ตอนที่ 1 พูดคุยกับชาร์ลอตเต้และศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำ

—————————-

ข้อมูลทั้งหลายค่อยๆ ถูกส่งมาทีละนิด

ภายในห้องพักที่ทำด้วยหินและเพดานต่ำ

ผนังหินนั้นถูกคลุมไว้ด้วยพรมสีแดง

กับหน้าต่างบานเล็กๆ บรรยากาศภายในห้องที่สลัวแม้จะเป็นเวลากลางวัน

ข้างหลังห้องนั้นถูกประดับไว้ด้วยเตาผิง โดยมีเสียงแตกของฟืนที่ถูกแผดเผาอยู่ภายในนั้นเล็ดลอดออกมา

ชายคนหนึ่งได้นอนอยู่บนเตียงที่ถูกปูไว้ กลิ่นของมันนั้นหอมคล้ายกับฟาง

เขารู้สึกงุนงงอยู่ภายใน ด้วยความสงสัยว่า ณ ที่แห่งนี้คืออาคารสไตล์ยุโรปประเภทไหนกัน

“อ้า..รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ!”

“แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน……?”

เขาถามหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างตัวของเขา แม้จะรู้สึกอึดอัดบ้างก็ตาม

“ท่านฟาร์มา ท่านถูกฟ้าผ่ามานะคะ! ท่านจำไม่ได้เลยงั้นหรือคะ?”

เธอขยับใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ตัวเขามากยิ่งขึ้นและมองเขาด้วยความวิตกกังวล มองดูแล้วเธอน่าจะอายุราวๆ ช่วงสิบปี ในตอนนี้เธอได้ส่งรอยยิ้มที่น่ามหัศจรรย์ของเธอมาทางนี้แทนแล้ว

ชุดที่เธอสวมใส่อยู่นั้นเป็นชุดธรรมดาและคลุมไว้ด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาว เส้นผมสีทองอมชมพูยาวลงมาถึงไหล่ ดวงตาสีฟ้าของเธอที่มาพร้อมกับผ้าโพกศีรษะถูกสะบัดไปมาอย่างเอียงอายบนหัวของเธอ

เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นคอสเพล แต่ความประทับใจลึกๆ ในตัวเขาบอกว่ามันไม่ใช่

เขาพยายามรีบลุกขึ้นมาด้วยความรวดเร็วแต่ด้วยกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงของเขานั้น มิอาจจะทำตัวเขาสมปรารถนาได้

“ไม่เลยสักนิดครับ ผมไม่มีความทรงจำอะไรที่มันชัดเจนอยู่เลย….. แล้วคุณเป็นใครเหรอครับ?”

เมื่อเด็กสาวได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้า

“หมายความว่าท่านลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับฉันไปแล้วงั้นเหรอคะ? มันน่าจะเป็นผลมาจากสายฟ้าสีน้ำเงินประหลาดนั่นสินะคะ”

“ขอโทษนะ บางทีมันน่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ด้วยเหตุนั้นเลยทำให้ผมความจำเสื่อม”

ไม่ช้าเด็กสาวผู้นั้นก็พยายามจัดการกับกระแอมวอมช่องคอของเธอและตั้งหน้าตรง ยกชายกระโปรงของเธอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทำท่าย่อตัวแบบกุลสตรี

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้ฉันได้แนะนำตัวอีกครั้งหนึ่งนะคะ ฉันคือข้ารับใช้ของท่าน ชาร์ลอตเต้ค่ะ กรุณาเรียกฉันว่าลอตเต้อย่างที่ท่านเคยเรียกด้วยนะคะ ฉันกับท่านแม่นั้นได้ถูกรับมาที่นี่โดยคุณท่านและคอยรับใช้คฤหาสน์หลังนี้มาตั้งแต่ที่ท่านยังเล็กแล้วค่ะ ดังนั้นแล้วหากท่านฟาร์มาที่อะไรสงสัยสามารถถามพวกเราได้เลยนะคะ”

ดูท่าสองแม่ลูกนี้จะถูกจ้างให้คอยทำงานอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้สินะ ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องนั้น…ไม่สิแบบนี้มันจะไม่ไปขัดกับกฎหมายการใช้แรงงานเด็กเอางั้นหรือ? ท่านฟาร์มา ชื่อชื่อนี้ได้ถูกเรียกขึ้นมาเป็นครั้งที่สองและสามจนกระทั่งเขารู้สึกตัว

“ฟาร์มา? ผมเหรอ?”

