บทที่ 82 หย่าร้างสำเร็จ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 82 หย่าร้างสำเร็จ

“ยายหวัง นี่มันเช้าแล้วนะ ทำไมยังฝันเฟื่องแบบนี้อยู่อีกเล่า?”

“นั้นสิ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะเข้าไปรายงานที่ชุมชนใหญ่ มั่นใจได้เลยว่าลูกชายแกกับแม่ม่ายนั่นจะไม่มีวันได้ออกมาอีกตลอดชีวิต”

“ยายหวัง คุณจะกินเรียบทุกอย่างเลยใช่ไหม ฉันไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย!”

“คุณบอกว่าตัวเองคือยายหวังที่ฉลาดมาทั้งชีวิต ทำไมตอนนี้ถึงเกิดสับสันขึ้นมาล่ะ? หม่านซิ่วดีขนาดนี้ยังจะเลือกมากอีก แม่ม่ายนั่นเป็นคนอย่างไรเธอไม่รู้หรือไง?”

“ฉันสงสัยนัก แม่ม่ายตัวน้อยมั่วสุมกับชายอื่นตั้งหลายคน จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเด็กในท้องคือเมล็ดพันธุ์ของครอบครัวหวัง?”

“อย่าดีใจเก้อล่ะ จะเลี้ยงลูกให้คนอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้เนี่ย?”

……

คนของชุมชนการผลิตเซี่ยงหยางแย่งกันพูด กระซิบกระซาบเรื่องของยายหวังกันไม่หยุดหย่อน

เด็กในท้องของหลิวเสี่ยวชุ่ยเป็นเมล็ดพันธุ์ของตระกูลหวังจริง ๆ หรือ? เลี้ยงลูกให้บ้านอื่นมันน่าตลกจริง ๆ

แต่ถ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ของเราเองล่ะ? เหล่าเอ้อร์อายุสามสิบปีแล้วนะแต่ยังไม่มีลูกเลย แบบนี้ไม่ได้แล้ว

“พวกแกกำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ มันต้องเป็นหลานของฉันอยู่แล้ว ซูหม่านซิ่วนังโสเภณี แกอิจฉาเขาที่มีลูก เลยต้องทำร้ายเขาใช่หรือไม่”

“สวรรค์ ทำไมไม่เอานังแพศยาไร้ย่างอายอย่างซูหม่านซิ่วไปด้วย!”

“ถ้าฉันไม่ได้หย่ากับลูกชายคุณ เด็กที่เกิดมาจากหลิวเสี่ยวชุ่ยก็นับว่าเป็นลูกชู้! ถึงพวกเขาจะเข้าพิธีแต่งงาน แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม!” ซูหม่านซิ่วกล่าวเย็นชา

เธอกำลังลงเดิมพัน เดิมพันว่ายายหวังจะทนที่หลานชายกลับบ้านเกิดไม่ได้ และก็เป็นได้แค่ลูกชู้เท่านั้น

แน่นอนว่าหลังจากทำแบบนี้ ยายหวังก็เกิดความลังเลขึ้นมา

“ถ้าเกิดคลอดออกมาแล้ว พวกเราก็ค่อยไปฟ้องร้องที่ชุมชนใหญ่ต่อ บางทีคู่รักรองเท้าอาจจะออกมาไม่ได้จริง ๆ!” ซูเหล่าซานตัดสินใจทันที

ยายหวังคิดซ้ายตรองขวาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะยอมรับมันจริง ๆ

ในวันนั้น ซูหม่านซิ่วหย่าร้างสำเร็จ ส่วนของไอ้หมาหวังตัวนั้นเป็นยายหวังที่ลงนามแทนลูกชาย

เมื่อเทียบกับซูหม่านซิ่ว ยายหวังมีสีหน้าราวกับพ่อแม่ล่วงลับไปแล้ว

ครอบครัวหวังถูกแม่ไก่ไม่ออกไข่บีบบังคับให้หย่า อับอายจนถึงบ้านบรรพษุรุษเสียจริง!

ครั้นครุ่ดคิดถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเกลียดต่อซูหม่านซิ่วทวีเพิ่มพูน นังโสเภณีคนนี้ไม่ไว้หน้าบ้านหวังเลยแม้แต่น้อย รอมันกลับมาก่อนเถอะ ค่อยดูว่าเธอจะทารุณมันอย่างไร!

ซูหม่านซิ่วถือเอกสาร พร้อมถอนหายใจยืดยาว

กระดาษแผ่นนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวหวังนับแต่นี้ต่อไป

ซูหม่านซิ่วตื่นเต้นมากจนเกือบร้องไห้ หากแต่สุดท้ายหยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมา

เมื่อเห็นอดีตสะใภ้เป็นเช่นนี้ ยายหวังรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

นางแอบโล่งใจเงียบ ๆ นังแพศยา ตอนนี้เสียใจแล้วใช่ไหม?

เขาถ่มน้ำลายใส่ซูหม่านซิ่วและพูดอย่างดูถูกทำนองว่าเธอเป็นไก่ที่ไม่วางไข่ มาดูกันว่าชีวิตของแกเป็นอย่างไร

“ฉันจะบอกแกให้นะ จากนี้ไปแกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวหวังของเราอีกต่อไป ถ้าแกอยากกลับมา แกจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนฉันในอนาคต!”

