ใบหน้าของหมี่ฉงแข็งทื่อ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ไม่มีนะ เจ้าไปเห็นใครแบกโลงศพอยู่บนถนนหรือ? นั่นไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก”
“คำถามที่หม่อมฉันถามมันไม่ใช่คำถามทั่วไปเพคะ มันควรจะเป็นวันที่น้อมรำลึกถึงใครสักคน” ฉินปู้เข่อพยายามแก้ไขคำพูดให้ถูกต้อง
บุคคลที่ทำให้พระสนมเสียนผินและหมี่เฉินอี้ออกมาเผากระดาษทองจุดเพลิงเพื่อทำพิธีไหว้บรรพบุรุษในเวลาเดียวกันได้จะต้องมีตำแหน่งที่สูงส่งบนโลกใบนี้ แต่นางกลับไม่เห็นร่องรอยการจัดพิธีไหว้บรรพบุรุษในพระราชวังเลย ดูเหมือนว่าหมี่เฉินอี้กับฝูหลิงจะแอบมาถวายเครื่องบูชาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหมี่ฉงไม่ยอมตอบคำถาม นางจึงจับมือของหมี่ฉงขึ้นมาและเขียนสองสามประโยคลงไปในมือ “พิจารณาจากชื่อแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงทำนองนั้น หม่อมฉันไม่ทราบว่า…”
“อ๋องหมี่ลี้ หมี่ลี้เจิง?” ฉินปู้เข่อพึมพำ “บางทีอาจจะเป็นชื่อพวกนี้เพคะ”
ฝ่ามือของเขาเริ่มออกฤทธิ์ชา หมี่ฉงมองดูหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนตัวหนังสืออย่างจริงจัง เขาดึงมือของตนเองกลับมา และพานางไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ
“น้องสะใภ้ รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้มีคนมาถวายเครื่องบูชา และเจ้าได้ชื่อเหล่านี้มาจากที่ใดหรือ”
ฉินปู้เข่อจ้องมองหมี่ฉงที่เปลี่ยนท่าทางเป็นจริงเป็นจังอย่างกะทันหัน และทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ว่านางกำลังแอบสอดแนบความลับของราชวงศ์เข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
นางไม่รู้ว่าควรจะกล่าวออกไปอย่างไรดี
“หืม? เจ้าไปเห็นมันที่ไหนหรือ เจ้าพูดมาเถิด” เมื่อเห็นนางตกตะลึงไปชั่วขณะ หมี่ฉงจึงบีบไหล่ของนางและเอ่ยถาม
“ท่านอาฝูหลิงที่อยู่กับเสด็จแม่เสียนผิน กระดาษครึ่งท่อนตกลงมาจากร่างกายของนางและมีชื่อเขียนอยู่บนนั้นเพคะ” ฉินปู้เข่อพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก
“เจ้ารู้แค่ว่ามีชื่อบูชาอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นหรือ?” หมี่ฉงขมวดคิ้ว และเพิ่มแรงไปยังข้อมือที่บีบไหล่อยู่อีกเล็กน้อย น้องสะใภ้ตัวน้อยเฉลียวฉลาดนัก หากไม่มีหลักฐานอย่างอื่น เขาคงไม่กล่าวออกไปตามตรงว่ามีพิธีการถวายเครื่องบูชา
ฉินปู้เข่อเม้มริมฝีปากและเลือกที่จะกล่าวออกมาส่วนหนึ่งเท่านั้น “หม่อมฉันได้กลิ่นกระดาษทองจุดเพลิงจากร่างกายของท่านอาฝูหลิงเพคะ…”
เมื่อสังเกตเห็นความดุดันที่แวบเข้ามาในดวงตาของหมี่ฉง ฉินปู้เข่อจึงกล่าวต่อว่า “แต่เสด็จพี่สาม ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปเพคะ กลิ่นมันอ่อนมาก หากไม่เข้าใกล้ก็คงไม่ได้กลิ่น และคนอื่นคงจะไม่ได้กลิ่นเช่นกันเพคะ”
“กระดาษแผ่นนั้นอยู่ที่ใด กระดาษที่มีชื่อติดอยู่น่ะ”
“หายไปแล้วเพคะ หม่อมฉันทำได้แค่เหลือบมองมันระหว่างทางที่เดินออกมาจากตำหนักเท่านั้น หม่อมฉันไม่เข้าใจและทำมันหายไป” มันหายไปแล้วจริง ๆ ต่อให้นางจะจงใจทำหายหรือไม่ก็ตาม แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดคือกระดาษแผ่นนั้นได้หายไปแล้ว
“กระดาษที่มีชื่อเขียนอยู่มันสำคัญมากหรือเพคะ” ฉินปู้เข่อรู้สึกลังเลที่จะถามออกไป
“ไม่หรอก” มือใหญ่ของหมี่ฉงปล่อยฉินปู้เข่อให้เป็นอิสระ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ขณะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล “เจ้าได้บอกโม่หรู่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?”
