ตอนที่ 65 มาหาถึงบ้าน

คุณหนูจวนเอินปั๋วที่น่ารำคาญนั่นเป็นคู่หมั้นของคุณชายหมิง!

เขาคนนั้นมีคู่หมั้นแล้ว?

มีคู่หมั้นแล้วยังจะมาเล่นหูเล่นตากับนาง ทำให้คนเข้าใจผิดอีก มันจะมากเกินไปแล้ว!

แท้จริงแล้วโลกนี้เป็นสีดำสนิทเช่นนกกา บุรุษมิใช่คนดี!

เฉียวเวยเดินออกจากเรือนตะวันออกโดยไม่พูดไม่จา

ลี่ว์จูสาวเท้าตามมาติดๆ “ฮูหยิน!”

เฉียวเวยหยุด “ต่อไปอย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้ามิใช่ฮูหยินของพวกเจ้า! ข้ามิได้เป็นอันใดกับนายท่านของเจ้า ข้าเป็นเพียงสหายของสือชีเท่านั้น ที่นายท่านของเจ้าช่วยข้าหลายครั้งหลายคราก็เพราะเห็นแก่สือชี ก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้จักคุณหนูเฉียวเป็นเพราะข้ามีตาหามีแววไม่ แต่ผู้ใดใช้ให้นายท่านของเจ้าไม่บอกข้าเล่า ความผิดนี้อย่าได้มาโยนใส่หัวข้า!”

“ฮู…”

“บอกว่าห้ามเรียกข้าฮูหยิน!”

คำพูดของลี่ว์จูถูกขัดด้วยท่าทางอันแข็งกร้าวของนาง

“ผู้ชายของข้าออกไปค้าขายอยู่ข้างนอก หากวันหน้ากลับมาได้ยินข่าวลืออันใดเข้า ต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ออก!”

หลังจากเฉียวเวยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจบ นางก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

บนรถม้าขากลับ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูต่างรู้สึกว่าท่านแม่ของพวกเขาดูแปลกพิกล แววตาดูน่ากลัวเป็นพิเศษราวกับว่ามีผู้ใดติดหนี้นาง พวกเขาอยากถามนางว่าเมื่อครู่นี้นางไปพบลุงหมิงมาใช่หรือไม่ แต่พอไตร่ตรองดูแล้วก็คิดว่าท่านแม่ไปพบลุงหมิงทีไรมักจะมีความสุขเป็นพิเศษ ใบหน้าเล็กๆ ของท่านแม่บูดบึ้งปานนี้ ต้องเป็นเพราะเรื่องอื่นแน่

พวกเขาอย่าถามจะดีกว่า ท่านแม่โกรธขึ้นมาเมื่อใดล้วนน่ากลัวยิ่งนัก

แม้แต่เสี่ยวไป๋ก็รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวของเฉียวเวย กล้ามเนื้อของมันไม่ขยับ หางไม่กระดิก มันนั่งอยู่ในอ้อมแขนของวั่งซูอย่างว่าง่าย ดูเชื่อฟังยิ่งนัก

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว เฉียวเวยส่งอาเซิงกลับบ้านสกุลจ้าวแล้วมอบป้ายเข้าสอบกับหนังสือเข้าสอบให้ป้าจ้าวกับมือ ป้าจ้าวหยิบเงินค่าลงทะเบียนให้นาง แต่ป้าจ้าวคิดไม่ถึงว่าค่าลงทะเบียนจะมากขนาดนี้ หลังจากค้นเงินอยู่นานสองนานก็ยังหาได้ไม่ครบหนึ่งตำลึง

บ้านสกุลจ้าวได้รับเงินมาบ้างเล็กน้อยจากการสอบบัณฑิตถงเซิงครั้งที่แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอจ่ายค่าเล่าเรียนของอาเซิง แม้แต่เงินซื้อเมล็ดพันธุ์เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ยืมมาจากบ้านสกุลหลัว

ป้าจ้าวหน้าแดงด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน

เฉียวเวยจึงบอกอย่างจริงใจ “เงินนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน ท่านมีเมื่อใดค่อยมาคืนข้าก็ได้”

ป้าจ้าวรู้สึกเกรงใจที่ต้องยืมเงินเฉียวเวย แต่ตอนนี้หาไม่ได้จริงๆ จึงต้องปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

เฉียวเวยพาลูกๆ กลับขึ้นเขากลางดึก เด็กๆ เหนื่อยล้าหมดแล้ว คนหนึ่งนอนซบบนหลังของนาง ส่วนอีกคนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของนาง ต่างก็หลับสบาย นางวางพวกเขานอนลงบนเตียง กระทั่งนางเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จแล้วพวกเขาก็ยังไม่ตื่น

เป็นเด็กนี่มันดีจริงๆ ไม่ต้องกังวลอะไร

อันที่จริง ในชีวิตที่แล้วนางไม่เคยพบญาติคนใดเลยจนกระทั่งเสียชีวิต แต่ในชีวิตนี้นางกลับมีลูกที่น่ารักน่าเอ็นดูสองคน นางยังไม่พอใจอะไรอีกหรือ

บุรุษน่ะหรือ สหายน่ะหรือ ตกนรกไปให้หมดเถอะ!

ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น

รอให้นางเป็นคนรวยก่อนเถอะ นางจะเลี้ยงหนุ่มน้อยสักสิบยี่สิบคน ยังจะต้องกลัวหาคนหน้าตาดีไม่ได้สักคนหรือไร

เมื่อคิดได้ดังนี้ ความหดหู่ใจในใจของเฉียวเวยพลันสลายไปในที่สุด หลังจากอาบน้ำเสร็จ นางก็นอนลงบนเตียงแล้วจูบแก้มแดงปลั่งเล็กๆ ของลูกชายและลูกสาวคนละฟอด หัวใจถูกเติมด้วยความอบอุ่นจนเต็มปรี่

จู่ๆ เสี่ยวไป๋ก็เอาหัวเล็กๆ ซุกเข้ามา!

เฉียวเวยตีมันไปหนึ่งเพียะ

เสี่ยวไป๋ “…”

ค่ำคืนมืดมิด ภายในห้องหนังสือของจวนยิ่นอ๋อง แสงเทียนส่องสว่างแวววาวราวไข่มุก

ที่ลานด้านนอก บนทางเดินที่ปูด้วยหิน อู๋ต้าจินถูกองครักษ์สองคนกดตัวไว้สภาพร่อแร่กำลังจะตายมิตายแหล่

ขันทีหลิวสาดน้ำเย็นจัดใส่หน้าอย่างไร้ความปรานี! แล้วตะเบ็งเสียงใส่ “บอกมา! องครักษ์หลินไปที่ใดกันแน่ ข้าเห็นชัดๆ ว่าเขาออกจากจวนอ๋องไปกับเจ้า!”

อู๋ต้าจินฟื้นคืนสติ จากนั้นตอบด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “นายท่านหลิว ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ…เขาออกไปกับข้าน้อยจริง แต่ว่า…แต่ว่าข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด…”

ขันทีหลิวมองไปทางห้องหนังสือ แล้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ สารภาพความจริงกับข้ามาบัดเดี๋ยวนี้!”

อู๋ต้าจินจึงเล่าเรื่องที่เขายุยงองครักษ์หลินให้ไปลอบฆ่าเฉียวเวย เขาไม่รู้ว่าองครักษ์หลินตายแล้ว เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเปิดโปงจึงไม่กล้าโกหก แม้แต่เรื่องที่เขาปกปิดความจริงว่าเฉียวเวยมีลูกแล้วก็สารภาพออกมาทั้งหมด “…จากนั้นเด็กก็วิ่งออกมา องครักษ์หลินจับตัวเด็กไว้แล้วหนีไป นางนั่นวิ่งตามออกไปด้วย ข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลงจากเขา ไปเรียกพวกมาช่วยเหลือ…”

“เจ้าหรือไปเรียกพวกมาช่วย เจ้าวิ่งหนีไปมากกว่ากระมัง!” ขันทีหลิวตบกกหูเขา หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องส่งคนไปตามจับเขากลับมา ไม่แน่เจ้าหมอนี่อาจหนีเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!

เขาจะหายไปหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่จะปล่อยให้องครักษ์หลินหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้ หน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยเป็นองครักษ์เงาฝีมือร้ายกาจที่สุดของยิ่นอ๋อง มูลค่าของแต่ละคนยากจะประเมินได้ ยอดฝีมือในยุทธภพสักคนหรือพรรคในยุทธภพก็เทียบมิได้

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิวเฉวียนก็โค้งคำนับแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ “ท่านอ๋อง”

ยิ่นอ๋องพลิกดูฎีกาในมือ “พบอันใดหรือไม่”

“อู๋ต้าจินบอกว่าเขาเห็นผู้หญิงคนนั้นแทงองครักษ์หลินกับตา ดังนั้นการหายตัวไปขององครักษ์หลินจึงเป็นไปได้มากว่ามีความเกี่ยวข้องกับนาง”

ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา “หน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยคนหนึ่งกลับไม่สามารถเอาชนะหญิงชาวบ้านได้หรือ หญิงคนนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร”

ขันทีหลิวขมวดคิ้ว “เรื่องนี้…อู๋ต้าจินก็มิทราบพ่ะย่ะค่ะ เขาไม่รู้จักชื่อของนางด้วยซ้ำ แต่กลับกล้ายุยงให้องครักษ์หลินไปแก้แค้นแทนเขา…องครักษ์หลินรีบร้อนอยากสร้างความชอบมากเกินไป หมายจะขจัดขวากหนามให้นาย ไหนเลยจะนึกว่าความประมาทได้ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง”

