่ในประสาทสัมผัสของสวี่ชิงสามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของเงาหดกลับมาฉับไวได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงกลับมาเป็นท่าทางปกตินี่ด้วย

สวี่ชิงสีหน้าเหยเก คว้าตะเกียงดับวิญญาณมาไว้ในมือ

หลังจากที่ตะเกียงนี้ดับไปแล้ว เมื่อมองดูก็ไม่มีจุดใดที่ประหลาด มีเพียงแค่รูปร่างที่พิเศษเท่านั้น

แต่เวลานี้ความคิดของสวี่ชิงไม่ได้อยู่ที่ตะเกียงดับวิญญาณแล้ว เขาหันกลับมาจดจ้องเงาของตนเองอย่างเย็นชา สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม การกระทำของอีกฝ่าย ทำให้เขาคิดถึงคำพูดที่เด็กหนุ่มใบ้ทิ้งไว้ในแผ่นหยกขึ้นมา

‘มันกำลังหลับอยู่’

ภาพเมื่อครู่ หลังจากเชื่อมเข้ากับคำพูดในแผ่นหยกของเด็กหนุ่มใบ้ ความรู้สึกที่สวี่ชิงสัมผัสได้จึงเหมือนกับคนที่กำลังหลับลึกถูกแสงไฟที่ปรากฏขึ้นกะทันหันแยงตา จึงจัดการยกมือดับมันลงตามสัญชาตญาณด้วยความรำคาญใจ

ในดวงตาสวี่ชิงเผยประกายความหวาดผวาออกมา จู่ๆ พลังวิญญาณในร่างกายก็ถ่ายลงไปในตะเกียงดับวิญญาณ หลังจากรวมเข้าอย่างต่อเนื่อง ตะเกียงดับวิญญาณถูกจุดขึ้นใหม่อีกครั้งจนส่งเสียงวูมดังออกมา

แสงไฟสาดไปทั้งทั่วสารทิศ ทำให้เงาของสวี่ชิงปรากฏขึ้นบนผนังอีกครั้ง

และพริบตาที่ไฟตะเกียงถูกจุดสว่างขึ้น เงาบนกำแพงก็บิดเบี้ยวภายใต้การส่องของแสงไฟ และยื่นเงามืดสีดำออกมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ตรงไปยังตะเกียงดับวิญญาณที่สวี่ชิงถืออยู่ คิดจะดับมันอีกครั้ง

สวี่ชิงร้องเชอะเสียงหนึ่ง เจตจำนงแผ่ซ่านออกไปฉับพลัน ควบคุมเงาอย่างสุดกำลัง จนทำให้มือเงาหยุดชะงักที่ข้างตะเกียงดับวิญญาณ ส่งอาการดิ้นรนออกมารางๆ

เหมือนกับว่า มันคิดจะเข้าไปดับตะเกียงโดยไม่สนการควบคุมของสวี่ชิง

“เจ้ากำลังหลับ หรือกำลังแกล้งหลับกันแน่!” ขณะที่สวี่ชิงเอ่ยปากอย่างเย็นชา โคจรผลึกวารีสีม่วงจนกลายเป็นอำนาจสยบไปยังเงาที่กำลังดิ้นรนใต้การควบคุมของตนเองตรงๆ สะกดมันลงไปอย่างรุนแรง

สวี่ชิงคุ้นเคยกับการสะกดเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้เขาก็สะกดมันบ้างในวันปกติ และปกติทุกครั้งสะกดเพียงห้าหกครั้งเท่านั้น ทว่าครั้งนี้จำนวนการสะกดของสวี่ชิงก็สะกดรวดเดียวไปถึงสิบสามครั้งตามเสียงครืนครันที่กึกก้อง

ตัวเงาสั่นระริกอย่างรุนแรงภายใต้การสะกดของเขา และยิ่งสลัวลงไปอีก

สวี่ชิงยังทำต่อไม่หยุดด้วยอารามไร้สีหน้า และยังสะกดต่อไปอีกยี่สิบกว่าครั้ง จนกระทั่งเงาบิดเบี้ยวสั่นระริกเหมือนทำท่าจะปริแตกจึงหยุดลง

แต่แค่นี้สวี่ชิงยังไม่พอใจ เขามองเงาอย่างเย็นชา ยกมือหยิบตะเกียงดับวิญญาณที่กำลังจุดติดยื่นไปทางเงา ขณะเดียวกันก็คลายการควบคุมลง

