ตอนที่ 370 – หยั่งเชิง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 370 – หยั่งเชิง

คนหกคนคำนับซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างนั่งลง

โม่เทียนเกอค้นพบว่าพวกเขาหกคนมีจุดร่วมกันหนึ่งอย่าง นั่นคือวัยทางเปลือกนอกล้วนอ่อนเยาว์มาก เถียนจือเชียนที่ดูชราภาพที่สุดก็แค่ประมาณสามสิบปี คนอื่น ๆ ล้วนมีรูปลักษณ์ยี่สิบต้น ๆ

คิดอย่างละเอียด นี่ไม่ได้ประหลาดเลย ตัวหลิงอวิ๋นเฮ่อเองแค่ร้อยกว่าปี แล้วยังเป็นศิษย์ชั้นสูงของสำนักจิ่วเยี่ยนผู้โด่งดัง คนที่สามารถเข้าไปในสายตาของเขาจะต้องไม่ต่ำทรามเกินไป

หลิงอวิ๋นเฮ่อนั่งที่ตำแหน่งเจ้าบ้าน เปิดปากพูดว่า “ทุกท่าน การท่องหุบเขาไร้กังวลครั้งนี้ ผู้แซ่หลิงเป็นตัวตั้งตัวตี ความเข้าใจที่มีต่อหุบเขาไร้กังวลก็คาดว่าจะมากกว่าทุกท่านอยู่บ้าง ดังนั้น การเดินทางนี้ผู้แซ่หลิงเป็นผู้นำ ไม่ทราบทุกท่านมีความเห็นหรือไม่”

น้ำเสียงเขาเรียบนิ่ง คำพูดคำจาไม่เร็วไม่ช้า ทั้งไม่เหมือนข่มผู้คนและแสดงถึงความมั่นใจในตนเอง โม่เทียนเกอแอบคิดว่า มิน่าเล่าหลิงอวิ๋นเฮ่อถูกจดรายนามเป็นตัวเลือกเจ้าสำนักจิ่วเยี่ยน ไม่เพียงระดับการฝึกตนโดดเด่น การวางตัวก็เหนือคน สิ่งที่หายากคือ ในขณะที่เขากระทำการอย่างสงบมั่นคงก็มีจิตใจเปิดกว้างด้วย รู้สึกว่าเป็นตำแหน่งที่ตนเองควรจะนั่งก็ไม่ผลักไสอย่างเกรงอกเกรงใจเลย

เพียงแต่ ไม่รู้ว่าคนผู้คนนิสัยใจคอสรุปแล้วเป็นอย่างไร หากมิใช่มีจิตคิดเป็นอื่นก็สามารถวางใจได้

หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดจบ เถียนจือเชียนยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “นี่ย่อมแน่นอน การเดินทางนี้เดิมก็ไปเพื่อพี่หลิง ย่อมให้พี่หลิงนำกลุ่ม”

หลิงอวิ๋นเฟยไม่มีคำพูด นั่งอยู่ในตำแหน่งของตนเอง ในมือหมุนถ้วยชา เงยหน้าขึ้นมองเป็นครั้งคราว เขาย่อมจะไม่มีความเห็น นี่เป็นธุระของหลิงอวิ๋นเฮ่อ แล้วก็เป็นธุระของสกุลหลิง หลิงอวิ๋นเฮ่อเคยพูดว่า เพราะการแก่งแย่งของสายสกุล แล้วยังผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล เขาไม่สะดวกจะเรียกหาคนคุ้นเคย แต่เขากลับเรียกหลิงอวิ๋นเฟย เห็นได้ว่าหลิงอวิ๋นเฟยเป็นคนที่เขาสามารถไว้วางใจจริง ๆ

สายตาของหลิงอวิ๋นเฮ่อตกลงบนร่างของสามคนที่เหลือ

หยางเฉิงจีเอ่ยว่า “ข้าไม่มีความเห็น”