(อะไรกันล่ะนั่นน่ะ เป็นชื่อของบริษัทจำพวกเภสัชกรรมงั้นเหรอ?)

อารมณ์ของเขาเริ่มสั่นไหว ก่อนเริ่มสงสัยว่าหรือนั่นจะเป็นชื่อเล่นของเขาที่เธอเป็นคนตั้งให้เอง

“ใช่แล้วค่ะ ท่านฟาร์มา เดอ เมดิซิส”

เดอ เมดิซิส….

เขาจำได้ว่า เมดิซิสนั้นเป็นชื่อในภาษาฝรั่งเศสซึ่งใช้กันในช่วงยุคกลางของเมืองฟลอเรนซ์ โดยทั่วไปแล้วหากไม่ใช่การเข้าใจผิดใดๆ ใบหน้าของเขาจะต้องเป็นเหมือนกับชาวญี่ปุ่นทั่วไปสิ ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดกันจึงเรียกเขาเช่นนี้

“คุณช่วยนำกระจกมาให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า?”

บางทีมันอาจจะไม่ใช่การเข้าใจผิดในการระบุตัวตนก็เป็นได้ เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เอามาให้แล้วค่ะ”

เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายของเขานั้นต่างไปจากเดิมแม้ไม่จำเป็นต้องมองไปที่กระจก มือและแขนที่เขาเห็นนั้นมันเล็กเกินไป ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็รู้ได้เลยว่านี่คือร่างกายของเด็ก

“นี่มันนน!”

เมื่อเขามองเข้าไปยังกระจกมือถือขนาดเล็ก เขาก็ได้เห็นเด็กชายชาวคอเคเชียน (คนผิวขาว) ที่มีผมสีบลอนด์

ดวงตาสีฟ้าและหน้ามึนๆ

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเขาพูดเช่นนั้นจบ เขาก็รีบพยุงร่างออกจากเตียง โชคดีที่ครั้งนี้ร่างกายตอบสนองต่อคำสั่งนั้น หลังจากนั้นเขาก็รีบออกไปมองยังนอกหน้าต่าง

สิ่งที่เขาได้เห็นคือภาพของเมืองในต่างแดนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับยุคกลางของยุโรป ก่อนจะค่อยๆ ยื่นหัวออกมาข้างนอกหน้าต่าง แล้วได้เห็นเหล่าผู้คนใส่เสื้อผ้าที่ดูย้อนยุคกำลังเดินไปมา เสียงจากตลาดที่ดูมีชีวิตชีวา เสียงระฆังจากหอระฆังดังก้องไปในอากาศ

เขาตกใจกับมันจนปากของเขานั้นเปิดกว้างออกมา

ลอตเต้ค่อยๆ เดินเข้ามาตบที่หลังของเขาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วงและงุนงง

“ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

“ขอโทษทีนะ พอดีผมรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย”

(นี่มันไม่ใช่ความฝันสินะ แปลว่านี่เราเกิดใหม่อย่างงั้นเหรอ?)

โดยส่วนตัวแล้วเขานั้นไม่เชื่อในปรากฏการณ์ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เช่นการกลับชาติมาเกิด แต่ตอนนี้คนที่ได้รับผลกระทบนั้นคือตัวเขาเอง นั่นอาจจะทำให้เขาเริ่มเชื่อมันขึ้นมาแล้วก็เป็นได้

(สงสัยจริงๆ ว่าเราไปตายอีท่าไหนกัน บางที…… อาจจะเพราะทำงานหนักเกินไปหรือเปล่านะ?)

