ตอนที่ 182 เสือลำบากถูกสุนัขรังแก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 182 เสือลำบากถูกสุนัขรังแก

หากถามเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ สะใภ้หวังก็ยังตอบไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็แค่มีเงินอยู่ในมือบ้างเท่านั้นและมีความคิดคร่าวๆ ว่าต้องการทำอะไร การจะขยายกิจการยังต้องคิดให้รอบคอบ

นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดกับนางฉินผู้เฒ่า “ท่านแม่ เงินจำนวนนี้ข้าก็เพิ่งได้มา เพิ่งเริ่มมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับยังไม่ได้คิดให้รอบคอบสมบูรณ์ หากจะต้องนำไปทำจริงๆ ยังต้องใช้เวลาพิจารณาชั่งน้ำหนักให้รอบคอบ”

สะใภ้เซี่ยเป็นคนใจร้อน นางได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมีความคิดอย่างไรก็พูดออกมาเถิด ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนนอก หรือว่าท่านอยากจะปิดบังเก็บเป็นความลับ?”

สะใภ้หวังไม่พอใจเล็กน้อย “หากข้าคิดจะปิดบังเก็บเป็นความลับก็คงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ข้ากำเงินไว้ไปแอบทำลับๆ ไม่ดีกว่าหรือ จะมาเสียเวลาพูดให้เปลืองน้ำลายอยู่ตรงนี้ทำไมกัน”

สะใภ้เซี่ยเห็นว่านางเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาก็รู้สึกอาย ไม่กล้าเอ่ยอะไรแล้ว

สะใภ้หวังไม่หันไปมองนางอีก เพียงหันไปพูดกับนางฉินผู้เฒ่าว่า “ถ้าจะพูดเรื่องการทำกิจการ เงินพันกว่าตำลึงก็คงเปิดร้านใหญ่โตไม่ได้ แค่เช่าร้านก็ต้องใช้เงินมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องมีลูกจ้าง เสี่ยวเอ้อร์ ผู้ดูแลอะไรอีก เราเพิ่งมาที่เมืองหลีไม่คุ้นเคยกับเมืองนี้ จะให้ทำอะไรข้าเองก็ไม่มีความคิดหรอก แต่ซีเอ๋อร์ให้สูตรทำผลไม้แช่อิ่มข้ามาส่วนหนึ่ง ผลไม้แช่อิ่มพวกนี้ไม่เหมือนกับผลไม้แช่อิ่มทั่วไป สูตรของมันมีสมุนไพรบางชนิดผสมอยู่ด้วย สามารถรักษาโรคเล็กๆ น้อยๆ ได้ ข้าคิดว่าถ้าทำออกมาไม่เหมือนกับผลไม้แช่อิ่มของคนอื่น แถมยังสามารถช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ด้วย อาจจะเป็นหนทางใหม่ๆ”

“สูตรผลไม้แช่อิ่มหรือ” นางฉินผู้มองหน้านาง “นังหนูนั่นไปเอามาจากไหน”

“ท่านลืมไปแล้วหรือว่านางมีวิชาแพทย์ติดตัว นางต้องคิดออกมาเองอยู่แล้ว พวกยาอมหวานทำให้ชุ่มคอที่ท่านอมอยู่บ่อยๆ ก็นางทำให้ท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สะใภ้หวังเอ่ยยิ้มๆ

นางฉินผู้เฒ่าเงียบไปเล็กน้อย “ยาอมนั่นไม่เลวจริงๆ เวลาอมไว้ในปากทำให้ชุ่มคอดี”

“ท่านเห็นหรือยัง นั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น หากเอาไปขายในร้าน เป็นขนมก็ได้ แถมมีประโยชน์ต่อร่างกาย ท่านว่าจะมีคนซื้อหรือไม่”

“ยากจะบอกได้ ต้องลองทำแล้วดูผลลัพธ์ การเปิดร้านไม่ยาก การทำให้มันอยู่ต่อไปได้ต่างหากที่ยาก การจะทำกำไรให้ได้ก็ต้องใช้กระบวนการและเวลา”

