บทที่ 97 องค์ชายยังดีเสียกว่า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้ากลับไปมอง คิ้วเรียวได้รูปของนางขมวดเข้าหากัน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมู่หรงฉางเฟิง

ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนี่มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร

“ปากบอกว่าปล่อยวางจากนายน้อยของข้าไปแล้ว แต่ตัวท่านเองมิใช่หรือที่ถ่อมาหาเขากลางดึกกลางดื่น”

น้ำเสียงที่แฝงอยู่ในคำพูดของเด็กรับใช้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชานางไม่ได้เอ่ยตอบ แต่กลับรีบผลักมือของมู่หรงฉางเฟิงออกไป

หากไม่ใช่เพราะความมืดในยามค่ำคืน ความเย้ยหยันที่อยู่ในดวงตาของนางคงถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจไปแล้ว

มู่หรงฉางเฟิงนึกไม่ถึงว่าตนจะถูกผลักออก นิ้วของเขาถึงกับแข็งทื่อไปในทันที

เด็กรับใช้คนนั้นไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบลงแค่นี้ “ข้าจะบอกให้นะคุณหนูเฮ่อเหลียน ไหนๆ ท่านก็มาถึงนี่แล้ว จะปิดบังกันไปอีกทำไมหรือ อย่าบอกนะว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ และท่านไม่รู้ว่าเส้นทางนี้เป็นทางไปยังห้องของซื่อจื่อ”

เฮ่อเหลียนเวยเวย “….” ฮ่าๆ นางไม่รู้จริงๆ ต่างหาก!

“เอาล่ะ” เสียงของมู่หรงฉางเฟิงดังขึ้นหยุดคำพูดของเด็กรับใช้ แต่คนฟังก็บอกได้ว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างไปจากเด็กรับใช้เลยแม้แต่น้อย “ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว เช่นนั้นก็มาทำให้มันชัดเจนกันเถอะ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงหันไปทางซ้ายและทำท่าจะจากไป กับคนเฮงซวยพรรค์นี้ยังมีอะไรให้ต้องพูดกันอีกหรือ ที่สำคัญองค์ชายสามเองก็เป็นคนหัวดีถึงเพียงนั้น เขาอาจจะเข้ามาค้นหอชั้นเลิศในอีกไม่กี่อึดใจนี้ก็เป็นได้ นางไม่อยากมัวมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้หรอก

“เฮ่อเหลียนเวยเวย เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร” มู่หรงฉางเฟิงยื่นมือออกมา แล้วยกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อขวางทางนางไว้ “แม้เจ้าจะทำเป็นแสร้งปล่อยเพื่อจับ แต่ก็ควรพอได้แล้วมิใช่หรือ หากเจ้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนข้าเคยทำให้เจ้าต้องเสื่อมเสีย แต่ข้าก็ได้ชดเชยเรื่องนั้นให้เจ้าต่อหน้าผู้คนไปหลายครั้งแล้วนี่ ตอนนี้เจ้ายังต้องการอะไรอีกหรือ ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไปหรือไร เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”

ทั้งที่มีคนขวางทางนางเอาไว้เช่นนี้ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงกอดอก นางเงยหน้าขึ้น และรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก “มู่หรงฉางเฟิง ข้าแนะนำว่าจากนี้ไปท่านควรส่องกระจกให้บ่อยๆ นะ ท่านคิดว่าตัวเองหน้าตาหล่อเหลาจนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน วิญญาณต้องกรีดร้องกันระงมหรือ คิดหรือว่าหากไม่มีท่าน แล้วข้าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คำพูดที่ท่านพูดออกมาเมื่อครู่ ข้าขอคืนกลับไปให้โดยไม่บิดพลิ้วแม้แต่คำเดียว มู่หรงฉางเฟิง ท่านคิดว่าท่านเป็นใครกัน แสร้งปล่อยเพื่อจับรึ สิ่งที่ข้าพูดยังไม่ชัดเจนพอหรือไร ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ผู้นี้ตาบอดเอง จึงเป็นเหตุให้ตกหลุมรักคนเฮงซวยอย่างท่านได้ ในเวลานั้นข้ายังเด็กนัก จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการมีรสนิยมแย่ๆ พรรค์นั้นได้ นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ท่านชอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั่นล่ะ ตอนนี้พี่ใหญ่อย่างข้าตาสว่างแล้ว และข้าอยากกลายเป็นคนใหม่ ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็หลีกทางไปเสีย”