แม้ว่าจะไม่มีอะไรมารับประกันว่าสาเหตุการตายของเขาคืออะไรแต่สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในใจของเขานั้นคือเรื่องนั้น ชั่วโมงการทำงานของเขานั้นรัดตัวมากและเกินขอบเขตงานล่วงเวลาไปหลายขั้นเลยทีเดียว

เมื่อเขาคำนวณชั่วโมงการทำงานออกมาก็พบว่าวันหนึ่งเขาทำงานถึงยี่สิบชั่วโมงด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะอาศัยกินอยู่นอนภายในมุมหนึ่งของห้องทำงานนั้นเสียเลย จะบอกว่านั่นเป็นการเลือกปืนต้นไม้ผิดต้นก็ว่าได้ แต่ตัวเขาก็เป็นคนเลือกทำเช่นนั้นเอง งานอดิเรกคือการทำงานนั่นแหละคือกรอบความคิดของพวกบ้างาน ซึ่งเขาก็คือหนึ่งในนั้น

จนท้ายที่สุดตัวเองก็ต้องตายลงไปจากสิ่งนั้น

ก่อนที่จะได้กลับมาเกิดอีกครั้ง เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ดีๆ แล้วก็คงจะต้องยอมรับมันเท่านั้นเขาพยายามคิดแบบนั้นแต่

(เป็นไปไม่ได้หรอก! แบบนี้ไม่ดีแน่!)

สุดท้ายเขาก็ยังไม่ยอมแพ้และพยายามคิดว่านี่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน

(ขอร้องล่ะ ให้มันเป็นแค่ฝันทีเถอะ! เรายังไม่ได้รวบรวมงานวิจัยเข้าเล่มจัดเรียงข้อมูลเรียบร้อยเลยนะ จะทิ้งไว้แบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!)

ก็เพราะสภาพชีวิตก่อนของเขาเป็นแบบ เขาจึงรู้สึกเสียใจ

เขานึกขึ้นได้ว่ามันมีวิธีที่เรียกว่าการตรวจสอบความฝันอยู่ด้วย วิธีการที่จะตรวจสอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

เขาลองกลั้นหายใจ หากมันไม่รู้สึกทรมานและยังมีชีวิตอยู่ได้นั่นหมายความว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเขาก็สำลักออกมา

“อุ๊บ! อะแค๊ก แค๊ก”

เขาที่กำลังจะขาดใจตายนั้นได้มองเห็นเด็กสาววิ่งเข้ามาหา

“ท่านกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ? ดูท่าทางจะสนุกเชียว”

ลอตเต้จ้องตาไม่กะพริบและแสดงรอยยิ้มที่สดใสให้กับเขา เด็กสาวข้ารับใช้ที่รู้สึกประทับใจกับเรื่องแบบนี้และคุ้นเคยกับมัน นี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าก็ได้

“ไม่ครับ คือผมไม่ได้กำลังเล่นอยู่นะ…ถึงจะดูเหมือนก็เถอะ”

(นี่มันเรื่องจริงงั้นเหรอ? หมายความว่าเพราะฟ้าผ่านั่นความทรงจำในชาติที่แล้วของเราเลยกลับมางั้นเหรอ?)

ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรไปมา มือของเด็กสาวคนนั้นก็ได้มาจับยังแขนของเขา ตอนนั้นเองเขาก็ได้สังเกตเห็นถึงแขนทั้งสองข้างของเขาที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล

“นี่มันอะไรกัน?”

“อ๊ะ ท่านฟาร์มา! ท่านไม่ควรจะไปขยับมันตอนนี้นะคะ เอ๋ ท่านไม่รู้สึกเจ็บเลยเหรอคะ?”

