บทที่ 83 ตงหวางเซียน ความผิดปกติของต้นฝูซัง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 83 ตงหวางเซียน ความผิดปกติของต้นฝูซัง
วันที่เจ็ดหลังจากสิงหงเสวียนจากไป หานเจวี๋ยนำเมล็ดน้ำเต้าพิภพเซียนออกมา ก่อนเดินออกจากถ้ำเทวา

เขาเดินมาที่ใต้ต้นฝูซัง นำเมล็ดน้ำเต้าพิภพเซียนฝังลงในดิน จากนั้นจึงใส่พลังวิญญาณหกสายของตนลงไปเพื่อหล่อเลี้ยงมัน

ของล้ำค่าระดับนี้จำต้องลงมือปลูกด้วยตนเอง ความสามารถในการเพาะปลูกของสวินฉางอันมีจำกัด เวลาส่วนใหญ่ต้องใช้ไปกับการดูแลต้นฝูซัง โชคดีที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแรง

“อาจารย์ นี่คืออะไรหรือ” สวินฉางอันเอ่ยถามด้วยความสงสัย

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบว่า “น้ำเต้า ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องดูแลมันด้วย”

สวินฉางอันแปลกใจ หานเจวี๋ยไปได้เมล็ดน้ำเต้านี้มาจากที่ใดกัน

ขณะที่ต้นฝูซังเติบโตขึ้นทุกทีๆ สวินฉางอันก็ค้นพบว่าต้นไม้นี้ไม่ธรรมดานัก พลังวิญญาณที่ถือกำเนิดกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ผลลัพธ์เหนือกว่าของล้ำค่าฟ้าดินทั้งหลายบนภูเขา

สวินฉางอันไม่ใช่คนเขลา ของล้ำค่าฟ้าดินเช่นนี้ก็มาจากสำนักหยกพิสุทธิ์จริงๆ หรือ

ยามที่หลี่ชิงจื่อผ่านทางมาก่อนหน้านี้ เขาก็มีท่าทีตื่นตะลึงไม่น้อย

เบื้องหลังของอาจารย์ก็น่ากลัวเกิดกว่าที่เขาจินตนาการ

หานเจวี๋ยสังเกตดูต้นฝูซังอยู่สักพัก ก่อนจะกลับเข้าถ้ำเทวาไป

เพิ่งทะลวงระดับรวมกายามา หานเจวี๋ยก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะฝึกฝนนัก

เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เตรียมพร้อมสาปแช่งเฒ่าประหลาดอู้เต้าอย่างเต็มกำลัง

กล้าจะโค่นล้มข้า ทั้งยังไม่อยากรับผลที่ตามมาอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยลอบแผ่ไอชั่วร้าย พลังวิญญาณหกสายพคลุ้มคลั่งปกคลุมลงบนหนังสือแห่งความโชคร้าย

……

สำนักไร้ลักษณ์ สำนักบำเพ็ญเซียนสำนักใหญ่ที่สืบทอดมาเกือบหมื่นปี ความรู้ลึกซึ้งกว้างขวาง

ประตูทางเข้าสำนักราวกับแดนเซียน ขุนเขาเรียงรายเป็นทิวแถว ท่ามกลางเมฆหมอกที่รายล้อมสามารถมองเห็นหมู่นกกระเรียนขาวบินผ่านไปเป็นรูปตัวอักษรคน[1] พาดผ่านกลุ่มเมฆหลากสีไปอย่างเร็วรี่

ระหว่างสองยอดเขาสูงพันจั้งมีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลลดผ่านประดุจม่านผืนใหญ่ทับซ้อนสายหนึ่ง เบื้องล่างน้ำตกปรากฏเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนผิวทะเลสาบ ต้านรับแรงปะทะอันน่าหวาดกลัวของม่านน้ำตก ลมแรงหมุนวนทั่วเรือนกาย สายน้ำที่สาดกระทบลงบนร่างให้ความรู้สึกราวกับคมมีด

เฒ่าประหลาดอู้เต้ายืนอยู่บนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ สายตาทอดมองไปพร้อมมือที่ลูบเครา รอยยิ้มอันพึงใจปรากฏบนใบหน้าของเขา

“คุณสมบัติของเซียนเอ๋อร์นี้ คงถูกวังเทพธิดาเลือกอย่างแน่นอน”

เมื่อเฒ่าประหลาดอู้เต้านึกถึงตงหวางเซียนศิษย์ของตนที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในวังเทพธิดาด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบาก จนสุดท้ายได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญใหญ่ในใต้หล้า สามารถแม้กระทั่งสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ เขาก็ไม่อาจที่จะหุบยิ้มได้

ความสามารถของเขาได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว ยากยิ่งนักที่จะบรรลุถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ เพราะอย่างนั้นเขาจึงฝากความหวังไว้กับลูกศิษย์คนนี้

ทันใดนั้นเอง!