“สมกับเป็นภรรยาที่ข้าเลือก โหดเหี้ยมยิ่งนัก ข้าชอบ!”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะชั่วร้ายก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งคู่

เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมอง และเห็นว่าบุตรชายคนรองของตระกูลเฮยมาถึงแล้ว เขายืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวา [1] มือข้างหนึ่งถือสัมภาระ ส่วนมืออีกข้างตบหลังมือของตัวเองเบาๆ ในความหยิ่งผยองของเขามีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่เล็กน้อย ท่าทางของเขาแทบจะดูเหมือนกับคนที่กำลังชมละครฉากหนึ่งอยู่

เดิมทีนั้นใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็ซีดจนไร้สีไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่มาตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยเจ๋อ เพลิงโทสะก็พลันปะทุขึ้นภายในดวงตาของเขา “ข้าไม่นึกเลยว่านายน้อยตระกูลเฮยผู้ยิ่งใหญ่จะมีพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ด้วย”

“พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ หรือ มู่หรงซื่อจื่อ ท่านไม่ควรพูดจาเหลวไหล เฮ่อเหลียนเวยเวยกับข้าเป็นคู่ขาที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีต่างหาก และคนที่นางออกมาพบในครั้งนี้ก็คือข้า ไม่ใช่ท่าน” เฮยเจ๋อเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ผ้าคลุมยาวถึงเอวที่สวมทับชุดคลุมตัวยาวของเขาเอาไว้สะบัดไปมาตามสายลมยามค่ำคืนจนเกิดเสียง แผ่บรรยากาศกดดันอันยากจะมองข้ามได้ออกมา

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดนั้น นางเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทำเพียงมองเขาด้วยสายตาเฉยเมยเท่านั้น “เก็บของเรียบร้อยหรือยัง”

“อือ” เฮยเจ๋อตอบโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองทางมู่หรงฉางเฟิง แล้วกระตุกยิ้มขึ้นความหมายของเขาคือ ‘เจ้าดูสิ นางมาหาข้าต่างหาก’

เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่อยากเล่น ‘ละคร’ นอกเหนือจากที่คิดเอาไว้ นางยื่นมือออกไปดึงเฮยเจ๋อเข้ามา น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบเช่นเดิม “ถ้าเจ้าเอาทุกอย่างมาแล้ว เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ระหว่างเจ้ากับเขาไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันหรอก”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด เขากัดฟันแน่นจนเกิดเป็นเสียงดัง ‘กรอด’

เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเขาอ้าปากเป็นรูปตัว ‘O’

เขานึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงนี้จะไม่ได้มาหานายน้อยของตนที่นี่ แต่กลับมารอนายน้อยเฮยต่างหาก

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือสีหน้าของนายน้อย…

เด็กรับใช้ถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่าในที่สุดมู่หรงฉางเฟิงก็มาถึงจุดเดือด แต่ในเมื่อไม่มีที่ให้ระบายโทสะ เขาจึงใช้เท้าข้างหนึ่งถีบเข้าที่ร่างของเด็กรับใช้ “เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ จุดตะเกียง แล้วกลับห้อง!”

“ขอรับ! ขอรับ!” เด็กรับใช้แทบจะกระอักเลือดจากลูกถีบนั้น ความเจ็บปวดทำให้ความยโสโอหังในยามปกติของเขามลายหายไปจนหมดสิ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ค้อมตัวลง ก้มหน้างุดด้วยความระมัดระวัง แล้วทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน เพราะกลัวว่าจะมีอย่างอื่นตามมาอีก หากไปยั่วโมโหซื่อจื่อเข้า

เป็นธรรมดาที่เหตุวุ่นวายเช่นนี้จะส่งเสียงรบกวนคนอื่นๆ ในหอชั้นเลิศ

ถึงแม้ว่าผู้ชายกับผู้หญิงจะพักแยกกันอยู่คนละที่ แต่คนอย่างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็มักจะส่งบรรดาเด็กรับใช้ของตนไปยังแต่ละหอเพื่อสืบข่าวเสมอ

ดังนั้นหอชั้นเลิศจึงไร้ซึ่งความลับใดๆ สำหรับนาง

ในไม่ช้านางก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับมู่หรงฉางเฟิง

ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มชั่วร้ายค่อยๆ ปรากฏขึ้น ออกไปโดยไม่ขออนุญาตรึ เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้ากล้าทำถึงเพียงนั้นเชียว!