เขาค่อยๆ แกะผ้าพันแผลที่พันแขนของเขาเอาไว้ออก มันถูกเคลือบไว้ด้วยครีมสีแดงเข้ม หลังจากที่เอาผ้าพันแผลออกเขาก็ได้เห็นรอยแผลที่เป็นเส้นแนวยาวแตกไปตั้งแต่หัวไหล่ของเขาทอดไปถึงต้นแขนซึ่งนั่นน่าจะเป็นแผลรอยไหม้ ที่อยู่บริเวณแขนทั้งสองข้างของเขา

ลอตเต้ปิดปากด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ ดวงตาสีฟ้าของเธอนั้นซีดลงและขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเห็นสภาพของแผลเป็น ก่อนจะทำท่าเหมือนอธิษฐานกับรอยแผลนั้น

“แผลเป็นของท่านเป็นเหมือนกับสายฟ้า…… มันดูคล้ายกับตราของเทพโอสถเลยค่ะ ฉันคิดว่าบางทีน่าจะเป็นเพราะเทพโอสถคอยคุ้มครองท่านอยู่ก็เป็นได้นะคะ”

“แผลเป็นนี้มันได้มาจากฟ้าผ่านะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกระแสไฟที่ไหลมากับผิวหนังที่ไหม้เลยทำให้เกิดแผลเป็นรูปสายฟ้าแบบนี้”

“คะ?”

“อืมมม ไม่มีอะไรหรอก”

ลอตเต้แสดงรอยยิ้มปนความสับสนออกมาด้วยผลมาจากการอธิบายเรื่องรอยแผลเป็นที่เกิดมาจากฟ้าผ่าของเขา

เพราะส่วนตัวเธอแล้วเชื่อว่านั้นคือตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เทพโอสถนั้นประทานมันมาให้กับเขา เธอบอกว่านั่นคือเครื่องหมายสำหรับผู้ที่รอดชีวิตจากฟ้าผ่ามาได้

(งั้นก็ว่าตามนั้นไปละกัน)

เพราะโดยความเชื่อของตัวเธอแล้ว สิ่งที่เขาพูดออกไปคงจะไม่สามารถสื่อไปถึงเธอได้เป็นแน่

ดังนั้นนี่อาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาได้เรียนรู้ว่าตนควรปิดเรื่องรอยแผลเป็นที่คล้ายกับตราสัญลักษณ์ของเทพโอสถเอาไว้

“อ๊ะ จริงด้วยสิคะ ฉันนำขนมหวานแสนอร่อยมาให้ด้วยค่ะ กรุณาลองชิมดูสักหน่อยสิคะ! น่าจะช่วยทำให้ท่านสงบใจลงได้”

ลอตเต้วางมันไว้ข้างๆ เขา รูปร่างของมันเหมือนกับเวเฟอร์ที่มาพร้อมกับถ้วยสีเงินที่ว่างเปล่า

“ขอบคุณสำหรับอาหารนะ ว่าแต่คุณล่ะ?”

“ฉันไม่บังอาจหรอกค่ะ! เจ้านายไม่ควรให้ของราคาแพงแบบนั้นกับข้ารับใช้นะคะและควรจะปล่อยพวกเขาไปเช่นนั้นแหละค่ะ”

ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่ลอตเต้ก็กลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งเลยทีเดียว ความรู้สึกที่แท้จริงของเธอมันสะท้อนออกผ่านสีหน้าหมดแล้วนะ

“ไม่เห็นจำเป็นต้องฝืนเลย เอานี่ไปสิ”

“อู ท่านหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ ท่านฟาร์มา?! ถ้าเช่นนั้นขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ!”

ของหวานนั้นเป็นของราคาแพงสำหรับโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เหล่าข้ารับใช้จะได้ลิ้มลองมัน นั่นเป็นเหตุผลที่ลอตเต้รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่เขาพูดแบบนั้น

“เอาอีกไหม?”

“อ๊ะ *อึก* ไม่จริงน่า! ท่านแน่ใจเหรอคะ? จริงๆ นะคะ?”