เลือดลมของเฒ่าประหลาดอู้เต้าพลันปั่นป่วน จิตดั้งเดิมสั่นสะท้าน พื้นดินเบื้องหน้าหมุนวน เรือนกายโคลงเคลงไปมาจนเกือบจะล้มลง

โลหิตเสียสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากลำคอ เขาจำต้องบ้วนมันลงพื้นอย่างกลั้นไม่ไหว

เขารีบนั่งลง ก่อนจะเริ่มเคลื่อนย้ายลมปราณรักษา

ตงหวางเซียนที่อยู่เบื้องล่างธารน้ำตกพลันลืมตาขึ้น ประกายแสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตา พุ่งทะลุสายน้ำตกเบื้องหน้า

เขารีบลุกขึ้นในทันที เคลื่อนย้ายร่างไปยังข้างกายเฒ่าประหลาดอู้เต้าด้วยความรวดเร็ว

ภายใต้แสงแดดที่ทอประกายสาดส่อง ร่างกายท่อนบนของตงหวางเซียนเปลือยเปล่า ลายกล้ามเนื้อปรากฏออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่อวบอ้วน ไม่ผอมบาง เป็นความงามที่ยากจะพรรณนาชนิดหนึ่ง เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาได้รูป คิ้วคมตาเป็นประกาย ละอองน้ำที่ทำให้เส้นผมสีดำขลับเปียกชื้นเริ่มระเหิดระเหย เรือนผมสีดำพลิ้วไสว เริ่มที่จะแห้งหมาด

ตงหวางเซียนขมวดคิ้วเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป”

เฒ่าประหลาดอู้เต้าไม่ได้ลืมตาขึ้น ทว่ากัดฟันกรอด เอ่ยว่า “มีคนกำลังสาปแช่งข้า!”

อย่างไรเสียเฒ่าประหลาดอู้เต้าก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญใหญ่ระดับรวมกายา ย่อมพบเจอโลกมามากกว่าเซียวเอ้อร์ นักพรตเต๋าชิงเสียน และราชาปีศาจเตี่ยนซู่

เขาเข้าใจพลังมรรคของตนเองเป็นอย่างดี ไม่มีทางจะประสบกับความเสียหายครั้งใหญ่อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้

ต้องมีใครบางคนสาปแช่งเขาลับหลัง!

คิ้วของตงหวางเซียนยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น เอ่ยถามว่า “เป็นผู้ใดได้บ้าง บอกกล่าวแก่ศิษย์ ศิษย์จะไปสังหารมันเดี๋ยวนี้!”

“อาจารย์เองก็ไม่แน่ใจนัก ไม่สามารถคาดเดาที่มาของพลังคำสาปนี้ได้เลย เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าจงตั้งใจฝึกฝน พยายามบรรลุพลังวิเศษให้ได้โดยเร็ว”

หลังจากที่เฒ่าประหลาดอู้เต้ากล่าวจบก็ไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ หันไปจดจ่อรักษา

ระหว่างที่ตงหวางเซียนกำลังจะจากไป เฒ่าประหลาดอู้เต้ากลับกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง

สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเจ็ดมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ได้ อีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งเพียงใด

ตงหวางเซียนมีท่าทีครุ่นคิด

……

ใช้กำลังทั้งหมดสาปแช่งมาครึ่งค่อนวัน กระทั่งระบบแจ้งเตือนสัญญาณอันตราย หานเจวี๋ยถึงได้หยุดลง เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ

หลายวัยต่อมา อาการบาดเจ็บของหานเจวี๋ยก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

“ตาแก่นั่นคงลำบากไม่น้อย”

หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างพึงพอใจ ไม่นาน เขาก็เข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง

ตอนนี้เขาไม่กลัวว่าเฒ่าประหลาดอู้เต้าจะมาสังหารแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมกายา

หานเจวี๋ยเริ่มฝึกฝนพลังภายในของวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นเจ็ดก่อน

พลังภายในขั้นเจ็ดสูงล้ำกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก เมื่อเริ่มฝึกฝนก็ยิ่งซับซ้อน

สิบกว่าวันหลังจากนั้น หานเจวี๋ยอาศัยคุณสมบัติที่แข็งแกร่งของตนเข้าควบคุม จากนั้นก็เริ่มดูดซับปราณเพิ่มพูนพลังตบะ

หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าขอบเขตพลังของตนนับวันยิ่งสูงขึ้น แต่ความเร็วในการฝึกฝนของเขากลับไม่ได้ช้าลง ที่สำคัญคุณสมบัติของเขาก็เริ่มที่จะโดดเด่น

ตอนนี้เขากำลังดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน ราวกับวาฬที่กลืนกินน้ำ ทุกๆ วันเขาสามารถสัมผัสได้ว่าตบะของเขากำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากผลพวงจากคุณสมบัติของเขาแล้ว ก็ต้องขอบคุณพลังวิญญาณที่ได้มาจากต้นฝูซังและเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

นานๆ ครั้งหลี่ชิงจื่อจะให้คนนำของล้ำค่าฟ้าดินที่ดีมากกว่าเดิมมาสับเปลี่ยนปลูกในเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ทำให้พลังปราณในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไหลเวียนมากขึ้นตลอดเวลา

