บทที่ 106 ท่านพ่อมารับเสี่ยวเป่า

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 106 ท่านพ่อมารับเสี่ยวเป่า

บทที่ 106 ท่านพ่อมารับเสี่ยวเป่า

“ไม่ว่าองค์หญิงเก้าจะทำสิ่งใดก็ล้วนนึกถึงฝ่าบาทอยู่เสมอ เมื่อพืชผลในสวนสุกงอม ผู้แรกที่นึกถึงก็คือฝ่าบาท แม้ตอนนี้องค์หญิงจะอยู่ด้านนอก ทว่าอีกไม่นานคงต้องรีบกลับมาเป็นแน่”

หนานกงสือเยวียนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาดีขึ้นไม่น้อย

พอได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในกล่องอาหารก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นมา

“กุ้งก้ามแดงรึ?”

ฝูไห่กงกงเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน “นะ…นี่คือกุ้งก้ามแดงจริง ๆ”

มิแปลกใจเลยที่เขาจะประหลาดใจเช่นนี้ เนื่องจากวันนี้ระหว่างว่าราชการ เหล่าขุนนางได้มีการปรึกษาหารือกันเรื่องทะเลสาบชุนถิงและแม่น้ำจ่างอวี่ที่เชื่อมติดกัน มีปัญหาเรื่องจำนวนกุ้งก้ามแดงที่มากเกินไป

ผู้ใดจะคาดคิดกันว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครสนใจในตอนแรกจะเติบโตอย่างรวดเร็วในทะสาบชุนถิง ก่อนไหลไปตามแม่น้ำที่เชื่อมติดกันลงไปยังนาข้าว ทั้งยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ

เป็นเรื่องจริงที่มีคนจับกุ้งก้ามแดงไปเลี้ยงปศุสัตว์ แต่ความเร็วที่เหล่าปศุสัตว์กินนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับความเร็วในการแพร่พันธุ์ของกุ้งก้ามแดง

กุ้งปูปลาบางชนิดในแหล่งน้ำเริ่มมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะกุ้งก้ามแดงเหล่านี้

มีหลายคนสังเกตได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประชาชนเองก็เริ่มเกิดความกังวล หากแต่ก็ไร้หนทางจัดการพวกมัน!

พวกมันมีจำนวนมากเกินไป ทำอย่างไรก็ไม่อร่อย ซ้ำยังมีเนื้อน้อยนิด นอกจากคนที่ยากจนข้นแค้นจริง ๆ ก็ไม่มีผู้ใดต้องการกิน ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงไม่ต้องการจับมันขึ้นมา

หากให้คนของราชสำนักเป็นคนจับก็ไม่เพียงจะต้องใช้แรงและเวลา แต่ยังต้องใช้เงินอีกไม่น้อย ซึ่งนับได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่ได้ไม่คุ้มเสีย

อีกอย่าง ต่อให้จับกุ้งก้ามแดงทั้งหมดได้ แต่จะจัดการซากเหล่านั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นปัญหา

ตอนนี้อยู่ในช่วงอากาศร้อน อาหารจำพวกสัตว์น้ำยิ่งมีกลิ่นแรง หากทิ้งเอาไว้โดยไม่มีการถนอมรักษา กลิ่นคาวก็จะยิ่งคลุ้ง ไม่ว่าทางใดก็ล้วนเป็นปัญหา ขุนนางทั้งหมดหารือกันในท้องพระโรงก็ยังไม่อาจหาทางออกได้

ขณะที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้ องค์หญิงน้อยกลับส่งกุ้งก้ามแดงมาให้ฝ่าบาทพอดี นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่อง ‘น่าตื่นเต้นดีใจ’ อย่างนั้นหรือ?

ทันทีที่ฝูไห่ได้กลิ่นก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

“ฝ่าบาท กลิ่นของกุ้งก้ามแดงหอมยิ่งนัก พระองค์น่าจะเสวยได้ไม่ยาก จะให้กระหม่อมแกะให้ลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงสือเยวียนกล่าวออกมาเสียงเรียบ “ข้าจะแกะเอง”

พูดแล้วเขาก็เริ่มลงมือทันทีภายใต้สายตาของฝูไห่

นิ้วของหนานกงสือเยวียนเรียวยาวเป็นข้อชัดเจน นี่เป็นมือของผู้อยู่ดีกินดี แต่กลับมีรอยด้านมากมายที่ฝ่ามือและนิ้ว มีแม้กระทั่งรอยแผลเป็นที่ไม่เลือนหาย