“จริงๆ ครับ เชิญเลย”

เพราะดูท่าเธอจะเป็นคนกินจุพอสมควรของหวานเกินกว่าครึ่งของเขาจึงได้ถูกแบ่งให้กับเธอ พอได้มองดูสถานการณ์ในตอนนี้มันเหมือนกับได้หนีออกไปความเป็นจริงไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้สภาพจิตใจของเขาเหมือนได้รับการเยียวยา

“แก้มของฉันแทบละลายเลยค่ะ……. อ๊ะ ท่านฟาร์มาค่ะ

ตอนนี้ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาแล้วสิคะ หากไม่เป็นการรบกวนท่านช่วยใช้ศาสตร์แห่งเทพเหมือนที่ผ่านๆ มาได้ไหมคะ? เพราะน้ำที่ท่านสร้างมาจากศาสตร์แห่งเทพนั้นอร่อยมากเลยค่ะ”

ลอตเต้พยายามอ้อนวอนฟาร์มา ขณะที่ถือแก้วไม้เข้าเขา

“อะไรนะ? ศาสตร์แห่งเทพ?! น้ำ?”

เสียงของเขาเกือบจะหลง เขาที่พึ่งจะได้กลับชาติมาเกิดในร่างของคนอื่น ไม่มีทางอยู่แล้วที่จะมีความรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้ เขาเข้าใจว่าบางที่อาจจะต้องตามน้ำเธอไป แต่เขาไม่รู้เลยว่าตนไม่รู้อะไรบ้าง

“ท่านฟาร์มาเป็นถึงสุดยอดผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำเลยนะคะ..ไม่จริงน่า! นี่ท่านลืมกระทั่งการใช้ศาสตร์แห่งเทพอย่างงั้นเหรอคะ?”

เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เขาชำนาญเป็นอย่างมากงั้นหรือ สีหน้าของเธอจึงได้เริ่มซีดและหันไปทางอื่น

ดูเหมือนว่าการที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้นั่นคือการแสดงถึงความเป็นชนชั้นสูง

“แล้วจะเป็นยังไงเหรอ หากผมใช้มันไม่ได้?”

“ฉันไม่ได้อยากจะคิดถึงเรื่องนั้นเลยนะคะ แต่ว่า……”

หากเขาไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้แล้วละก็ เขาก็คงไม่อาจจะถูกยอมรับว่าเป็นชนชั้นสูงได้และพ่อของเขาก็จะตัดหางเขาแล้วขับไล่ออกจากตระกูล ก่อนจะกลายเป็นไปเพียงแค่สามัญชน

“ฉันจะเก็บมันไว้เป็นความลับค่ะ! ฉันไม่รู้อะไรทั้งสิ้น! นี่คือสิ่งตอบแทนสำหรับขนมที่แสนอร่อยนี้ค่ะ! การทดแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่!”

ลอตเต้ได้ประสานมือทั้งสองของเธอเข้าด้วยกันก่อนจะหลับตาลง

“ถ้าหากคุณรู้สึกขอบคุณผมขนาดนั้น ช่วยปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวสักพักได้หรือเปล่า? ผมอยากจะลองพยายามทบทวนความจำเกี่ยวกับมันดู”

ถึงจะบอกว่าพยายามทบทวนความทรงจำ แต่เขาเพียงแค่อยากอยู่คนเดียวเท่านั้น

“นั่นสินะคะ เช่นนั้นกรุณาค่อยๆ พักฟื้นตัวนะคะ”

เพื่อจะสร้างน้ำออกมาได้นั้น เธอบอกว่าเขานั้นจำเป็นต้องจินตนาการถึงน้ำภายในใจของเขา จากนั้นก็ดึงมันออกมา แล้วสร้างรวมมันเป็นกลุ่มก่อนไว้ที่มือ พอกล่าวจบเธอก็ออกจากห้องไปพร้อมกับบอกเขาว่าจะไปซักผ้าและซื้อของ

เรื่องที่เขาใช้ศาสตร์แห่งเทพไม่ได้อาจจะถูกเปิดเผยในสักวันหนึ่ง และนั่นจะทำให้เขาถูกขับไล่ออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ โดยไม่มีทั้งน้ำและอาหารท้ายที่สุดก็คงจะตายไปอย่างน่าสังเวช

ในโลกใบนี้ เรื่องแบบนี้คงเป็นไปได้อยู่แล้ว

ถ้าเขาถูกขับไล่ออกไปจริงๆ เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวหางานให้ได้ก่อนจะถูกขับไล่ หากไปได้ไม่สวย เขาอาจจะไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมสงคราม ฟาร์มารู้สึกหดหู่ขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพยายามฟื้นฟูความรู้เรื่องศาสตร์แห่งเทพของตน

“น้ำ….!”