และครั้งนี้ เงาที่ไม่ถูกควบคุมไว้กลับไม่กล้าดับไฟแล้ว สั่นระริกรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม กระทั่งไม่กล้าหลบเลี่ยง ยอมให้ไฟตะเกียงเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ

สีหน้าสวี่ชิงยังคงเย็นชา จึงวางตะเกียงดับวิญญาณลงไปในเงา ไฟตะเกียงของตะเกียงดับวิญญาณเปลี่ยนสีไปบ้างเล็กน้อย ไม่ใช่เหลืองสลัวอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเขียวเข้มแทน เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด

และการสั่นระริกของเงาเวลานี้ก็มาถึงขีดสุด ทว่าก็ยังไม่กล้าต่อต้าน

สวี่ชิงหรี่ตาลง พอคิดจะเอ่ยปาก จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ก้มหน้าลงมองตะเกียงดับวิญญาณในมือตนเอง

ตอนที่เขาถือตะเกียงนี้เมื่อครู่ ไม่ว่าจะดับไฟหรือว่าจุดไฟ ก็ล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลงประหลาดอะไรนัก แต่ตอนนี้พอวางไปในเงา บนตัวมันกลับมีคลื่นระลอกหนึ่งแผ่ออกมารางๆ

ขณะเดียวกัน ใต้พื้นดินก็ราวกับมีคลื่นวูบหนึ่งแผ่ออกมา ทั้งสองฝ่ายมีการขานรับกันและกัน

สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี หยิบตะเกียงดับวิญญาณออกจากเงาทันที และจังหวะที่หยิบออก คลื่นก็หายไปราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ตะเกียงนี้ก็เหมือนกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง

สวี่ชิงครุ่นคิด วางกลับลงไปในเงาที่สั่นเทาอีกครั้ง ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นอีก เป็นการเปิดทางอย่างชัดเจน

“นี่มัน…” สวี่ชิงหรี่ตาลง จู่ๆ ก็นึกเรื่องเล่าลือถึงเบาะแสในศาลเจ้าแห่งหมีเอ้อในแผ่นหยกที่เจ้าอ้วนน้อยมอบให้ขึ้นมา

นี่ทำให้เขาเกิดการคาดเดาบางอย่างขึ้น

หากคลับคล้ายคลับคลาอย่างที่คิด สวี่ชิงชำเลืองเย็นชาไปที่เงาผาดหนึ่ง และไม่สนว่ามันจะฟังออกหรือไม่ เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา

“เจ้าหลับต่อได้แล้ว”

พูดจบ สวี่ชิงก็จดจำตำแหน่งรูปธรรมที่เปิดทางไปยังใต้ดินไว้ ดับตะเกียงดับวิญญาณในมือ จากนั้นก็เก็บลงไป หมุนตัวกระโจนลงจากเจดีย์สร้างฐาน

ตอนที่ร่อนลงมา เขามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ค้นหาชายหนุ่มเผ่าเงือกที่เพิ่งร่วงลงมาเมื่อครู่คนนั้น

อีกฝ่ายสร้างฐานล้มเหลวในเวลาสำคัญ แล้วยังโดนตนเองซัดไปอีกทีหนึ่งด้วย ไม่ตายก็คงจะเจ็บหนัก เวลานี้เขาชำเลืองตามองไปบนพื้นที่ไม่ห่างออกไปนัก

ที่นั่นมีศพนอนอยู่ศพหนึ่ง ชายหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นนั่นเอง

เห็นได้ชัดว่าการสร้างฐานล้มเหลวนำมาซึ่งแรงสะท้อนกลับ ทำให้เขาไม่สามารถรับไหว หลังจากกระแทกลงพื้น คลานไปได้ไม่เท่าไรก็ขาดใจตาย

แต่สวี่ชิงก็ยังไม่วางใจ ตอนที่ร่อนลงมาก็ซัดวิชาเวทออกไปอีกหลายสาย และยังสาดผงพิษด้วย จนยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้แกล้งตายแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ รีบคุกเข่าลงและล้วงถุงเก็บของบนตัวคนผู้นี้ออกมาได้ใบหนึ่ง

“สถานะของเขาไม่ธรรมดา สร้างฐานจะต้องเตรียมลูกกลอนสร้างฐานไว้แน่ หวังว่าจะยังไม่ได้กินเสียแล้วนะ” สวี่ชิงตื่นเต้น หลังจากเปิดดูแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา เก็บมันลงไปและกำลังจะออกจากที่นี่

ตอนนี้เอง…ไม่ห่างออกไปนัก ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น

สวี่ชิงหันหน้ามองไปทันควัน มองเห็นเงาที่กำลังคาบผิงกั่วครึ่งผล ปรบมือพลางเดินเข้ามา

นายกองนั่นเอง!