โม่เทียนเกอยิ้มนิด ๆ ถือเป็นคำตอบ

เทียนฉานที่ผ้าดำคลุมหน้าเพียงลืมตานิด ๆ แล้วหลับลงไปใหม่

“ในเมื่อทุกท่านล้วนไม่มีความเห็น เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้” หลิงอวิ๋นเฮ่อหยุดไปครู่หนึ่ง สายตากวาดผ่านคนทั้งห้าในที่นั่ง เอ่ยช้า ๆ ว่า “หุบเขาไร้กังวลเป็นสถานที่อะไรทุกท่านล้วนทราบ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเรา การถอนตัวอย่างครบสามสิบสองหลังจากเข้าไปไม่ยากเลย แต่ว่า หากพวกเราไม่สามารถร่วมแรงร่วมใจ การตายหมู่ที่หุบเขาไร้กังวลก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างมาก ดังนั้น ข้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถสัญญาว่าเข้าหุบเขาไร้กังวลแล้วจะฟังการจัดวางกำลังของผู้แซ่หลิงทั้งหมด” พูดถึงตรงนี้ เขายิ้มบาง ๆ เสริมไปหนึ่งประโยคว่า “ข้าก็สามารถสัญญากับทุกท่านว่าจะวางชีวิตของพวกท่านไว้ก่อนอื่นใด”

เขาพูดเยี่ยงนี้จบ เถียนจือเชียนกับหลิงอวิ๋นเฟยพยักหน้าตกลง เทียนฉานและโม่เทียนเกอไม่พูดจา มีเพียงหยางเฉิงจี สายตาวูบขึ้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากเสียงทุ้มหนักว่า “ขอเพียงสหายเต๋าหลิงไม่เสียความเชื่อใจย่อมจะไม่มีปัญหา”

หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้ายิ้มบาง ๆ “สำหรับจะสามารถเสาะหาผลไร้กังวลได้หรือไม่ ได้แต่ดูโชควาสนา ถึงแม้จะหาไม่เจอ ผู้แซ่หลิงยังคงจะทำตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ เงื่อนไขที่รับปากทุกท่านล้วนจะปฏิบัติตามไปทีละอย่าง”

“อุปนิสัยของพี่หลิง ข้าไว้ใจ” เถียนจือเชียนกล่าวขึ้นมาก่อนใคร

คนอื่น ๆ ไร้ซึ่งความเห็น โม่เทียนเกอแอบคิดในใจว่า ไม่รู้หลิงอวิ๋นเฮ่อเชิญคนเหล่านี้มาจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร แค่นางคนเดียว ถึงจะไม่อยากได้สมบัติศิลาวิญญาณอะไร แต่สองเรื่องนั้นล้วนมิใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย

หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นแล้วจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาถกแผนการเดินทางครั้งนี้กัน”

พูดว่าถก อันที่จริงถัดจากนั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่พูด หลิงอวิ๋นเฟยสอดคำไม่กี่ประโยคเป็นครั้งคราว คนอื่น ๆ เพียงถามคำถามที่ตนเองรู้สึกสนใจบ้าง ไม่ได้พูดจามากความอีก

หลิงอวิ๋นเฮ่อเตรียมการได้ครบถ้วนมาก เส้นทางการเดินทาง, เครื่องรางวิญญาณ, ยาโอสถ ฯลฯ ล้วนเตรียมไว้พร้อมแล้ว เส้นทางการเดินทางคร่าว ๆ และวิธีการจัดการเหตุการณ์บางอย่างล้วนแจ้งต่อทุกคน แจกจ่ายสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จำเป็นบางอย่างออกไป

โม่เทียนเกอมองดู โอสถล้างพิษจำนวนหนึ่ง, เครื่องรางถ่ายทอดเสียง, เครื่องรางวิญญาณคุ้มครองกาย รวมกับแผนที่หนึ่งฉบับที่หลิงอวิ๋นเฮ่อเตรียมให้ทุกคนก่อนหน้านี้ รอบด้านอย่างยิ่ง

นางสงบจิตใจลงมา เห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อกระทำเรื่องราวอย่างมีระเบียบยิ่ง คิดว่าการเดินทางนี้น่าจะยังนับว่าปลอดภัย

เสียเวลาสองสามชั่วยามอธิบายแผนการเดินทางจนจบ หลิงอวิ๋นเฮ่อถามว่า “ทุกท่านยังมีคำถามอะไรหรือไม่”