“ไม่ทันได้บอกเพคะ พอหม่อมฉันเล่าว่าหม่อมฉันไปเข้าเฝ้าพระสนมเสียนผินที่ตำหนักถังหลีมา เขาก็ไล่ตะเพิดหม่อมฉันออกมาเลยเพคะ” ฉินปู้เข่อเบะปากและพยายามสร้างบรรยากาศให้ดูน่าอึดอัดน้อยลง
“จำเอาไว้ว่าถ้ามีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เจ้าต้องมาบอกพี่สามก่อน อย่าพูดถึงคำพวกนี้ต่อหน้าโม่หรู่เด็ดขาด ในเมื่อสั่งไม่ให้เจ้าไปตำหนักถังหลี เจ้าก็ห้ามไป” การแสดงออกของหมี่ฉงดูจริงจังยิ่งนัก จากนั้นเขาจึงเพิ่มระดับน้ำเสียงให้ดังขึ้น “เจ้าห้ามพูดถึงเรื่องพวกนี้ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ทำเสียว่าเจ้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนก็แล้วกัน”
ฉินปู้เข่อพยักหน้าและยกมือขึ้นมาทำท่าทางเย็บปากของนาง “สวรรค์รู้โลกรู้ ท่านรู้และข้าก็รู้ด้วย”
บางทีหมี่เฉินอี้ก็อาจจะรู้เช่นกัน?!
ฉินปู้เข่อรู้สึกราวกับการขี่หลังเสือนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก และการมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย
“เอาล่ะ เสด็จพี่สาม ท่านเตรียมของที่จะเอาไปพระราชวังเสร็จหรือยังเพคะ” ฉินปู้เข่อรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“ข้าเป็นชายโสด จะต้องเตรียมอันใดเล่า แค่พาคนไปเล่นสนุกก็พอแล้ว” หมี่ฉงเปลี่ยนท่าทีการแสดงออกให้ดูผ่อนคลายเหมือนเช่นเคย และเหลือบมองฉินปู้เข่อด้วยความสนใจ “น้องสะใภ้ เจ้าต้องเตรียมของไปให้ดีล่ะ คราวที่แล้วเจ้าช่างเลื่องชื่อนัก องค์ชายองค์หญิงจากราชวังต่าง ๆ รวมทั้งตระกูลขุนนางทั้งหลายล้วนอยากทำความรู้จักกับเจ้าทั้งนั้น”
ฉินปู้เข่อหวนนึกถึงความอับอายที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยวงบทสนทนาจากขุนนางชนชั้นสูงทั้งหลายท่ามกลางงานเลี้ยงในวังเมื่อบ่ายวันนั้น และเปิดปากพูดด้วยความเป็นกังวล “หม่อมฉันไม่ใช่หญิงงาม จะต้องให้หม่อมฉันทำเยี่ยงไรเพคะ หม่อมฉันสร้างเรื่องอับอายเอาไว้กับองค์ชายและองค์หญิง หม่อมฉันคงต้องจำชื่อพวกเขาให้สอดคล้องกับหน้าตา”
“ฮ่า ข้ามีวิธีแก้ ไป ไปหอสมุดแล้วข้าจะเขียนชื่อวาดหน้าตาขององค์หญิงทั้งหลายให้เจ้าดู เจ้าจะได้ใช้เวลาสองสามวันที่เหลือในตำหนักจดจำพวกนาง จะได้ไม่ต้องอับอายที่จดจำใครไม่ได้เหมือนในครั้งที่ผ่านมาอีก”
“เสด็จพี่สาม หม่อมฉันมีพู่กันและน้ำหมึกอยู่ในห้องเพคะ ท่านช่วยเข้ามาเขียนให้ข้าในห้องได้หรือไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อทำบูดบึ้ง “หม่อมฉันทำให้ชายผู้นั้นขุ่นเคือง เขาคงไม่อยากพบหม่อมฉัน อีกทั้งยังทำหน้าไม่พอใจบูดบึ้งยิ่งนัก วันนี้หม่อมฉันคงไม่กล้าไปให้เขาเห็นหน้าหรอกเพคะ”