“ว้าว รองนายกองสวี่ ศพที่นี่เป็นเจ้าสังหารไปหรือ ดูท่าจะได้มาไม่น้อยเลยนะ ตะเกียงดับวิญญาณนั่นเจ้าก็น่าจะได้ไปด้วยแล้วสิ”

“ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง” สวี่ชิงตระเตรียมระแวงระวังในใจ แต่สีหน้าก็ไม่เปิดเผยแม้เพียงน้อย ตอบกลับเสียงเรียบ

ขณะเดียวกันเขาก็ประหลาดใจมาก ว่าอีกฝ่ายคาบผิงกั่วในปากไปด้วยแล้วพูดไปด้วยได้อย่างไร

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง สีหน้าของนายกองก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย กัดผิงกั่วอีกคำ ปล่อยผิงกั่วจากปาก มือขวายกขึ้นมารับ เหลือบมองสวี่ชิงอย่างอวดๆ จากนั้นก็มองไปแผ่นเหล็กแหลมคมบนตัวศพรอบๆ

“พวกนี้มาจากเรือเวทสินะ เจ้าจางซานนี่ ลงทุนกับเรือเวทของเจ้าไปน่าดู แล้วก็หินวิญญาณที่เจ้าติดข้าอีกสองพันก้อน เมื่อไรจะคืนข้ากัน”

“ไม่มีเงิน”

สวี่ชิงมองผิงกั่วผลเล็กในมือนายกอง แล้วหยิบผิงกั่วที่ผลใหญ่ยิ่งกว่าออกมาจากในถุงด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเริ่มกัดกิน

นายกองตกตะลึง มองผิงกั่วผลใหญ่ในมือสวี่ชิง จากนั้นก็มองผิงกั่วผลเล็กในมือตนเอง รู้สึกเหมือนผิงกั่วในมือตนเองไม่อร่อยเสียแล้ว กระแอมไอออกมาเสียงหนึ่ง

“เลิกแสดงได้แล้ว ฝีมือการแสดงของเจ้าแย่มาก แล้วก็ข้าจะสอนเจ้านะ ไม่ใช่ว่าได้ตะเกียงดับวิญญาณมาแล้วหรือ มีอะไรน่าซ่อนกัน ของเล่นนั่นข้าไม่สนใจหรอก ให้ข้าข้าก็ไม่เอา ไม่ใช่ตะเกียงแห่งชีวิตเสียหน่อย” น้ำเสียงนายกองเจ็บปวดเล็กๆ

สวี่ชิงไม่พูดอะไร

“ทำไมเจ้าไม่ถามข้า ว่าอะไรคือตะเกียงแห่งชีวิต” นายกองประหลาดใจ

สวี่ชิงมองนายกอง ถามออกมาประโยคหนึ่ง

“อะไรคือตะเกียงแห่งชีวิต”

นายกองถอนหายใจ

“เห็นแก่เจ้าที่เป็นสมาชิกกองข้า แล้วก็ยังติดข้าอยู่สองพันหินวิญญาณ ข้าจะบอกเจ้าให้แล้วกัน

“ตะเกียงดับวิญญาณอันที่จริงเป็นของเลียนแบบ มันเลียนแบบมาจากตะเกียงแห่งชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังเลียนแบบได้แย่มาก

“เจ้าน่าจะรู้จักสภาวะแสงนภาของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานแล้วกระมัง นั่นเป็นสภาวะที่ปะทุระดับรุนแรงจากการจุดไฟชีวิตในร่างกาย ไฟชีวิตมีมากสุดสามดวง

“ตอนสร้างดวงที่หนึ่งสำเร็จ ก็คือระดับสร้างฐานช่วงต้น สร้างดวงที่สองสำเร็จ ก็คือระดับสร้างฐานช่วงกลาง และเมื่อไฟชีวิตดวงที่สามปรากฏ นั่นก็คือช่วงปลายของระดับสร้างฐานแล้ว ในทางทฤษฎีตอนนี้สามารถลองหลอมตันเถียนได้แล้ว