ทุกคนล้วนส่ายหน้า เขาแม้แต่อุบัติเหตุบางอย่างยังใคร่ครวญถึงแล้ว ในชั่วขณะก็คิดอะไรจะถามไม่ออก สิ่งอื่นได้แต่ดูสถานการณ์แล้วกระทำการ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาตกลงกันเวลาจะออกเดินทางกัน ท่านทั้งหลายยังมีธุระอะไรที่ต้องจัดการหรือไม่”

หลังจากหลิงอวิ๋นเฮ่อถามอย่างนี้ เทียนฉานที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยพูดจาก็ลืมตาทั้งคู่ กล่าวว่า “ข้ายังมีธุระ ต้องการเวลาสองวัน”

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วนิด ๆ เทียนฉานผู้นี้เสียงแหบแห้งคล้ายกับหนามอันแหลมคม ฟังดูไม่สบายหูถึงสิบส่วน

หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้านิด ๆ ถามอีกว่า “เช่นนั้นสหายเต๋าท่านอื่นเล่า หากมีธุระ ได้โปรดรีบจัดการ ลากถ่วงมาถึงตอนนี้ พวกเราเวลาไม่มากแล้ว”

ก่อนหน้านี้โม่เทียนเกอเคยไต่ถามมาแล้ว การเลือกเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยนเตรียมการมาเป็นปีแล้ว สองเดือนให้หลังก็จะเป็นช่วงตัดสิน หลิงอวิ๋นเฮ่อเนื่องจากความปั่นป่วนภายในสกุลหลิง หลายเดือนก่อนจึงได้ยืนยันว่าเขาจะเข้าร่วม หลังกลับมาจากหุบเขาไร้กังวลเขายังต้องปรับสภาวะของตนเอง ไม่ได้มีเวลาสักเท่าไหร่จริง ๆ

คนอื่น ๆ ล้วนส่ายหน้า เถียนจือเชียนและหลิงอวิ๋นเฟยไม่ต้องพูด หยางเฉิงจีมาถึงเมืองเทียนเสวี่ยก็หลายเดือนแล้ว คิดว่าธุระที่ต้องทำล้วนจัดการเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอขณะนี้ไม่มีธุระเลย สามารถเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อ

“เช่นนั้น พวกเราออกเดินทางสามวันให้หลัง มีปัญหาไหม”

ครั้งนี้แม้แต่เทียนฉานก็ส่ายหน้า หลิงอวิ๋นเฮ่อเห็นว่าทุกคนล้วนไม่มีข้อคัดค้านจึงเอ่ยว่า “เอาล่ะ สามวันให้หลัง ยังคงเป็นเวลานี้ พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ เป็นอย่างไร”

ทุกคนตกลง จากนั้นต่างคนต่างจากไป

เถียนจือเชียน, หยางเฉิงจีและพวกล้วนพักอาศัยในคฤหาสถ์หลิง มีเพียงโม่เทียนเกอและเทียนฉานสองคนเดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลังออกไปจากคฤหาสถ์หลิง

กำลังจะกลับถ้ำพำนักไปนั่งสมาธิต่อ จู่ ๆ พลังสภาวะอันเสียดแทงปาดมาจากด้านหลัง

โม่เทียนเกอหันข้าง ปราณอันเสียดแทงเฉียดผ่าน หินขาวในที่ไม่ห่างไกลส่งเสียง “ตูม” ดังลั่น แตกกระจายเป็นผุยผง

ในพริบตานี้ โม่เทียนเกอพลิกฝ่ามือ พัดแห่งสวรรค์และโลกาปรากฏขึ้นในมือ โบกเบา ๆ สกัดกั้นการโจมตีของพลังวิญญาณสายถัดไป นางท่าร่างดุจประกายไฟ เพียงพริบตาลอยออกไปหลายสิบจ้าง

คนที่ลอบโจมตีส่งเสียง “หืม” อย่างประหลาดใจ ทักษะเคลื่อนย้ายในพริบตาถึงจะพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะเวทพื้นฐานที่สุดของผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่ก็แบ่งแยกเป็นสูงส่งกับไม่สูงส่ง การเคลื่อนย้ายพริบตาทั่วไป หนึ่งรอบเพียงสามารถวูบไปสิบจ้าง ส่วนระยะทางที่โม่เทียนเกอวูบไปนี้ไกลยิ่งนักแล้ว

