ตอนที่ 92 วัดหลิงอู้

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 92 วัดหลิงอู้

ทันทีที่ชายผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ แม้แต่ลมที่พัดเข้ามาในลานก็ดูเยือกเย็นลง

อาเฟยนำมือแตะคางของเขาโดยมิรู้ตัว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่เขาสามารถเดินทางกลับมาเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย

เหตุใดเขาจึงเอ่ยออกมาว่าความสามารถพิเศษของเขาคือ ‘ฆ่าคนเป็น’ ออกมาได้อย่างง่ายดาย

“ข้าฆ่าคนเก่ง” ชายผู้นั้นมองไปที่เจียงซื่อและเน้นย้ำอีกครั้ง

อาหมานก้าวไปข้างหน้าและตำหนิ “เจ้านี่แปลกยิ่ง กล่าวเรื่องการฆ่าคนต่อหน้าคุณหนูเรา สมควรแล้วหรือ”

แม้ว่าคุณหนูของพวกนางจะกล้าใช้มีดแทงก้นบุรุษโดยมิเปลี่ยนสีหน้าได้ แต่เรื่องนี้ก็มิอาจให้คนนอกรับรู้

ชายผู้นั้นเพิกเฉยต่อคำกล่าวของอาหมาน เขายังคงจ้องไปที่เจียงซื่อ

การดื่มสุราตลอดทั้งปีมิทำให้เขาสับสนได้ แต่สตรีคนหนึ่งที่ส่งจดหมายดังกล่าวให้เขาทั้งๆ ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ เขาเชื่อว่านางต่างจากสตรีทั่วไป

“ตกลง ถ้าเช่นนั้นตั้งแต่นี้ไปคงต้องรบกวนฉินเจียงจวินด้วย” เจียงซื่อย่อเข่าลงเล็กน้อย

ชายผู้นั้นดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แม่นางเรียกข้าว่าเหล่าฉินเป็นพอ ‘ฉินเจียงจวิน’ นั้นผู้คนคงเรียกเพื่อล้อข้าเล่นไปเท่านั้น”

“เหล่าฉิน ต่อจากนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ อาเฟย แล้วเจ้าเล่า?”

อาเฟยมองไปรอบๆ

เรือนเล็กสะอาดสะอ้าน มีร่มเงาของต้นไม้เขียวชอุ่มท่ามกลางฤดูร้อน มีดอกบัวปลูกไว้ในสระ มันเป็นสถานที่ดีมาก เขาไม่เคยอาศัยที่ดีเช่นนี้มาก่อนเลย

ประกายการต่อสู้อย่างสับสนปรากฏผ่านดวงตาของอาเฟย จากนั้นเขาจึงยิ้มและโบกมือ “ข้าขออยู่อย่างที่เคยแล้วกัน ข้าบอกคุณหนูตามตรงว่าบัดนี้มีพี่น้องหลายคนมาอยู่กับข้า สะดวกยิ่งหากให้พวกเขาคอยสืบข่าวให้ ที่นี่ข้าจะเดินทางมาวันละครั้งก็พอ”

“งั้นก็ดี วันพรุ่งนี้ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้ากับเหล่าฉินเตรียมตัวให้พร้อม”

ชั่วพริบตา วันรุ่งขึ้นก็มาถึง

แสงแดดเจิดจ้าปกคลุมทุกสิ่งด้วยสีทอง บนท้องฟ้าไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว เงยหน้าเห็นเพียงท้องฟ้าสีคราม เป็นอากาศที่เหมาะสมจะออกไปข้างนอกยิ่ง

เจียงจั้นนั่งตัวตรงบนหลังม้า เสื้อคลุมสีขาวนวลดุจดวงจันทร์ทำให้เขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์ขึ้น ดึงดูดสายตาของหญิงสาวนับมิถ้วน

เขาคุ้นเคยกับการถูกจ้องมองเช่นนี้มานานแล้วจึงมิได้รู้สึกอึดอัดใจ เขายิ้มเห็นฟันขาวอย่างเรียบร้อยให้แก่หญิงสาวในรถม้า “น้องสี่ วันนี้อากาศดีนัก ประเดี๋ยวเมื่อถึงชานเมือง ไม่มีผู้ใดแล้ว พี่จะพาเจ้าขี่ม้า”

อาหมานโผล่ศีรษะออกมาแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “คุณชายรองเจ้าคะ คุณหนูขี่ม้าไม่เป็น และไม่ควรจะขี่ม้าตัวเดียวไปกับท่าน อย่าได้รั้นเลยเจ้าค่ะ”

เจียงจั้นเบะปาก

บ่าวรับใช้เหล่านี้มิรู้ว่าไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใด อะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจได้ก็มักจะทำออกมาเช่นนั้น

“น้องสี่ ดูแลบ่าวรับใช้ของเจ้าบ้างสิ กล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้” การที่เขามิอาจพาน้องสาวขี่ม้ากินลมด้วยได้ จึงทำให้คุณชายรองเจียงอารมณ์ไม่ดีนัก เขาจึงรีบกล่าวโทษบ่าวรับใช้ขึ้นมาทันที

“บ่าวกล่าวตามจริงเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อดีดหน้าผากของอาหมานเบาๆ ด้วยนิ้วและกล่าวว่า “อย่าต่อปากต่อคำกับคุณชายรอง”

เจียงจั้นเหลือบมองอาหมานเบา ๆ ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง

ช่วงเวลาจริงจัง น้องสี่ยังคงเข้าข้างเขาเสมอ

อาหมานกลอกตานำมือกุมหน้าผาก

เป็นถึงคุณชายรอง ต้องการเอาชนะเพียงบ่าวรับใช้ น่าชื่นชมเสียจริง!