เขารวบรวมสมาธิไปยังมือทั้งสองซึ่งอยู่เหนือแก้วไม้และจินตนาการถึงน้ำภายในใจ

น้ำ

เขาเป็นถึงนักเภสัชวิทยาที่ญี่ปุ่น ไม่แปลกที่ตัวเขาจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโมเลกุลของน้ำ

เขาเข้าใจมันถึงองค์ประกอบของธาตุ แผนภาพสถานะทางพลังงาน และ สปินสเตท (the spin states)

อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้สามารถกับเรื่องนี้ได้หรือไม่?

(หืม ไม่ได้ผลงั้นเหรอ?)

เขารู้สึกว่ามันต้องใช้เวลามากพอสมควร

เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของเลือดที่ทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น

ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ กับรอยแผลเป็นที่แขนของเขา

เขาสังเกตเห็นถึงแสงสีขาวนวลคล้ายแสงไฟนีออนประกายออกมาจากรอยแผลเป็นนั้น

(แสงนี่มันอะไรกัน?)

ทั้งสับสนและประหลาดใจ เหงื่อเริ่มค่อยๆ ไหลออกมาจากมือทั้งสองข้างของฟาร์มา

แต่ด้วยจำนวนของมันแล้วคงจะพูดไม่ได้ว่าเป็นแค่เหงื่อ

“เหงื่อ….. ไม่ใช่ นี่มันคือน้ำ มันคือน้ำงั้นเหรอ!?”

สายน้ำได้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน แทนที่มันจะออกมาจากร่างของเขา เขากลับรู้สึกได้ว่ามันนั้นไหลออกมาจากห้วงมิติใดสักแห่งหนหนึ่ง เขาไม่ต้องการจะให้น้ำมันท่วมห้องของเขา จึงรีบนำมือของเขายื่นออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่นำมือออกมาทัน เพราะขณะนี้มันได้พุ่งออกมาราวกับน้ำพุเสียแล้ว

“หยุด หยุด หยุดนะ! หยุดสิ!”

ลอตเต้ไม่ได้บอกถึงวิธีหยุดมันให้กับเขา แต่พอนึกถึงน้ำที่ปิดสนิท มันก็หยุดลง

“เฮ้อ ……”

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ท่านฟาร์มาาาาาาาาคะ!”

เสียงสะท้อนดังขึ้นมาจากด้านนอก เมื่อเขามองไปที่นอกหน้าต่างเขาก็เห็นลอตเต้เงยหน้าขึ้นมาและโบกมือให้กับเขาจากสวนสมุนไพรด้านล่าง

“น้ำนี่มัน หมายความว่าท่านจำมันได้แล้วสินะคะ?!”

“ขอโทษนะครับ ทำให้คุณเปียกหรือเปล่า?”

“ค่ะ เปียกไปหมดเลย! แต่สดชื่นสุดๆ ไปเลยค่ะ ~ ฉันชอบมันนะคะ!”

เพราะห่าฝนนี้ งานรดน้ำสวนสมุนไพรประจำวันของเธอจึงเป็นอันเสร็จสิ้น ก่อนเธอจำหัวเราะออกมา

“ค่อยยังชั่ว…..”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ฟื้นฟูความทรงจำเกี่ยวกับการใช้ศาสตร์แห่งเทพแห่งวารี

—–

ผู้แปล

ตอนนี้ผมปิดการมองเห็นตอนที่เคยลงไปอยู่นะครับ ตั้งใจจะแก้ไขประโยคและคำต่างๆ แต่เหมือนมีปัญหาทางเทคนิคดังนั้นอัพใหม่เลยและกัน ถือว่าอ่านใหม่ไปพร้อมกับผมอีกทีละกัน