ในตอนท้ายขันทีหลิวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ยิ่นอ๋องเหลือบมองอย่างเย็นชา แล้วเหล่มองม้วนภาพในมือเขา “นั่นอะไร”

ขันทีหลิวกล่าวว่า “ภาพเหมือนของหญิงนางนั้นพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไปหานักวาดภาพในจวนอ๋อง แล้วให้เขาวาดภาพตามคำอธิบายของอู๋ต้าจิน อู๋ต้าจินเห็นแล้วบอกว่าเหมือนในภาพนี้มาก ท่านว่า เราควรส่งคนไปจับตัวนางดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ยิ่นอ๋องหยิบม้วนภาพขึ้นมาแล้วคลี่เปิดช้าๆ เขาอยากเห็นว่านางเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจเพียงไร ถึงได้ต่อต้านเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเห็นใบหน้าในภาพวาด เขาก็ตกตะลึงในทันใด

เมื่อเห็นเขาตกตะลึง ขันทีหลิวรีบมองอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง “เอ๊ะ! นางผู้นี้หรือ”

“รู้จักนางหรือ” ยิ่นอ๋องมองขันทีหลิวอย่างแปลกใจ หลิวเฉวียนเพิ่งมาอยู่กับเขาได้สามปี เขาไม่น่าจะเคยเห็นเฉียวเวย

ขันทีหลิวตอบด้วยความประหลาดใจ “นี่คือแม่นางผู้เตะทองคำที่ท่านให้กลับมาโดนแจกันลายครามของท่านแตกเมื่อกลางวันมิใช่หรือ สวรรค์! บ่าวคิดว่านางเป็นสาวใช้จวนเอินปั๋วเสียอีก!”

ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว ดังนั้นมิใช่เขาหูฝาดตอนกลางวันแสกๆ แต่นางปรากฏตัวขึ้นจริงๆ

เดือนสามเป็นเดือนที่ยุ่งที่สุดหลังจากเฉียวเวยทะลุมิติมา ไม่เพียงทำการค้าในโรงน้ำชาหรงจี้เท่านั้น แต่ยังต้องจัดการที่ดินทั้งสองแปลงของนางเองอีก แปลงหนึ่งอยู่ตรงที่รกร้างฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน ส่วนอีกแปลงอยู่บนไหล่เขา

ที่ดินบนเขาเป็นที่ดินผืนไม่ใหญ่มาก นางจึงสามารถจัดการเองได้

นางไม่ได้วางแผนจะปลูกหัวไชเท้าอีก แต่อยากปลูกแตงโมแทน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้พึ่งที่นาแห่งนี้หาเลี้ยงชีพ ดังนั้นปลูกสิ่งที่นางกับลูกชอบทานก็แล้วกัน

แตงโมและหัวไชเท้าเป็นพืชที่ชอบดินเปรี้ยว ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงความเป็นกรดของดิน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมีความต้องการน้ำที่แตกต่างกัน หัวไชเท้าชอบน้ำมากกว่า ในขณะที่แตงโมชอบน้ำน้อยกว่า

นางต้องพรวนดินเพื่อเพิ่มการระบายน้ำ

นางพรวนดินพร้อมกับฮัมเพลงเรื่อยเปื่อย

ในเวลานี้ นางรู้สึกขอบคุณพ่อแม่มากที่ทอดทิ้งตัวเอง หากนางไม่ได้เรียนรู้ทักษะการเอาตัวรอดมากมายมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นางคงอดตายเมื่อต้องมาอยู่ในฐานะหญิงชาวบ้านยากจนเช่นนี้!

ทางด้านยิ่นอ๋องหลังจากเห็นภาพดังกล่าว เขาก็ตัดสินใจเดินทางไปที่ภูเขาเพื่อยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายด้วยตนเอง

อู๋ต้าจินพายิ่นอ๋องกับขันทีหลิวไปยังเรือนบนเขาแต่ไม่พบใคร ทว่าได้ยินเสียงฮัมเพลงอันร่าเริงและสบายอารมณ์ดังอยู่แว่วๆ

เมื่อยิ่นอ๋องเดินตามเสียงเพลงมาถึงที่นา ก็เห็นสาวชาวนาผอมบางสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบกำลังถือจอบทำงานอยู่ในแปลงนา เพลงนั้นเหมือนหมู่เมฆาอันมีชีวิตชีวากำลังเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งระหว่างแผ่นดินกับแผ่นฟ้า ทั้งยังเหมือนธารน้ำจากภูเขา ทำให้คนรู้สึกเย็นสบายท่ามกลางอากาศร้อนระอุยามเที่ยงวัน