“ท่านพูดถูก ข้าคิดว่าบ้านเรามีสูตรเอง ทำดีๆ ก็เป็นสูตรลับที่มีเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้คนอื่นจะอยากขโมยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สูตรลับอยู่ที่มือเราเอง แบบนี้กิจการก็เกิดขึ้นได้” สะใภ้หวังยิ้มบางๆ “ทำกิจการ ใครบ้างจะไม่อยากทำกิจการที่มีเอกลักษณ์”

สะใภ้เซี่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ อย่างที่ท่านพูด หากกิจการนี้สำเร็จก็จับนับว่าเป็นกิจการของส่วนรวมใช่หรือไม่”

“ย่อมเป็นกิจการส่วนรวม แต่สูตรนี้เป็นของซีเอ๋อร์” สะใภ้หวังเอ่ยเรียบๆ “หากทำสำเร็จ แต่ละปีข้าจะต้องแบ่งกำไรให้นางด้วย”

สะใภ้เซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที “เป็นคนบ้านเดียวกับทั้งนั้น ยังจะต้องแบ่งแยกว่าเป็นของใครของใครด้วยหรือ”

สะใภ้หวังเหน็บกลับ “เช่นนั้นน้องสะใภ้ก็เอาสูตรออกมาสิ หากทำสำเร็จก็จะได้แบ่งกำไรให้เจ้าด้วยเหมือนกัน”

สะใภ้เซี่ยสะอึกทันที นางเม้มปาก ถ้านางมีสูตรที่ทำเงินได้จริง นางจะจ้างคนรับใช้สักคนคงไม่ใช่ปัญหาอย่างนี้หรอก

นางฉินผู้เฒ่าลูบประคำพุทธ “เจ้าเป็นนายหญิงของบ้าน เรื่องทำกิจการให้เจ้าตัดสินใจเองเถิด คิดอย่างไรก็ทำไป เพียงแต่ในบ้านยังต้องใช้เงินเบิกทาง ต้องใช้เงินอย่างประหยัด”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่”

นางฉินผู้เฒ่าเห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ไม่ได้หยิบสูตรออกมาดูเลย จึงลดสายตาลงพลางเอ่ย “นี่ก็ใกล้จะเดือนเก้าแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาเดินทางถึงกันแล้วหรือยัง อิงเหนียงก็ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาเลย สะใภ้หวังส่งจดหมายไปทางตงเป่ยอีกครั้งเถิด ข้าเป็นห่วงจริงๆ”

สะใภ้หวังรับคำด้วยท่าทางนอบน้อม

หลังจากคุยกับหญิงชราอีกสักพัก สะใภ้หวังก็จากไป สะใภ้กู้ก็จากไปพร้อมลูกแฝดของนางด้วย

สะใภ้หวังและสะใภ้กู้เดินเคียงกันไป “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะทำกิจการจะต้องดูแลด้วยตัวเองนะเจ้าคะ หากในบ้านมีเรื่องไหนที่ล้นมือ ท่านสั่งข้ามาก็ได้ พี่ผิงและพี่อันมีเป่าเอ๋อร์ช่วยข้าดูแลอยู่แล้ว”

สะใภ้หวังพูด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดถูก ข้าต้องดูแลกิจการนี้ด้วยตัวเองให้ดี จะให้สูตรดีๆ เสียเปล่าไม่ได้ ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม บ่าวรับใช้ในบ้านไม่ได้มีมากมาย แต่เจ้านายก็นับว่ามีไม่มาก แถมยังมีคนไปมาหาสู่น้อย เรื่องอาหารจัดเลี้ยงกลับประหยัดไปได้มาก ช่วงนี้ก็นับว่าไม่ได้ล้นมืออะไร เจ้าน่ะคอยดูแลหลานทั้งสองของข้าให้ดีก็แล้วกัน พวกเขาขาดเจ้าไม่ได้”

“แต่ว่า…”

“พี่สะใภ้รองของเจ้าชอบเอาเปรียบคนอื่น เป็นพวกอารมณ์ร้อนแถมไม่ยอมคน ปากร้าย แต่นางไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นบ้านนี้ก็คงเก็บนางไว้ไม่ได้แล้ว แม้นางจะพูดจาไม่น่าฟัง พวกเราก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไปเสีย หากทนฟังไม่ได้จริงๆ ข้าจะจัดการนางเอง”

สะใภ้หวังเอ่ยอีก “ตระกูลฉินประสบภัยเช่นนี้ ผิงอันถือว่าเกิดมาผิดเวลา แต่ข้าเชื่อว่าต่อไปเราจะดีขึ้นแน่นอน”

“อืม ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พวกท่านพ่อเดินทางถึงไหนแล้วนะเจ้าคะ”

สะใภ้หวังเงียบไป นั่นน่ะสิ เดินทางถึงอย่างปลอดภัยแล้วหรือยัง?