เขาทำเช่นนี้เพื่อต้องการให้หานเจวี๋ยไม่คิดจะจากไป

แม้หานเจวี๋ยจะกล่าวว่าเขาไม่คิดจะจากไปไหน ด้วยกลัวเรื่องราวยุ่งยากภายนอก แต่หลี่ชิงจื่อเข้าใจดีว่าเมื่อไรที่หานเจวี๋ยรู้สึกว่าพลังวิญญาณของที่นี่ไม่เพียงพอ เขาก็ต้องจากไปอย่างแน่นอน อาจารย์ปู่ในปีนั้นก็เป็นเช่นนี้

การฝึกบำเพ็ญไม่มีระยะเวลา

ผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังเมื่อปิดด่านอย่างน้อยก็ใช้เวลาสิบปี

ชั่วพริบตาเดียว

เวลาสิบห้าปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยทะลวงระดับรวมกายาขั้นสองสำเร็จอย่างราบรื่น

โอสถที่สิงหงเสวียนมอบให้เขาก็ใช้หมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าโอสถเหล่านั้นจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ ส่วนตบะเองก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย

เวลานี้หานเจวี๋ยฝึกฝนวิชาเวทมาตลอด พลังวิญญาณอยู่ในระดับที่สามารถสังหารศัตรูได้ แต่ความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของเขานั้นใกล้เคียงกับผู้บำเพ็ญในระดับเดียวกัน โชคดีที่เขามีสมบัติวิญญาณมากมายที่สามารถป้องกันกายเนื้อได้

หลังจากทะลวงขั้นสำเร็จ หานเจวี๋ยก็ออกจากถ้ำเทวาอีกครั้ง

เขาเดินไปที่ด้านหน้าต้นฝูซังเพื่อยืดเส้นยืดสาย เมล็ดน้ำเต้าพิภพเซียนเริ่มงอกเครือเถาวัลย์ออกมาพันเกี่ยวรอบต้นฝูซัง ดูราวกับงูเขียวตัวหนึ่ง

ระยะเวลาที่น้ำเต้าพิภพเซียนจะผลิดอกออกผลนั้นยังอีกยาวไกล ตอนนี้หานเจวี๋ยหวังเพียงว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น

หานเจวี๋ยยืดเส้นยืดสายไปพลางเปิดดูค่าความสัมพันธ์เพื่ออ่านจดหมาย

ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเหล่าสหายจะเป็นอย่างไรบ้าง

[สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x18928

[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสหายร่วมสำนัก] x76

[ซูฉีศิษย์ของท่านตกอยู่ในหุบเหวมาร เป็นตายไม่แน่ชัด]

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ดวงชะตาสำนักมารปีศาจถดถอย ความเป็นไปได้ที่ศิษย์ทั้งสำนักจะเผชิญกับมารในใจเพิ่มขึ้น]

[สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x3422

[ฉางเยวี่ยเอ๋อร์สหายของท่านรู้แจ้งสัจธรรมในชีวิต พลังมรรคเพิ่มพูน]

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x4893

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x4211

……

หานเจวี๋ยกวาดสายตาเพียงครั้ง ในใจแอบรู้สึกกลัว

น่าเวทนาจริงๆ!

คนเกือบทั้งหมดล้วนถูกโจมตี!

ซูฉีตกไปในหุบเหวมาร คาดว่าคงจะถูกทำร้ายจากสำนักมารปีศาจ ยามนี้สำนักมารปีศาจถึงคราวอนาถแล้ว

อีกอย่าง สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นคงคลั่งไปแล้วจริงๆ ยุแหย่ศัตรูไปทั่ว มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งตลอดเวลา

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังครุ่นคิด จู่ๆ สวิฉางอันก็พลันเอ่ยปากขึ้นว่า “อาจารย์ ช่วงนี้พอตกดึกต้นฝูซังมักจะสั่นไหวเอง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

หานเจวี๋ยแคลงใจ เอ่ยถามว่า “สั่นไหวเอง? มีชีวิตแล้วหรือ”

สวินฉางอันส่ายหน้า เขาเองก็ไม่แน่ใจ

หานเจวี๋ยใช้พลังจิตส่องเข้าไปภายในต้นฝูซัง หากแต่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของจิตดั้งเดิม

หากกลายเป็นสิ่งมีชีวิต จะก่อกำเนิดสติปัญญา และแน่นอนว่าจะต้องมีจิตดั้งเดิม

หานเจวี๋ยตัดสินใจที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่อาจทำให้ต้นฝูซังมีปัญหาได้!

ค่ำคืนมาเยือน

หานเจวี๋ยเดินออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน พบว่าต้นฝูซังกำลังสั่นไหวเองจริงๆ ราวกับมีมือไร้ลักษณ์สองข้างกำลังเขย่าลำต้นก็ไม่ปาน

สวินฉางอันรู้สึกกลัวอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ถอยห่างจากต้นฝูซังมาไกล

หานเวี๋ยสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเริ่มแปลกประหลาดขึ้นมา

หรือว่า…

ต้นฝูซังกำลังร้องเรียกอะไรอยู่?

……………………………………………………………………………………….

[1] ตัวอักษรคำว่าคนในภาษาจีน มีลักษณะขีดสองขีดที่ส่วนปลายบรรจบกัน 人