บทที่ 109 ยอมรับออกมาเอง

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 109 ยอมรับออกมาเอง
แม้ว่าจ้านเป่ยเซียวจะรังเกียจ แต่สุดท้ายแล้วยังคงยอมลดสายตาของตนเองลงไปมองที่วัตถุชิ้นนั้น เพียงแวบเดียวก็มองเห็นทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองจ้านถิงเฟิงแล้วถอนหายใจ

ปฏิกิริยานี้ ทำให้สีหน้าของจ้านถิงเฟิงแข็งทื่อ

เฟิ่งชิงหัวเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องรู้จักผู้เป็นเจ้าของของชิ้นนี้หรือขอรับ ข้าเห็นของชิ้นนี้ก็พอรู้แล้วว่าเป็นของล้ำค่า คนทั่วไปไม่มีทางครอบครองมันได้”

จ้านเป่ยเซียวเชิดหน้าขึ้นโดยไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในตอนนั้นก็ได้ยินจ้านถิงเฟิงเอ่ยปากว่า “ต่อให้รู้ว่าเจ้าของของชิ้นนี้คือใครก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคือผู้ร้ายกระมัง ใครจะรู้ บางทีของชิ้นนี้อาจจะเป็นของที่สตรีนางนั้นขโมยมาก็เป็นได้”

สีหน้าของจ้านถิงเฟิงตอนนี้ย่ำแย่มาก

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า “รัช……คุณชายจ้านกล่าวได้อย่างมีเหตุผล ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแน่นอน ข้าน้อยก็ไม่ได้บอกว่าคนที่เป็นเจ้าของของสิ่งนี้คือผู้ร้าย ทำไมท่านถึงต้องร้อนใจเช่นนี้ด้วย หรือว่าแหวนนิ้วโป้งนี้เป็นของเจ้า”

จ้านถิงเฟิงโดนเฟิ่งชิงหัวเอ่ยขัด ตอนนั้นคิดจะบอกว่าไม่ใช่ แต่เมื่อเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวอยู่ที่นี่ด้วย ที่มาที่ไปของแหวนวงนี้ไม่มีใครรู้ดีเท่าพวกเขาสองคนนี้อีกแล้ว จึงได้แต่ต้องยอมฝืนกล่าวออกไปว่า “เมื่อก่อนใช่ แต่หลังจากนั้นมันหายไป”

ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวเบิกกว้างและเอามือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางเกินจริง “คุณชายจ้าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นท่านจริงๆ ท่านคงไม่ได้หลอกแม่นางน้อยใสซื่อคนนี้มาแล้วใช้แหวนวงนี้เป็นของแทนใจ จากนั้นจึงหักอกนางแล้วพลั้งมือสังหารนางเข้า?”

เส้นเลือดของจ้านถิงเฟิงกระตุก “หุบปาก! คนอย่างข้าจะปรายตาไปมองผู้หญิงบ้านนอกคอกนาเแบบนั้นได้อย่างไร”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหนานกงเยว่หลีที่ยืนตกตะลึงไม่พูดจา จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัยว่า “แต่องค์รัชทายาทเคยหมั้นหมายกับคุณหนูหนานกงไม่ใช่หรือ หลังจากนั้นได้ถอนหมั้นแล้ว บางทีท่านอาจจะเห็นว่านางหน้าดูเป็นลูกคุณหนูเหมือนคุณหนูหนานกง ก็เลยเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมา?”

“หุบปากเสีย! ข้าว่าเจ้าอย่าเป็นขุนนางชันสูตรศพเลย ไปเป็นนักเล่านิทานพเนจรแทนดีกว่า! หากมีหลักฐานเจ้าก็งัดออกมา หากไม่มีหลักฐานข้าจะฟ้องเจ้าในข้อหาใส่ร้าย!” จ้านถิงเฟิงโกรธจัด และไม่คิดจะปกปิดฐานะของตนเองอีกต่อไป จึงทำงายการปิดบังฐานะของตนเองไม้สุดท้ายด้วยการเปลี่ยนสรรพนามเรียกตนเอง

“ในเมื่อเกิดคดีความขึ้นแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็ปิดสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ใครก็ตามที่ปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ห้ามลงจากเขาเด็ดขาด รวมถึงตัวข้าด้วย!” คำพูดของจ้านเป่ยเซียวทำให้ทุกคนพากันตกใจ

“ท่านอ๋อง ท่านไม่ต้องก็ได้นะขอรับ ท่านมาถึงหลังจากเกิดคดีความขึ้นแล้ว ไม่อยู่ในกลุ่มของผู้ต้องสงสัยขอรับ” เหยียนหรูชิงกล่าว

“ได้อย่างไรกัน ตอนนี้องค์รัชทายาทตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว หากให้ข้าลงภูเขาไป เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะช่วยเขาปิดบังอำพลาง โดยเอาหลักฐานสำคัญบางอย่างไป” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างจริงจัง

จ้านถิงเฟิงหน้าดำคร่ำเครียด ตอนนี้ความซวยพวกนี้ได้ตกมาอยู่ที่เขาแล้วใช่หรือไม่?

สีหน้าของเหยียนหรูชิงชะงักไป คดีนี้ตอนนี้ได้เกี่ยวโยงไปถึงจวนองค์รัชทายาท จวนเจ้าผู้อารักขา จวนซื่อหล่างและจวนเฉิงเซี่ยง บัดนี้ยังมีจวนอ๋องเจ็ดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากเกินไปแล้ว

เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า “ใต้เท้า ในเมื่อท่านอ๋องเป็นคนที่มีความเที่ยงตรงเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็อย่าทำให้ท่านอ๋องต้องเสียน้ำใจเลย รีบไขคดีนี้ให้เร็วที่สุดเถิด ตอนนี้ให้เจ้าพนักงานพาทุกคนไปพักผ่อนก่อนเถิด”

หลังจากนั้นทุกคนต่างทยอยกันแยกย้ายไป เหลือเพียงนางในฝันของท่านอ๋องคนนั้นที่หันกลับมามองจ้านเป่ยเซียวด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง จ้านเป่ยเซียวก็ส่งสายตากลับให้นางด้วยความหมายเช่นเดียวกัน

เฟิ่งชิงหัวกระแอมเล็กน้อย อยู่ต่อหน้าพระชายาอย่างนางทั้งคน แต่กลับบอกว่าไม่รู้จักกัน เฮ้อ ผู้ชายนะผู้ชาย

หลังจากนั้นในห้องก็เหลือเพียงเฟิ่งชิงหัวและเหยียนหรูชิงทั้งสองหยิบคำให้การของแต่ละคนขึ้นมาแล้วลองอ่านเทียบกันดู จึงพบปัญหาจากเนื้อความเล่านั้นค่อนข้างมาก

“ใต้เท้า ข้ารู้สึกว่าคำให้การของสาวใช้คนอื่นๆ ไม่มีประโยชน์อะไร แต่คำให้การของบรรดาเจ้านายต่างหากที่น่าสนใจ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวพลางขยำกระดาษ

เหยียนหรูชิงตั้งใจลองเชิงนาง จึงถามว่า “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”