ซีเป่ย เมืองอู่

คนตระกูลฉินทั้งหมดผ่านด่านหยางกวนเข้าสู่เมืองอู่ และถูกผู้คุมพาตัวเข้าไปศาลาว่าการเพื่อทำตามขั้นตอนการส่งมอบและลงทะเบียน พวกนักโทษที่ต้องทำงานหนักพวกเขาพาไปเอง ส่วนคนตระกูลฉินถูกนำตัวไปที่ค่ายเนรเทศในเมืองอู่ หลังจากปลดโซ่ตรวนออกแล้ว พวกเขาก็ต้องหาเลี้ยงชีพในเมืองที่ยากจนและป่าเถื่อนแห่งนี้

“พวกท่านมีความสามารถ ก็หาที่ลงหลักปักฐานด้วยตัวเองเถิด ขอให้โชคดี” เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการท้องถิ่นถอดโซ่ตรวนออกให้พวกเขา ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาแล้วจากไป

สีหน้าของคนตระกูลฉินดูสับสนงุนงง

ทันใดนั้นลมหนาวพัดมาพัด เอาทรายสีเหลืองเข้าตาจนพวกเขาไม่สามารถลืมตาได้ ทรายเข้าตากระทั่งน้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด

สุขภาพร่างกายของฉินหยวนซานอ่อนแอ การเดินทางก็ยากลำบาก เมื่อลมหนาวพัดมา ร่างกายซึ่งสุขภาพไม่ดีก็เริ่มสั่นไหวโงนเงน

“ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร พวกเรายังต้องหาที่พักกัน” ฉินหยวนซานไอออกมาเล็กน้อย เขาพูดด้วยใบหน้าชราอ่อนแรง “ที่นี่ลมแรง มีฝุ่นมาก แถมยังเป็นช่วงต่อฤดูอีกครั้ง พวกเราล้มลุกคลุกคลานไม่มีอะไรติดตัวมาเลย หากไม่มีที่หลบลมหนาว คงจะทานไม่ไหว”

“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้ากับพี่รองจะไปหาที่พักกันก่อน พวกท่านหาที่นั่งรอกันก่อนดีไหม” ฉินปั๋วชิงที่ใบหน้ารกรุงรังไปด้วยหนวดเคราเอ่ยขึ้น

“คงได้แต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว”

พวกเขาเพิ่งพูดจบ ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวไปไหนก็มีคนพุ่งเข้ามา “พวกเขานี่แหละ เอามาเลย”

พวกเขามองตามไปยังเสียงนั้น และพบว่าเป็นชายฉกรรจ์สองสามคนในขบวนเนรเทศที่คอยจับจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาโลภมาตลอดทาง

พวกเขาพุ่งเข้ามา “เอาเงินที่พวกเจ้ามีอยู่ทั้งหมดออกมา จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าขาไม่เกรงใจนะ”

“ไม่เกรงใจหรือ ข้าก็อยากรู้ว่าพวกเจ้าจะไม่หยาบคายได้แต่ไหน มาสิ พวกขี้ขลาด” ฉินปั๋วกวงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วก้าวเข้าไปรับหน้า

ฉินหมิงเยี่ยนและฉินหมิงมู่รีบพยุงผู้เฒ่าถอยไปด้านหลัง แต่กลับถูกเด็กคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขาถึงครึ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาและกระแทกพวกเขาล้มลงกับพื้นทันที ก่อนจะวุ่นวายค้นตัวผู้เฒ่า

ฉินหยวนซานกังวลร้อนใจจนหายใจไม่ออกและเป็นลมไปทันที ช่างเป็นเสือลำบากที่ถูกสุนัขรังแกจริงๆ