หมี่ฉงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นฉินปู้เข่อเลียนแบบท่าทางของอีกคน “ก็ได้ งั้นไปที่สวนเฉินอวี้กัน”
ไม่ไกลจากปากประตูสวนชิงอวี้
หมี่โม่หรู่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นมองดูทั้งสองคนที่มีท่าทางสนิทสนมหยอกล้อกันอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาบูดบึ้งขึ้นเล็กน้อย และจ้องเขม็งไปที่ด้านหลังของคนทั้งสองที่กำลังเดินเข้าไปยังสวนเฉินอวี้
พระชายาตัวน้อยไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่กลับถูกเขาเข้าใจผิดอย่างไร้เหตุผลเพียงเพราะเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขายังคงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ต้องการการปลอบประโลมจากเขาแล้ว
“กลับไปหอสมุด”
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินก้มศีรษะลงและเข็นรถเข็นกลับออกไปตามคำสั่ง
ทักษะการวาดภาพคนรู้จักของหมี่ฉงนั้นช่างโดดเด่นเป็นอย่างมาก องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายถูกดัดแปลงให้คล้ายกับรายชื่ออาหารโดยตรง และง่ายต่อการจำจดยิ่งนัก
เขาจะกล่าวอธิบายพร้อมกับวาดภาพไปด้วย ฉินปู้เข่อจึงได้เรียนรู้จากการฟังและจับคู่ใบหน้าให้เข้ากับชื่อที่ถูกผสมปนเปกันมาก่อนหน้านี้
และสุดท้าย เขาก็เขียนถึงองค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งออกเรือนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ในวันแต่งงานขององค์ชายรัชทายาท นางไม่รู้เลยว่ามันเป็นความจงใจขององค์ชายหรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะวังบูรพาไม่ได้เชิญอ๋องหลี่ชินให้ไปเข้าร่วมพิธีการ หมี่โม่หรู่จึงฉวยโอกาสจากความยุ่งเหยิงของข้าราชการพลเรือนและทหารอารักขาที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเขา พานางออกไปเดินเล่นบนภูเขาที่อยู่นอกเมือง ดังนั้นฉินปู้เข่อจึงไม่เคยเห็นองค์ชายรัชทายาทเสียที
“เจ้าก็รีบจดจำรูปภาพเหล่านี้ในช่วงเวลาว่างสองสามวันนี้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้ไม่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนและสับสนอีกครั้ง” หมี่ฉงวางพู่กันลงและส่งภาพวาดใบหน้าในมือของเขาให้แก่นาง “ข้าจะไปหาเจ้าเจ็ดก่อน”
“เพคะ” ฉินปู้เข่อหยิบภาพวาดใบหน้าขึ้นมาและพยายามจดจำมันอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งนางรู้สึกหิวจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
นางเงยหน้าขึ้นมามองและเห็นเพียงความมืดมิดที่ด้านนอกหน้าต่าง “ท่านอ๋องยังไม่มาที่นี่อีกหรือ”
โดยปกติแล้ว หมี่โม่หรู่มักจะกลับมาทานอาหารเย็นกับนางในช่วงเวลานี้ และอยู่พักในสวนเฉินอวี้ด้วยกัน จนนางเคยชินกับชีวิตแบบนั้นไปเสียแล้ว