“ส่วนไฟชีวิตดวงที่สี่ ต้องมีโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ และสภาวะแสงนภาที่เกี่ยวข้องกับไฟชีวิต ต่อให้ก่อนหน้ายังไม่มีเสี้ยวหน้าเทพเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน

“แต่มีคนประเภทหนึ่งที่พวกเขาไม่เหมือนคนธรรมดา เป็นสายเลือดของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ เส้นทางที่พวกเขาเดินแตกต่างกับผู้บำเพ็ญทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ตอนพวกเขาอยู่ที่ระดับสร้างฐาน เนื่องจากวิชาระดับจักรพรรดิและสายเลือดที่ไร้เทียมทานในร่างกาย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ไฟชีวิต แต่เป็นตะเกียงแห่งชีวิต!

“ตะเกียงแห่งชีวิตน่ะนะ หนึ่งดวงเทียบเท่ากับพลานุภาพของไฟชีวิตสองดวงเลยทีเดียว!!

“ไฟชีวิตไร้รากฐาน ตะเกียงชีวิตมีรากฐาน สิ่งแรกประดุจใยหลิว ส่วนสิ่งหลังประดุจหินหนักแน่น ระหว่างทั้งสองสิ่งสูงต่ำแตกต่างกันชัดเจน

“ถ้าหากในร่างกายมีตะเกียงชีวิตดวงหนึ่ง เจ้าก็สามารถต่อสู้ได้อย่างเยี่ยมยอด ถ้าหากมีสองดวงปกติคือไม่มีคู่ต่อสู้ในระดับสร้างฐาน มีคุณสมบัติหลอมตันเถียนแล้ว ถ้าหากมีสามดวง เจ้าก็คือคนแรกในเผ่านับหมื่นที่อยู่ใต้ระดับแก่นลมปราณ แน่นอน ถ้าคู่ต่อสู้มีไฟชีวิตด้วยก็จะคิดอีกแบบ

“ยุคสมัยปัจจุบัน เนื่องจากเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณจากไปหลายยุคสมัยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีคนฝึกตะเกียงชีวิตได้สำเร็จอีก มีเพียงพวกฟ้าประทานแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์บางคน ที่จะอาศัยเบื้องหลังรวมไปถึงโอกาสระดับสวรรค์ประทานพรจนได้รับตะเกียงชีวิตมาดวงหนึ่ง

“และตะเกียงชีวิตที่พวกเขาได้รับก็ล้วนสืบทอดมาจากลูกหลานของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณทั้งสิ้น หลังจากผู้ที่มีตะเกียงชีวิตมอดมวย ตะเกียงชีวิตก็จะสลายไป คนอื่นที่ได้รับไปก็สามารถหลอมรวมเข้ากับร่างกาย จนกลายเป็นตะเกียงชีวิตของตนเอง

“แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดถึงนัก ถือเสียว่าเป็นข้อมูลทั่วไปให้กับเจ้าแล้วกัน ตะเกียงชีวิตนั่นคือสิ่งของในตำนาน พบเห็นได้น้อยยิ่งกว่าน้อย เพียงดวงเดียวก็สามารถทำให้จากสำนักใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ลงมือได้

“ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า ถ้าเจ้าจะสร้างฐานก็คิดหาวิธีเอาลูกกลอนสร้างฐานออกมาให้มากที่สุดแล้วกัน แต่ว่าเจ้าเองก็ดวงดีไม่เลว ข้าพอรู้มาว่าเผ่าเงือกมีคลังลูกกลอนขนาดใหญ่อยู่ด้วย ลูกกลอนสร้างฐานด้านในน่าจะมีอยู่ไม่น้อย เจ้าไปกับข้าเถอะ บนเกาะเงือกนี้ไม่มีอะไรดีเลย

“ของดีจริงๆ อยู่ในโลกใต้ทะเลด้านล่างต่างหาก รีบไปเถอะ เจ้าเด็กจางซานนั่นน่าจะคลำทางลงไปแล้ว” นายกองเลียริมฝีปาก สายตาเปล่งประกาย ชี้ลงไปที่พื้นดิน

สวี่ชิงกำลังจิตใจสั่นสะเทือนจากเรื่องที่คุยเกี่ยวกับตะเกียงชีวิตของนายกอง เขาคิดขึ้นมาถึงแรงชี้นำของตะเกียงดับวิญญาณ หัวใจก็เต้นระรัวเร็วขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

“ตะเกียงชีวิตหรือ”