รอยด้านจำนวนมากที่หลงเหลือจากการฝึกฝน ทำให้เขาแกะเปลือกกุ้งได้อย่างง่ายดาย

ปลายนิ้วของฮ่องงเต้หนุ่มเปื้อนน้ำมัน แต่การแกะเปลือกของเขานั้นยังคงคล่องแคล่วเพลินตา ชั่วอึดใจต่อมาก็สามารถแกะเนื้อกุ้งออกมาได้

แม้เพียงได้กลิ่นก็ทำให้ตั้งความหวังมากแล้ว และพอกินเข้าไปก็ยิ่งทำให้คนตื่นตะลึงด้วยความอัศจรรย์

แม้อารมณ์ของเขาจะแสดงออกมาเพียงแค่พริบตาเดียว ทว่าฝูไห่ยังคงสังเกตเห็น

ดูเหมือนว่ากุ้งก้ามแดงจะอร่อยเป็นอย่างยิ่ง!

“ไม่เลว”

เสียงของหนานกงสือเยวียนนั้นเรียบเฉย แต่แค่สองคำที่ออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กงกงเฒ่าประหลาดใจ

ในฐานะฮ่องเต้ย่อมได้ลิ้มลองอาหารชั้นยอดมาไม่น้อย ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เขาเอ่ยคำว่าไม่เลวออกมาได้ นับว่ามีอยู่น้อยมาก

‘คาดไม่ถึงเลยว่ากุ้งก้ามแดงที่น่ารังเกียจ จะสามารถทำออกมาได้อร่อยถึงเพียงนี้’

ตอนนี้เขาค้นพบวิธีแก้ปัญหากุ้งก้ามแดงที่มากเกินไปได้แล้ว

ธิดาตัวน้อยของเขา เพียงออกไปเที่ยวเล่นก็ยังแก้ปัญหาให้เขาได้ นับว่าเป็นดาวนำโชคดวงน้อยจริง ๆ

ขณะเดียวกันนี้เอง เสี่ยวเป่ากำลังเล่นสนุกเพลิดเพลินจนลืมทุกสิ่ง

ญาติผู้พี่ของนางนำว่าวที่ดูสวยงามตัวหนึ่งออกมา แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ฤดูที่ดีสุดในการเล่นว่าว แต่ด้วยความช่วยเหลือของทุกคน ว่าวตัวนี้จึงยังคงสามารถล่องอยู่บนท้องฟ้าได้

เสี่ยวเป่าวิ่งเล่นว่าวในสวนดอกไม้ของท่านอาเจ็ดจนเหงื่อชุ่ม เสี่ยวไป๋กับโร่วโร่วต่างกระดิกหางวิ่งตามข้างกายของนาง ดูสนุกสนานไร้กังวลกันอย่างถึงที่สุด

ด้านในศาลา หนานกงหลีกำลังนั่งกินเหล่าบรรดาของว่างที่เสี่ยวเป่าซื้อมาวันนี้ ขณะเดียวกันก็พิจารณาตุ๊กตาปั้นตัวน้อยในมือ

“ไม่ได้ดูดีเท่าข้าเลย ไม่แม้แต่จะถ่ายทอดท่าทางสง่างามแลอิสระดั่งต้นหยกเล่นลม*[1]ของข้าออกมาได้”

พูดแล้วเขาก็ล้วงเอากระจกทองแดงขนาดเล็กเท่าฝ่ามือจากที่ใดก็ไม่รู้ออกมาส่องใบหน้าของตนเอง

“ผู้ใดกันจะสามารถถ่ายทอดความงามของข้าออกมาได้? หึ ขนาดเสี่ยวเป่าเห็นแล้วยังชื่นชอบ หลานสาวของข้า นอกจากเสด็จพี่แล้วก็ชอบข้าผู้เป็นอาที่สุด”

ท่าทางหลงตัวเองเช่นนี้ กระทั่งบุตรชายก็ยังทนมองไม่ไหว ต่างเบือนหน้าหนีไม่อยากเห็นอีก

ขณะเดียวกันนั้น เสี่ยวเป่าเองก็เหนื่อยจากการวิ่งจนใบหน้าแดงก่ำ ดูราวกับลูกท้อที่ฉ่ำวาว เนื้อสีขาวอมชมพูชวนให้คนมองคิดอยากลองกัดเข้าไปสักคำ

เสี่ยวเป่าที่วิ่งเข้ามาหาเพราะต้องการจะดื่มน้ำ ถูกท่านอาเจ็ดกอดแล้วงับแก้มกลม ๆ ในทันที