ซูหม่านซิ่วมองดูปากของอดีตแม่สามีที่อ้า ๆ หุบ ๆ ท่าทางพ่นน้ำลายออกมา กลิ่นกระเทียมจากปากเน่า ๆ คู่นั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจ

เธอรู้แล้วว่าอดีตแม่สามีเป็นคนอย่างไร เธอรู้หมดไส้หมดพุง

คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถทำร้ายเธอได้อีกแล้ว

กลับไปงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

อีกอย่างต่อให้มีใครต้องการหรือไม่ต้องการ มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?

หลังจากอยู่ในเมืองได้สักพัก เธอมองออกว่าสตรีก็แบกรับฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ใช่เพียงลมปาก

ไม่ต้องพูดถึงคนงานประจำในเมือง ถึงจะเป็นพนักงานชั่วคราว แต่เธอก็ไม่มีปัญหาในการหาเลี้ยงชีพตัวเองเลย

ถึงตอนนี้ ทำไมต้องสนใจว่าต้องมีสามีด้วยหรือไม่ล่ะ?

ซูหม่านซิ่วพับเอกสารในมือเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ

ซูหม่านซิ่วในตอนนี้ดูแตกต่างจากคนก่อนหน้าเล็กน้อย แล้วยายหวังก็รู้สึกว่าตนคาดคะเนผิดพลาดไปหรือเปล่า

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า หลังจากนี้ซูหม่านซิ่วจะไม่กลับมาอีกแล้ว?

“ซูหม่านซิ่ว ถ้าแกเสียใจในตอนนี้แล้วก้มหัวขอร้องฉัน ฉันจะให้แกกลับมาอยู่ในตระกูลหวัง” เธอตะโกนเสียงดังลั่น

ซูเสี่ยวเถียนจับมือเฉินจื่ออัน ใบหน้าเล็กนั่นปรากฏขึ้นต่อหน้ายายหวัง

“อาของหนูจะไม่ขอร้องเพื่อกลับไปหรอกนะ อาของหนูมีบ้านของตัวเอง!” คำพูดของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

สิ้นเสียงของเด็กน้อย เธอไม่รอให้ยายหวังได้เอ่ยตอบ เธอหันหน้าไปพูดกับซูหม่านซิ่ว “อาใหญ่คะ พวกกลับบ้านกันเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าครอบครัวซูมารับซูหม่านซิ่ว ยายหวังพลันยิ่งไม่มีความสุข หากหล่อนไม่มีความสุข หล่อนก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุขเช่นกัน

ยายหวังถ่มน้ำลายอย่างเหยียดหยาม “มีคนพูดว่าหลานสาวที่ตามรอยอา อาแกเป็นคนไม่ดี ฉันว่านะ พอแกโตขึ้น แกก็จะเป็นนังตัวซวย!”

จากนั้นก็มองไปที่เฉินจื่ออัน แล้วสาปแช่ง “อายุเพิ่งเท่านี้ก็จับมือผู้ชายแล้ว เป็นโสเภณีตัวน้อยจริง ๆ…”

ก่อนที่ยายหวังจะพูดจบ เฉินจื่ออันก็เตะเธอหกคะเมนล้มลงบนพื้น

“หากผมได้ยินปากเน่า ๆ นี้พ่นวาจาสกปรกแบบนี้ ผมจะช่วยล้างปากให้คุณเอง!”

เฉินจื่ออันเคยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบ ยามเอ่ยออกมา คำพูดของเขาถึงเต็มไปด้วยความโกรธ ทำให้ยายหวังสะดุ้งเฮือก ถึงจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

“ไปให้พ้น!” เฉินจื่ออันพูดเพียงประโยคเดียว ยายหวังไม่กล้าสร้างเรื่องอีก แม้กระทั่งร่างกายที่เจ็บปวดก็ยังไม่สนใจ และวิ่งโซซัดโซเซจากไป

พอเห็นยายหวังเดินจากไป เฉินจื่ออันก็พูดกับซูหม่านซิ่ว “ยินดีด้วยที่ออกจากทะเลความทุกข์ได้สักที!”

ปากของซูหม่านซิ่วเบะคว่ำลง คุ้มค่าที่น่ายินดีจริงหรือ?

เธอถาม “แล้วพวกพี่ชายล่ะ”

“หัวหน้าซูบังเอิญมีธุระที่นี่ พวกเขาจึงตามไปช่วยด้วย”

หลังจากพูดจบ เฉินจื่ออันยิ้มและพูดว่า “ไปกันเถอะ ผมจะชวนคุณกับเสี่ยวเถียนไปกินข้าวเย็น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่หนีออกจากความทุกข์ทนได้”

ซูหม่านซิ่วยิ้ม “ข้างนอกมีของอร่อยไหมคะ สู้ซื้อของมาทำกินเองไม่ดีกว่าหรือ”

เฉินจื่ออันคิด ก็จริงที่ว่าฝีมือของซูหม่านซิ่วดีมาก รสมือดีกว่าร้านอาหารในเมืองเสียอีก

ไม่ต้องพูดถึงร้านอาหารชุมชนเลย มีอะไรดีบ้าง?

กลับบ้านไปทำอาหารกันเองดีกว่า

คนทั้งสามได้เดินทางไปยังสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค

คนสองคนจับมือซูเสี่ยวเถียนกันคนละข้าง เหมือนครอบครัวที่มีกันสามคน มองดูแล้วกลมกลืนเข้ากันยิ่งนัก