ตอนที่ 3 โอสถแพทย์หลวงฝึกหัด ฟาร์มา เดอะ เมดิซิส

———————

มีเสียงประโคมดังกึกก้องขึ้นในคฤหาสน์

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”

“ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ ท่านฟาร์มา”

ลอตเต้เรียกเขาให้ออกมาอย่างเร่งรีบ

“ผมก็เริ่มหิวแล้วด้วยสิ จะมาทานด้วยกันหรือเปล่า ลอตเต้??”

ในตอนนี้ไม่ว่าใครก็คงหิวเหมือนกันทุกคน

“เรื่องนั้นหากผู้เป็นนายรับประทานเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะถึงเวลาของพวกเราเหล่าข้ารับใช้ค่ะ”

“เข้าใจแล้ว!”

ลอตเต้อยู่ในช่วงวัยกำลังโตคงจะดีหากเธอได้ทานข้าวเร็วๆ เขาจึงต้องรีบหน่อย

ฟาร์มาค่อยๆ ตรวจสอบใบหน้าของสมาชิกภายในครอบครัวที่รวมตัวกัน ณ ห้องรับประทานอาหารเป็นครั้งแรก

“อาการของเจ้าดีขึ้นแล้วสินะ ตอนพ่อเข้าไปเยี่ยมยังเห็นนอนติดเตียงอยู่เลย”

“ครับ ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง”

ผู้ที่เริ่มคุยกับฟาร์มาเป็นคนแรกนั้นคือชายผู้มีเคราสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้า เป็นคนผอมสูง มีแววตาที่คมกริบ บุคคลผู้นี้คือเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้และเป็นบิดาของฟาร์มา บลูโน เดอ เมดิซิส อายุ 37 ปี

เขาเป็นแพทย์โอสถหลวงผู้มีหน้าที่ตรวจอาการและคอยรักษาเหล่าเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง อีกทั้งตัวเขายังเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยยาแห่งจักรวรรดิของเมืองหลวงและเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำ

เหล่าผู้ที่มีความพิเศษซึ่งอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ที่เรียกกันว่าชนชั้นสูงนั้นจะได้รับยศที่แตกต่างกันออกไปซึ่งแบ่งขั้นจากบนสุดไปล่างสุดเป็น

แกรนดยุก,ดยุก,เอิร์ล,วิสเคาท์,บารอน โดยพ่อของเขานั้นได้รับยศที่ถูกเรียกว่า แกรนดยุก

ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพ่อของเขานั้นอยู่ในจุดสูงที่สุดของสังคมชนชั้นสูงนั่นเอง

“ดีแล้วที่เห็นลูกนั้นอาการดีขึ้นแบบนี้”

หญิงสาวผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้า ดูท่าทางเรียบร้อยเป็นคนพูดเช่นนั้นกับเขา เธอผู้นี้คือมารดาของเขา เบียทริช อายุ 34 ปี โดยตัวเธอนั้นมาจากตระกูลชนชั้นสูงอันทรงเกียรติที่มีความโดดเด่นทางศาสตร์แห่งเทพธาตุลม

“ท่านพี่”

หญิงสาวผู้มีดวงตาสีน้ำเงิน ผมบลอนด์หยิกยาวไปถึงเอวและเรียกฟาร์มาด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยเสน่ห์ เธอคือน้องสาวของฟาร์มาอายุสี่ปี ชื่อว่าบลานช์ ถึงแม้ว่าจะยังเด็กแต่เธอก็เป็นถึงผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำเช่นเดียวกับบิดาของเธอ

ด้วยความสวยที่สมวัยเช่นนี้ ฟาร์มามั่นใจเลยว่าในอนาคตตัวเธอนั้นต้องเป็นผู้หญิงที่งดงามมากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้มีเพียง พี่ชายของเขาปาลเล่ อายุ16ปีซึ่งเป็นผู้ที่ฟาร์มารู้สึกเห็นใจกับชื่อที่เขาได้รับเป็นอย่างยิ่ง เป็นถึงนักเรียกดีเด่นของสถาบันการศึกษาในต่างแดนอย่าง มหาวิทยาแพทย์และยาโนวารูตเลยทีเดียว แต่เนื่องจากทางกฎของมหาวิทยาลัยที่ต้องพักยังหอพักและมีโอกาสกลับบ้านได้เพียงปีละสองครั้งนั้นจึงทำให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วยไม่ได้

เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า เขาก็นั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องที่โอ่อ่า

จากนั้นพ่อของเขาก็ได้เตรียมอ่างขึ้นมาล้างมือด้วยการร่ายศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำออกมาล้างมือก่อนทานอาหาร

แน่นอนว่าน้องสาวของเขาบลานช์ก็ทำเช่นนั้น อีกทั้งยังเติมน้ำให้ในส่วนของแม่เธออีกด้วย ถึงแม้ว่าตัวของแม่เขานั้นจะเป็นชนชั้นสูงแต่ลักษณะของธาตุที่ใช้ได้ ก็ใช่จะเหมือนกันทุกคน ดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกเป็นของ บลานช์นั่นเอง

แล้วฟาร์มาก็เริ่มทำการล้างมือด้วยศาสตร์แห่งเทพเช่นเดียวกัน

ขนมปัง มีด และส้อมถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้วบนผ้าปู จากนั้นบลานช์ก็ได้กล่าวนำสวดต่อเหล่าเทพเจ้าก่อนเริ่มมื้ออาหาร

(อ๊ะ อาหารพวกนี้อร่อยแบบคาดไม่ถึงเลย)

เริ่มด้วยกอร์ดงเบลอไก่ (อาหารฝรั่งเศส) ที่มีเครื่องเทศผสมมากมายตามด้วยสตูกระต่ายป่า จากที่ลอตเต้ได้บอกเขามา มารยาทบนโต๊ะอาหารของเหล่าชนชั้นสูงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นมาก เขาค่อยๆ กินอย่างช้าๆ ก่อนจะนึกถึงในอดีตที่วันๆ ตนกินเพียงแค่แคลอรีเมทจนลิ้นแทบพัง

(ทำงานหนักแถมยังไม่ได้กินอะไรอร่อยๆ เลย)

เขาได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติอาหารต่างโลก ในขณะที่เคี้ยวแต่ละคำด้วยความเพลิดเพลิน

“แล้ว ฟาร์มาจ๊ะ ร่างกายของลูกยังรู้สึกถึงอาการชาอยู่หรือเปล่า? หลังจากที่โดนฟ้าผ่าไป…….”

เมื่อมื้ออาหารเย็นเริ่มสักพัก แม่ของฟาร์มาก็ได้ถามเขาด้วยความกังวล

ในขณะที่มือของเธอนั้นกำลังจิบไวน์อยู่ ส่วนทางด้านพ่อของเขานั้นก็กำลังดื่มน้ำเปล่าขณะเตรียมตัวที่จะออกไปตรวจผู้ป่วยนอกคฤหาสน์ น้ำที่พ่อของเขาทำขึ้นมานั้นบริสุทธิ์มาก ยมีการบีบมะนาวและแต่งกลิ่นของน้ำหอมให้ฟุ้งไปทั่วบรรยากาศอีกด้วย

“ตอนนี้ความทรงจำของผมยังดูสับสนอยู่นิดหน่อย แต่ไม่นานคงจะกลับมาเหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรที่ท่านแม่ต้องกังวลไป”

ฟาร์มาตอบด้วยความใจเย็น ลอตเต้ได้บอกกับเขาว่าภาษาที่เขาใช้พูดกับพ่อแม่นั้นจะเป็นทางการ เขาจะเรียกพวกท่านว่า ”ท่านพ่อ” “ท่านแม่” อย่างที่บุตรชายคนที่สองของชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ควรทำ

“เรียกได้ว่าเฉียดฉิว ในตอนนั้นหัวใจของเจ้าก็หยุดเต้นไปแล้วด้วย ดูเหมือนว่ายาที่พ่อปรุงขึ้นมาหลังจากที่เจ้าถูกฟ้าผ่าจะได้ผลดี”