“เหตุใดหลานสาวตัวน้อยของข้าถึงได้น่ารักขนาดนี้กันน้า~”

เสี่ยวเป่าใช้สองมือดันใบหน้าของท่านอาเจ็ดออกไป ร่างเล็กเอนตัวไปทางด้านหลัง

“ท่านอาเจ็ด บนตัวเสี่ยวเป่ามีแต่เหงื่อ”

“ไม่เป็นไร ท่านลุงเจ็ดไม่รังเกียจเจ้า”

เสี่ยวเป่า ‘…แต่เสี่ยวเป่ารังเกียจท่าน’

ทว่าท่านอาเจ็ดก็อายุไม่น้อยแล้ว เสี่ยวเป่าเกรงว่าหากตนเองเอ่ยออกไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจของเขา ดังนั้นจึงปิดปากไม่เอ่ยออกมา

“อยากกลับไปหาท่านพ่อแล้ว”

เมื่อแหงนหน้ามองสีท้องฟ้า ก็พบกับตะวันลับลาขอบฟ้าไปครึ่งหนึ่งจนผืนนภากลายเป็นสีแดง บ่งบอกว่าช่วงกลางวันกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

หนานกงหลีอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาในพริบตา เขาพยายามโน้มน้าวหลานสาวตัวน้อย

“เสี่ยวเป่าวันนี้เจ้านอนที่บ้านของอาเจ็ดดีหรือไม่?”

เจ้าก้อนแป้งที่เผชิญหน้ากับสายตาคาดหวังของท่านอาเจ็ดทำได้เพียงปฏิเสธออกมาอย่างลำบากใจ

“ไม่ได้ ท่านพ่อต้องการเสี่ยวเป่า!”

หากไม่มีเสี่ยวเป่าท่านพ่อจะนอนไม่หลับ

“แต่ท่านอาเจ็ดก็ต้องการเสี่ยวเป่าเช่นกัน”

หนานกงหลีแสร้งทำตัวน่าสงสาร สีหน้าของเสี่ยวเป่าแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งยาก

หนานกงหลีเห็นว่าได้ผลก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมา

“ท่านอ๋อง มีรถม้าของทางพระราชวังมาพ่ะย่ะค่ะ”

พริบตานั้นเอง เจ้าเด็กน้อยก็ทิ้งท่านอาเจ็ดของตนเองในทันที ก่อนวิ่งออกไปด้วยขาป้อม ๆ

“ท่านพ่อมารับเสี่ยวเป่าแล้ว ท่านอาเจ็ด ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อเองว่าพรุ่งนี้สามารถออกมาเล่นกับท่านได้หรือไม่”

หนานกงหลี “…”

มีท่านพ่อก็ลืมท่านอาคนนี้เสียแล้ว!

ภายในใจของคนบางคนตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยรสเปรี้ยว ก่อนหน้านี้มีแต่คนอื่นอิจฉาเขา ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายอิจฉาผู้อื่นเสียแล้ว

อนิจจา โลกช่างไม่ยุติธรรม เห็นได้ชัดว่าผู้ที่แสดงความเป็นห่วงบุตรสาวออกมาน้อยที่สุดคือเสด็จพี่ แล้วเหตุใดเสี่ยวเป่าถึงไม่มาเป็นบุตรีของเขากัน!

รถม้าหยุดลงที่จวนเซียวเหยาอ๋อง ทันทีที่เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนรถม้า

แม้ฮ่องเต้จะไม่ได้กริ้ว แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกกดดัน เห็นได้ชัดว่าด้านในรถม้าใหญ่กว้างขวาง ทว่าเมื่อเขานั่งด้านในก็เหมือนจะคับแคบลงถนัดตา

“ท่านพ่อมารับเสี่ยวเป่าแล้ว!”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าทอประกายด้วยความดีใจ นางเข้าไปกอดเอวกำยำของเขาแล้วเอาหัวถูไถไปมา

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่าน ท่านได้ลองทานกุ้งมังกรน้อยที่เสี่ยวเป่าส่งไปให้หรือยัง ท่านพ่อ ข้าจะเล่าในท่านฟัง วันนี้เสี่ยวเป่ากับพี่ใหญ่แล้วก็ท่านอาเจ็ด…”

เพียงแค่อยู่กับท่านพ่อของตน เสี่ยวเป่าก็กลายเป็นคนช่างพูด ราวกับว่าพูดได้ตลอดไม่มีวันจบสิ้น

[1] ต้นหยกเล่นลม (玉树临风) อุปมาถึงชายหนุ่มรูปงาม หล่อเหลา อ่อนโยน และสง่างาม