แต่พริบตาถัดมา คนผู้นี้ไล่ตามทันที เป็นการโจมตีของพลังวิญญาณอีกสาย ทุบใส่นางอย่างดุดัน

ฝีมือการโจมตีของคนผู้นี้เรียบง่ายมาก ไม่ใช้อาวุธเวท ไม่มีการประดับประดาอันใด เป็นพลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวทั้งร่าง ทุบตีด้วยกำลัง

โม่เทียนเกอยังไม่ทันถอนหายใจโล่งอก เพียงรู้สึกว่าพลังปราณอันเสียดแทงกดดันมาอีก ในใจนางหงุดหงิดอยู่บ้าง นางไม่ได้ตอแยใคร คนผู้นี้ไม่ยอมเลิกราอย่างนี้เพื่ออะไร

ขณะนี้ไม่เกรงใจอีกแล้ว ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวโบกหนึ่งที คุ้มครองทั่วร่าง ค้นกระเป๋าเอกภพ หรูอี้สรวงวิญญาณหลุดจากมือ ทุบไปทางคนผู้นี้

“ตูม!” เสียงดังสนั่นนี้เทียบกับเมื่อครู่นี้แล้วยังดังกว่า!

คนผู้นี้ถอยหลังไปเร็วยิ่ง แต่ยังคงถอยไปไม่ทันออกจากระยะการโจมตี ร้องครางคำหนึ่ง ถูกพลังวิญญาณที่หรูอี้สรวงวิญญาณชักนำมาระเบิดโครมใหญ่ ร่วงลงมา

แต่เขายืนปักหลักได้อย่างรวดเร็ว ยกมือหนึ่ง โล่เล็กหนึ่งใบปรากฏขึ้นด้านหน้า โล่นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธเวทชั้นสูง ส่องแสงสีน้ำเงินเรืองรองออกมา ปกป้องเขาในพริบตา

โม่เทียนเกอเก็บหรูอี้สรวงวิญญาณกลับมา ไม่ได้ไล่ล่าหาชัยชนะ จับจ้องคนตรงหน้า ขมวดคิ้วถามว่า “สหายเต๋าเทียนฉาน ท่านหมายความว่าอย่างไร”

คนที่ลอบโจมตีนางจากด้านหลังก็คือเทียนฉานที่ประชุมกันเมื่อครู่นี้เอง

รอจนระเบิดพลังวิญญาณที่หรูอี้สรวงวิญญาณชักนำมานิ่งไป เทียนฉานโบกมือ ปลดโล่ เขามองโม่เทียนเกอ พลังสภาวะอันเสียดแทงค่อย ๆ จางหาย ยกมือขึ้นคำนับ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเสียดแทงแก้วหูว่า “สหายเต๋าฉินทักษะดี”

………………………………..

ได้ยินประโยคนี้ โม่เทียนเกอเข้าใจแล้ว ตนเองถูกหยั่งเชิง เทียนฉานถึงจะโจมตีอย่างเสียดแทง แต่ไร้จิตใจสังหารนาง ดังนั้นไม่ได้ออกอาวุธเวทมาโดยตลอด แต่คนผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พลังปราณที่เสียดแทงเช่นนี้ ผู้ฝึกตนอื่นไม่สามารถครอบครองได้เป็นอันขาด

พวกพ้องครั้งนี้ช่างน่าสนใจโดยแท้ นาง, หลิงอวิ๋นเฮ่อ, หลิงอวิ๋นเฟยสามคนเป็นผู้ฝึกเวททางเต๋า เถียนจือเชียนก็เป็นผู้ฝึกเต๋า แต่เป็นปรมาจารย์ม่านพลัง หยางเฉิงจีเป็นผู้ฝึกมาร ส่วนเทียนฉานคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์

โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “สหายเต๋าเทียนฉานไม่ได้ออกอาวุธเวท พลังปราณเดี่ยว ๆ สู้สูสีกับข้า ฝีมือก็ไม่สามัญ”

เทียนฉานห่มผ้าสีดำ บนศีรษะยังสวมงอบ ตลอดทั้งร่างเปิดเผยเพียงดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืมหนึ่งคู่ ดูสีหน้าอันใดไม่ออก เขามองโม่เทียนเกอ น้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ วิชาต่อสู้ต้องการอาวุธเวทอะไรที่ไหนเล่า แพ้ก็คือแพ้ สหายเต๋าฉินไม่ต้องไว้หน้าข้า”