พ่อของเขาพูดขึ้นมาด้วยความพึงพอใจใน ดูเหมือนว่าตัวของเขาจะมีความมั่นใจในฐานะของเภสัชกรผู้หนึ่งพอสมควร เมื่อฟาร์มาหัวใจหยุดเต้นพ่อของเขาได้ปรุงยาขึ้นมาให้ทานจนฟาร์มาเกือบจะสำลักยาที่เข้าไป โชคดีที่ว่าเขาไม่ได้ช็อก

(บางทียาของเขาอาจจะได้ผลจริงๆ ก็ได้)

เขาคิดเกี่ยวกับยานั่นแต่จากที่เขาจำได้เหมือนจะเห็นสูตรดังกล่าวอยู่ในหนังสือด้วยดังนั้นคงจะไม่ผิดนัก

เนื่องจากฟาร์มาคนเดิมนั่นมีบุคลิกที่เงียบและใจเย็น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เขาต้องทำตัวเช่นนั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

ตัวเขาได้เริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟาร์มาคนก่อนเพราะเด็กคนนี้เสียชีวิตด้วยฟ้าผ่า ความทรงจำควรจะหายไปด้วยแท้ๆ ตัวเขารู้สึกอยากหลุดพ้นจากความคิดนี้เสียทีเพราะมันเหมือนกับตนไปยึดร่างของฟาร์มามาเป็นของตัวเองและรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

แต่ถึงจะเป็นเช่นไรก็ตามตอนนี้ฟาร์มาคนก่อนก็ได้ตายลงไปแล้วรวมไปถึงอัตตาของเขาด้วย

เขาระลึกถึงเรื่องนี้ไว้ในใจและเลือกที่จะอยู่เพื่อฟาร์มาคนก่อนด้วยเช่นกัน

เภสัชกรคนหนึ่งและฟาร์มาคนก่อนได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

“ยังไงก็เถอะ แม่ล่ะรู้สึกกังวลกับอาการของลูกอยู่ดีนั่นแหละ หากลูกรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกแม่จะคอยดูแลเองนะไม่ต้องเป็นกังวลไป หรือถ้าลูกอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็บอกแม่ได้นะ เดี๋ยวแม่จะทำให้เอง”

หากเทียบกับทางด้านของท่านพ่อแล้ว ท่านแม่ดูเหมือนจะแสดงความห่วงใยมากกว่าการแสดงความพึงพอใจ

“ครับขอบคุณท่านแม่มาก ผมรู้สึกดีใจจริงๆ”

หลังจากที่ได้พูดคุยกับแม่ของฟาร์มาไปสักพักทำให้มั่นใจว่าตัวเธอไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับฟาร์มา จากที่ลอตเต้ได้บอกไว้ดูเหมือนว่าลักษณะท่าทางน้ำเสียงของตัวเขานั้นก็มีความใกล้เคียงกับฟาร์มาคนก่อนเป็นอย่างมากจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดี

“เจ้าควรจะนอนพักอีกสักสองสามวันนะ ว่าแต่เจ้าจะเข้าร่วมการตรวจครั้งต่อไปหรือเปล่า?”

หลังจากที่พ่อของเขาทานข้าวเสร็จเขาก็ได้ใช้ผ้าเช็ดปากของเขา ก่อนจะนึกได้ว่าต้องเตือนฟาร์มาเรื่องการตรวจ ฟาร์มาทำได้เพียงแค่ยิ้มรับไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเขาหมายถึงอะไร แต่ดูเหมือนพ่อของเขาจะสังเกตได้ว่าความทรงจำของฟาร์มาคงยังไม่ชัดเจนนักจึงอธิบายเสริม

“การตรวจพระอาการองค์จักรพรรดินีไง”

“อ้อครับ ผมจำได้แล้วงั้นผมขอไปด้วยกับท่านพ่อนะครับ”