“ใครก็ได้มานี่สิ!” เดิมทีเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกแล้ว ตอนนี้นางจึงหยิบผ้าคลุมมาคลุมไหล่เอาไว้แทน ริมฝีปากบางหยักขึ้นเล็กน้อย “พวกเราก็จะออกไปเดินเล่นด้วยเหมือนกัน”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกายเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เข้าใจความคิดคุณหนูของตนดียิ่งกว่าผู้ใด

นางรู้ว่าคุณหนูคงอยากไปเยาะเย้ยนังคนชั้นต่ำนั่น หึ ทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมา…

ค่ำคืนย่างเข้ายามดึกสงัด เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าเส้นทางที่ตนกำลังมุ่งไปนั้นมีองครักษ์ขวางเอาไว้หลายต่อหลายชั้น ระหว่างคิ้วของนางจึงขมวดเข้าหากัน

วิธีการขององค์ชายสามนี่ช่างโหดเหี้ยมเอาเรื่องทีเดียว

เขาส่งคนมามากมายเพียงเพื่อจะจับตัวนาง

เฮ้อ นี่มันเป็นวิธีการของคนที่อยากให้นาง ‘ถูกสับเป็นพันๆ ชิ้น’ หลังจากจับตัวนางได้แล้วชัดๆ

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าหรือ” นายน้อยเฮยยืนอยู่ด้านหลังนาง เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่สบายใจ

เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับในลำคอ “คนขององค์ชายสามน่ะ”

เมื่อเฮยเจ๋อได้ยินคำพูดที่บอกว่า ‘องค์ชายสาม’ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันที “จะว่าไปแล้ว ทำไมองค์ชายสามถึงเลือกเจ้าล่ะ”

“เจ้าไม่คิดหรือว่าการเลือกข้าจะเรียกความสนใจได้ง่ายกว่าวิธีอื่น” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ “อย่างไรเสียก็คงไม่ใช่เพราะข้าหน้าตาสะสวยจนทำให้เขาหลงเสน่ห์ข้าหรอก ถูกไหม”

มุมปากของเฮยเจ๋อกระตุกขึ้น “สวยหรือ เจ้าเนี่ยนะ”

“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บอกไงว่าเขาเลือกข้าเพราะต้องการยั่วโมโหอดีตฮ่องเต้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ “ต่อต้านการแต่งงานยังไงล่ะ มันก็เป็นแค่หนึ่งในวิธีการปฏิเสธนั่นแหละ”

เฮยเจ๋อยอมรับทฤษฎีนี้ได้อย่างง่ายดาย “ข้าเองก็เคยบอกว่าอยากแต่งงานกับเจ้า แต่ไม่ใช่เพราะข้าอยากยั่วโมโหตาแก่ที่บ้านเสียหน่อย ข้าจริงใจกับเจ้าจริงๆ นะ”

“ฮ่าๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงหัวเราะตอบ จริงใจหรือ “หน้าตาข้าเป็นเช่นนี้ เจ้ารับได้หรือ”

เฮยเจ๋อมองบรรดาองครักษ์ที่เดินกลับไปกลับมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันที่จริง หลังจากเป่าเทียนให้ดับแล้วมันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ อย่างไรเสียหุ่นของเจ้าก็ไม่เลวทีเดียว”

“ขอบใจ แต่ข้ายังไม่พอใจกับร่างกายของเจ้าหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย “หลังจากเป่าเทียนให้ดับแล้ว องค์ชายสามก็ยังสามารถอัดเจ้าจนน่วมได้”

เฮยเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วริมฝีปากบางของเขาก็ค่อยๆ โค้งขึ้นทีละน้อย ขณะที่นิ้วมือของเขาเคลื่อนเข้าไปหาเส้นผมของเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าหล่อเหลาทรงอำนาจของเขาเผยร่องรอยของความเจ้าเล่ห์ออกมา “แม่นาง ดูเหมือนข้าชักจะยิ่งสนใจเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ…”

…………………………………………………………………….

[1] ต้นอิงฮวา หรือที่ชาวไทยรู้จักกันในชื่อต้นซากุระ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ออกดอกสีชมพู และสีขาวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