ถึงเขาจะพูดได้มีเหตุผล แต่เขาไม่ออกอาวุธ ยังคงไม่ได้พยายามสุดกำลัง

แน่นอนว่าโม่เทียนเกอก็มิได้พยายามสุดกำลัง ดังนั้นนางเพียงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “สหายเต๋าเทียนฉานยังมีธุระหรือไม่ หากไม่มีธุระ ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว”

เทียนฉานตะลึงไป เห็นว่านางไร้ความสนใจต่อตนเองก็ได้แต่ล่าถอย “จ้ายเซี่ยยังมีธุระต้องทำ สหายเต๋าฉิน ไว้พบกันภายหน้า”

โม่เทียนเกอกุมมือ ไม่ได้พูดจาก หมุนตัวจากไป

รอจนนางไปไกลแล้ว เทียนฉานถอนหายใจ เลือกเส้นทางลงเขา ก้าวเท้าจากไป

ขณะนี้ โม่เทียนเกอกลับยืนอยู่กับที่ หมุนตัว มองแผ่นหลังของเทียนฉาน ขมวดคิ้วครุ่นคิด

เทียนฉานผู้นี้เป็นมาอย่างไร จู่ ๆ ลงมือหยั่งเชิงนาง เป็นความใคร่รู้ชั่วขณะหรือว่ามีเจตนาอะไร หากเอ่ยถึงวิชาต่อสู้ นางในปัจจุบันนี้สมบัติหลากหลาย ไม่กลัวคนผู้นี้เลย แต่ว่า การเดินทางไปหุบเขาไร้กังวลครานี้ คนผู้นี้เป็นพวกพ้อง หากมีจิตใจแอบแฝงอะไรจะไม่อันตรายหรือ

“สหายเต๋าฉิน!” กำลังคิดอยู่ ด้านหลังมีคนเรียกนาง

โม่เทียนเกอหมุนตัว เห็นหลิงอวิ๋นเฮ่อยืนอยู่ในที่ไม่ห่างไกล ทอดมองสถานที่ไม่ห่างไกลซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง สีหน้าครุ่นคิด

“สหายเต๋าหลิง?”

หลิงอวิ๋นเฮ่อหันเหสายตา ยิ้มให้นางหนึ่งที ชี้ไปยังสถานที่ซึ่งพวกเขาต่อสู้กันเมื่อครู่ “สหายเต๋าทั้งสองฝีมือดี หินวิญญาณขาวทนทานถึงสิบส่วน ถึงกับถูกพวกท่านสู้จนกลายเป็นสภาพนี้……”

การโจมตีหนึ่งครั้งนั้นของเทียนฉานตีจนหินขาวก้อนมหึมากลายเป็นผุยผง ส่วนการโยนหรูอี้สรวงวิญญาณของโม่เทียนเกอก็ทุบจนเกิดหลุมใหญ่บนพื้น

โม่เทียนเกอยิ้ม น้ำเสียงลุแก่โทษ “ขออภัยจริง ๆ ทำลายที่นี่ไปเลย……”

“เฮ้!” หลิงอวิ๋นเฮ่อโบกมือเอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินไยจึงต้องเกรงใจขนาดนี้ ข้าเป็นคนใจแคบเพียงนั้นหรือ เพียงรู้สึกทอดถอนที่สหายเต๋าทั้งสองอัศจรรย์น่าทึ่งเท่านั้น”

“สหายเต๋าหลิงชมเกินไปแล้ว” อันที่จริงโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เห็นเป็นสำคัญ เพียงแค่ว่าอยู่บนเขตแดนของคนอื่น สิ่งที่ควรจะเกรงใจก็ยังต้องเกรงใจสักสองคำ จึงถามว่า “สหายเต๋าหลิงไล่ตามออกมามีธุระหรือ”

หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้แซ่หลิงเพียงได้ยินเสียงจึงออกมาดูเท่านั้น สหายเต๋าฉินหากอยากจะกลับไปพักผ่อน ผู้แซ่หลิงก็ไม่รบกวนแล้ว”

โม่เทียนเกอยิ้มหนึ่งที ไม่ได้เกรงใจกับเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอลาไปก่อน”

…………………………