แพทย์โอสถฝึกหัดนั้นจำเป็นจะต้องศึกษาการทำงานของแพทย์โอสถหลวงโดยจากความทรงจำนั้นฟาร์มาคนก่อนอายุได้เพียง 10 ปีเท่านั้นแต่ตัวของเขาก็ได้ติดตามพ่อของเขาไปตรวจอาการคนไข้อยู่เสมอ

การเรียกที่ว่านั้นคือการเข้าไปตรวจอาการคนไข้ของแพทย์โอสถซึ่ง สำหรับเหล่าราชวงศ์และชนชั้นสูงนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ในขณะนี้ด้วยฐานะของพ่อเขาแล้วผู้ที่จะได้รับการตรวจนั้นย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา

เมื่อเขาพูดถึงองค์จักรพรรดินีนั้นย่อมมีความหมายว่าเป็น องค์จักรพรรดินีเอลิซาเบทที่สองแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ

(นี่มันงานช้างเลยนี่นา)

ฟาร์มารู้สึกกังวลอยู่เช่นกันว่ายาชนิดใดกันที่จะถูกกำหนดให้ใช้ในการรักษาจักรพรรดินี เขาได้แต่ภาวนาว่าจะไม่ถูกจับไปแขวนคอหากการรักษานั้นล้มเหลว

“อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับครีมที่ใช้ในการรักษาอาการแผลไฟไหม้ที่แขนทั้งสองข้างของเจ้านั้น ส่วนผสมและวิธีการผลิตของมันมีอะไรบ้าง?”

มาแล้วคำถามเกี่ยวกับเภสัชวิทยาแบบไม่ทันตั้งตัวที่ลอตเต้พูดถึง!

“ส่วนผสมหลักของมันคือสมุนไพรทิพาร่าจากภูมิภาคลาฮาล น้ำมันคอนคอทชั่นจากคาเทสโซ่ ดวงตาของลิซาร์ต ผงจากปีกของค้างคาวคืนจันทร์เต็มดวง ส่วนวิธีการนั้นคือผสมมันลงไปในน้ำศักดิ์สิทธิ์ต้มเป็นเวลาหนึ่งคืนในขณะที่สวดภาวนาไปด้วย ก่อนจะนำไปตากให้แห้งเป็นเวลาสามวัน จากนั้นก็บดมันเป็นผงให้ละเอียดครับ”

ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะคิด ข้อมูลต่างๆ ที่เขาได้อ่านมาก่อนหน้านี้นั้นออกมาจากปากของฟาร์มาอย่างลื่นไหล โดยเลียนแบบวิธีการพูดของฟาร์มาคนก่อนด้วยเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะกล่าวถึงวิธีการผสมมันด้วยสัญชาตญาณก็ตาม แต่ในฐานะเภสัชกรที่จบการศึกษาถึงระดับปริญาเอกของญี่ปุ่นแล้วก็รู้สึกละอายใจกับเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

แต่นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มีแต่ต้องทำมิเช่นนั้น

คงเป็นปัญหาแน่หากเขาถูกไล่ออกจากคฤหาสน์เพราะเรื่องแบบนี้

“จำได้ด้วยงั้นรึ สมแล้วที่เป็นลูกของพ่อ”

พ่อของเขาพยักหน้าออกมาด้วยความพอใจโดยที่ไม่รู้ถึงความจริง อย่างไรก็ตามวิธีการผลิตครีมดังกล่าวนั้นดูน่าสงสัยเกินไปแล้ว เนื่องจากอาจจะเกิดอาการผื่นหรืออักเสบได้หากครีมดังกล่าวสัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานานๆ

แต่หากเป็นระยะสั้นๆ อาจจะเป็นวิธีการที่ดี เขาได้ทำการเช็ดสมุนไพรเหล่านั้นออกอย่างรวดเร็วก่อนจะทำการล้างแขนด้วยน้ำสะอาด โดยไม่ให้พ่อของเขารู้

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่น่าจะมีปัญหาทางด้านกายภาพแล้วแบบนี้คงจะกลับเข้าเรียนกับเอเลโอนอร์พรุ่งนี้ได้แล้วสินะ?”