“ยังเลยเพคะ ไม่เช่นนั้นนางกำนัลคงส่งเสียงมาแล้ว หรือบางทีท่านอ๋องอาจจะลืมเวลาไปก็ได้นะเพคะ”
ทันทีที่ซวงหวนกล่าวจบ เสียงของอู๋เหินก็ดังขึ้นที่หน้าประตู “คืนนี้ท่านอ๋องไม่ว่างพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเชิญทานอาหารได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฮอะ…
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้ว ชายผู้นี้ยังคงขุ่นเคืองอยู่สินะ ผู้คนเคยกล่าวไว้ว่า ‘คนโง่เขลาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์’ แต่เขาย่อมดีกว่านั้นมาก แค่ตอนนั้นที่ไม่ให้นางเห็นหน้ายังไม่เพียงพออีกหรือ แล้วตอนนี้ยังไม่ยอมมาเจอนางอีก
ฮึ่ม ไม่ใช่ว่านางจะกินไม่ได้นอนไม่นอนโดยไม่มีเขาเสียหน่อย!
“ซวงหวน ไปเอาสำรับเย็นมา ข้าหิวแล้ว!” หากไม่ใช่เพราะต้องรอเขา นางคงเริ่มทานอาหารเย็นไปนานแล้ว!
หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเย็น ฉินปู้เข่อมองดูรูปภาพใบหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงนอน
“กี่ยามแล้ว”
“พระชายา ยามไฮ่แล้วเพคะ”
ฉินปู้เข่อซุกศีรษะลงไปกับผ้าห่ม ทำไมวันเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ครั้งเมื่อหมี่โม่หรู่อยู่ด้วยกันที่นี่ เวลาช่างเดินเร็วยิ่งนัก และเขามักจะเข้ามาพักผ่อนในช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืน
ก่อนที่หมี่โม่หรู่จะย้ายเข้ามาอยู่กับนาง นางผ่านช่วงเวลาค่ำคืนที่ยาวนานเช่นนี้มาได้อย่างไรกันนะ…
ฉินปู้เข่อใช้ผ้าคลุมศีรษะของนางและกรีดร้อง เขาช่างน่ารำคาญยิ่งนัก! น่ารำคาญ! น่ารำคาญมากจนอธิบายออกมาไม่ถูก!
เมื่อใดก็ตามที่นิสัยชอบพึ่งพาคนอื่นได้ก่อตัวขึ้น มันช่างเป็นเรื่องยากเย็นที่เลิกทำนิสัยเช่นนั้น และนั่นไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยสักนิด!
ฉินปู้เข่อไม่รู้ว่านางกลิ้งไปมาบนเตียงกี่ครั้งแล้ว และในที่สุด นางก็ผล็อยหลับไป
มือเรียวที่อยู่ข้างเตียงค่อย ๆ แหวกม่านออกอย่างระมัดระวัง ขณะเหลือบมองความเลอะเทอะบนเตียง และอดไม่ได้ที่โน้มตัวลงไปหาคนที่ถีบผ้าห่มออกจากลำตัว ก่อนจะคลี่ผ้าออกและห่มผ้าห่มให้นางอย่างแน่นหนา
หลังจากทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น หมี่โม่หรู่ก็กัดฟันและทุบมือของตนเองอย่างรุนแรง
เหตุใดวันนี้ขาของเขาถึงไม่ยอมเชื่อฟัง เขาไม่สามารถควบคุมมันได้และรีบวิ่งออกมากลางดึก เฉกเช่นเดียวกันมือที่ไม่รักดีของเขา มันช่างน่ารำคาญเสียยิ่งนัก!
วันนี้เขารู้สึกไม่พอใจในตนเองอย่างมาก และความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นมันช่างแย่เสียกระไร!