(คนที่เราไม่รู้จัก…)

ก่อนที่ต่อมาเขาจะได้ทราบจากลอตเต้

เอเลโอนอร์ บอนฟัว

ลูกศิษย์ผู้มากฝีมือที่พ่อของเขาเป็นคนสอน และยังเป็นอาจารย์ของฟาร์มาเช่นกัน

———————————–

“แปลกจริงๆ ยังไงก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเธอเป็นคนอื่นอย่างไงอย่างงั้น”

หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของฟาร์มานั้นกำลังวาดลวดลายด้วยนิ้วมือของเธอลงที่โต๊ะก่อนจะกล่าวเช่นนั้นออกมา

ฟาร์มาถึงกับสะดุ้งเนื่องจากเสียงของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา

เธอคืออาจารย์ส่วนตัวของฟาร์มาอีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ผู้มากด้วยความสามารถของพ่อเขา รวมไปถึงยังถูกจัดอยู่ในอันดับท็อปของคลาสเรื่องความงาม เอเลโอนอร์ บอนฟัว อายุ16 ปี ผมสีเงินมันวาวที่ถูกแบ่งปลายออกไปทั้งสองข้าง มีบรรยากาศที่ดูดีและน่าประทับใจ เธอสวมชุดกระโปรงยาวรัดรูปสีฟ้าอ่อนที่เน้นไปทางด้านการเคลื่อนไหว โดยเปลือยไหล่ของเธอเอาไว้

เขารู้สึกเขินเป็นอย่างมากเมื่อมองไปยังหน้าอกที่ใหญ่โตของเธอ ขณะที่มันกระเพื่อมเพราะแขนของเธอ

(ชุดแบบนั้นมันจะยั่วกันเกินไปแล้ว แถมยังใส่แว่นอีกต่างหาก!)

หากว่านี้เป็นโลกที่มีอารยธรรมเหมือนช่วงยุโรปกลาง ฟาร์มาก็คาดว่าคงจะมีเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่านี้ แต่เขานั้นคิดผิด เพราะมีเพียงครอบครัว เดอ เมดิซิส เท่านั้นที่เป็นสายอนุรักษนิยมสวมแบบนั้นเฉยๆ สิ่งที่ตัวเธอสวมอยู่ในตอนนี้นั้นก็สามารถพูดได้ว่าเหมาะสมกับโลกแฟนตาซีแบบนี้แล้ว ฟาร์มาจึงรู้สึกแอบชื่นชมเธออยู่พอสมควร

“อย่างงั้นเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเองหรือเปล่าครับ!”

“เป็นทางการเกินไปแล้ว แถมยังใช้คำแบบนั้นอีก”

ฟาร์มารู้สึกเสียใจที่เขาไม่ได้ศึกษารูปแบบการสนทนาระหว่างเอเลน เพราะเขาคิดว่าหากมีความสัมพันธ์แบบศิษย์กับอาจารย์นั้นย่อมต้องใช้คำที่ให้เกียรติกัน

(แล้วเราควรพูดแบบไหนกับเธอที่ล่ะ หรือว่าบางที่จะพูดคุยกับเธอแบบเป็นกันเองกับอาจารย์ดีนะ?)

สถานที่นัดพบเอเลโอนอร์นั้นอยู่อีกฟากของแม่น้ำในเขตคฤหาสน์ของเขา ซึ่งมีศูนย์กลางเป็นศาลาสวนดอกไม้สไตล์ตะวันตกที่ทำมาจากหินสีขาวและคลุมด้วยหลังคาเพื่อสะท้อนแสงแดด พร้อมกับบรรยากาศที่สายลมพัดผ่านเย็นสบายน่ารื่นรมย์

ทั้งสองนั่นตรงข้ามกันที่โต๊ะกลมซึ่งตั้งอยู่ในศาลา สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการเรียนรู้กลางแจ้งอย่างแท้จริง

ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเป็นสวนสมุนไพรที่พ่อของเขานั้นเป็นเจ้าของ ฟาร์มารู้สึกกังวลอยู่บ้างว่าน้ำอาจจะท่วมสวนดังกล่าวได้เนื่องจากอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ แต่เนื่องจากว่าครอบครัวเดอ เมดิซิสนั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพวารีกันทั้งสิ้นจึงสามารถป้องกันน้ำไม่ให้ไหลไปยังสวนสมุนไพรได้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันเหล่าโจรที่หมายตาสมุนไพรซึ่งมีราคาแพงเหล่านี้ในเวลากลางคืนอย่างไร้ที่ติเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะมองไปรอบๆ จึงพบว่ามีสมุนไพรบางตัวที่คล้ายกับสมุนไพรในโลกเดิมของเขา ก่อนจะทราบภายหลังว่าสมุนไพรดังกล่าวนั้นถูกใช้ในแพทย์แผนจีน แต่ก็ยังมีสมุนไพรอีกมากมายที่เขาไม่ทราบในโลกแห่งนี้

“ผมก็พูดแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วนะครับ อาจารย์เอเลโอนอร์”

เรียกเอเลโอนอร์แบบนั้นคงโอเคสินะ? หรือควรจะเรียกว่าอาจารย์บอนฟัวดีนะ? เขาพยายามคิดวิธีการสนทนาที่ดีกว่านี้ก่อนจะถูกขัดจังหวะขึ้นมาทันที

“เรียกแค่เอเลนก็พอ เพราะแบบนี้ไงเธอถึงดูไม่เหมือนเดิม”

“ขอโทษด้วยนะครับ เนื่องจากที่ผมโดนฟ้าผ่ามาเลยทำให้ความทรงจำเดิมนั้นยังไม่เข้าที่มากนัก”

“ถ้าอย่างงั้นก็น่าจะบอกกันก่อนสิ”

เอลเลได้ทำหน้ามุ่ยแสดงความไม่พอใจออกมา

“บางทีการที่ถูกฟ้าผ่าอาจจะทำให้บุคลิกของคนเราเปลี่ยนไปได้…แต่เดี๋ยวเธอก็คงจะกลับมาดีขึ้นเอง เธอควรจะดีใจนะที่อย่างน้อยในตอนนี้ชีวิตของเธอยังคงปลอดภัยดี”

เอเลโอนอร์ บอนฟัว

ลูกศิษย์ผู้มากฝีมือที่พ่อของเขาเป็นคนสอนเองและเป็นอาจารย์สอนให้กับฟาร์มา

เอเลนได้ยืนขึ้น และมองไปยังเขาก่อนที่จะยิ้มอย่างมีความสุขออกมา ซึ่งดูมีเสน่ห์แพรวพราวมากเลยทีเดียว จากนั้นเธอจึงเดินออกจากศาลาตรงไปยังแม่น้ำ โดยมีฟาร์มาตามหลังไป

“คลาสวันนี้จะไม่ใช่การเรียนศาสตร์การแพทย์ แต่จะเป็นการทดสอบศาสตร์แห่งเทพของเธอ”

เอเลนถามฟาร์มาว่าตัวเขานั้นจำการใช้ศาสตร์พวกนั้นได้หรือไม่

เพราะตัวเธอได้สอนศาสตร์เหล่านั้นให้กับฟาร์มาคนก่อนไปมากมาย

ซึ่งก็ดูเหมือนตัวฟาร์มานั้นจะเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมและมีพรสวรรค์

“ถ้าเป็นเรื่องการเสกน้ำใส่แก้วนี่ผมสามารถทำได้แล้วครับ”

เมื่อฟาร์มาพูดติดตลกแบบนั้น เอลเลนก็ได้เลิกคิ้วขึ้น

“เออ..จริงๆ แล้วจำอะไรไม่ได้เลยครับ…”

ด้วยอุปกรณ์การเขียนที่อยู่บนมือของฟาร์มานั้น เขาได้เริ่มการฟังบรรยายอันเข้มข้น

——————-