สารถีสวมหมวกใบใหญ่ปิดบังแดด เขาบังคับรถม้าตั้งแต่ในเมืองกระทั่งออกไปเขตชานเมืองได้อย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง

ผู้นั่งข้างสารถีคืออาจี๋ บ่าวรับใช้ของเจียงจั้น

อาจี๋แอบมองสารถีอยู่เนิ่นนานแล้ว เขาเกิดความสงสัยในใจว่าสารถีในจวนเปลี่ยนคนตั้งแต่เมื่อไรกัน

สารถีจับจ้องไปที่ด้านหน้าโดยมิเปลี่ยนสีหน้า และมิสนใจสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของอาจี๋

สารถีผู้นี้คือเหล่าฉินนั่นเอง

“น้องสี่ คิดอย่างไรจึงอยากเดินทางไปวัดในเมืองเล็กๆ เช่นนั้น ในเมืองหลวงมีวัดมากมายทั้งใหญ่และเล็ก” เจียงจั้นมักกล่าวมากความเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาว ผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ว่ากันว่าวัดนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง” เจียงซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ “พี่รอง เช็ดเหงื่อหน่อยเถิด”

เจียงจั้นไม่ได้รับไป “ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็ไหลออกมาอีก น้องสี่ช่วยหยิบลูกสาลี่ให้ข้าดีกว่า”

เขากัดสาลี่ทรงกลมเข้าไปคำหนึ่งจนน้ำล้นออกมา เจียงจั้นถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ

การมีน้องสาวเป็นเรื่องดีเสียจริง จู่ๆ นางก็อยากจะไปถวายธูปเทียนที่วัด ทำให้เขาไม่ต้องไปร่ำเรียนตั้งหลายวัน

เมืองชิงหนิวอยู่มิไกลจากเมืองหลวงมากนัก พวกเขาเดินทางไปถึงเมื่อฟ้าใกล้มืด

มีโรงเตี๊ยมเพียงสองแห่งในเมืองเล็กเช่นนี้ สำหรับคุณชายรองซึ่งคุ้นเคยกับความเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวง เขาทนอยู่ไม่ได้

“น้องสี่ เราตรงไปที่วัดหลิงอู้กันเถิด”

“ป่านนี้แล้ว พวกเขาน่าจะไม่ให้เข้าสักการะแล้วล่ะ เราค่อยเดินทางพรุ่งนี้เถิด”

“ตกลง ลำบากหน่อยนะน้องพี่” เจียงจั้นเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ดูใหญ่กว่า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วเขาจึงพักผ่อนลง

มีสถานที่ ‘ปลอดภัย’ มากมายในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ ยามค่ำคืน มีชายหนุ่มคนหนึ่งแอบเข้ามาพบกับเจียงซื่อซึ่งเขารอมาก่อนหน้านี้แล้ว

“คุณหนู ข้าได้ทำการสอบถามคร่าวๆ แล้ว ไม่เคยได้ยินผู้ใดในเมืองกล่าวว่าบุตรสาวตนหายไป”

ชายหนุ่มผู้นั้นก็คืออาเฟย ภายใต้คำสั่งของเจียงซื่อ เขาจึงได้รีบล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งวันและพักที่โรงเตี๊ยมอื่น

คำตอบของอาเฟยทำให้เจียงซื่อดูมืดมนลงเล็กน้อย

ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ นับประสาอะไรกับเรื่องสูญเสียบุตรสาว แม้จะมีไก่สองตัวหายไปเกรงว่าคงเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกพัก

ในเมื่ออาเฟยสืบเรื่องไม่ได้ความ นั่นหมายความว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้มาจากเมืองชิงหนิว

วัดหลิงอู้อยู่ในเมืองชิงหนิว แต่หากหญิงสาวไม่ใช่คนเมืองนี้ ขอบเขตการตามหาจะกว้างขึ้นมาก

“เอาเช่นนี้ พรุ่งนี้เจ้าจงไปสืบมาต่อที่ในเมือง หากข้าไปที่วัดหลิงอู้แล้วได้ความอย่างไรจะให้เหล่าฉินส่งข่าวไปให้”

อาเฟยพยักหน้าอย่างคนไหวพริบดีและจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยมิถามคำถามเพิ่มเติม

เจียงซื่อนั่งอยู่คนเดียวสักพัก ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้นางอ่อนล้าและเอนกายลงนอน

เช้าวันต่อมา อากาศยังคงดีดังเดิม

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงที่วัดหลิงอู้ก็พบว่าวัดเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยธูปมากมาย ผู้แสวงบุญจำนวนมากต่อแถวเข้าไป

เจียงซื่อมองดูผู้แสวงบุญเหล่านั้นอย่างละเอียด

จากการแต่งกายจะเห็นได้ว่าผู้แสวงบุญส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา นอกจากนี้ ยังมีผู้แสวงบุญสวมชุดผ้าแพรซึ่งเดินทางมาด้วยรถม้าหรือเกวียน คาดว่าจะมาจากที่อื่น

เจียงจั้นทุ่มเงินจำนวนมากไปซื้อธูป พระสงฆ์ยินดียิ่งรีบจัดห้องให้สามห้อง

สามเณรอายุเจ็ดแปดขวบนำทางพวกเขาไป เจียงซื่อจึงเยถามว่า “เณรน้อย คนจากที่ใดมาจุดธูปถวายมากกว่ากัน”

สามเณรตัวน้อยได้รับขนมรังไหม[1]ไป เขามองดูเจียงซื่อค่อนข้างเป็นมิตรมากทีเดียว จึงกล่าวอย่างฉะฉานว่า “มากทุกที่ นอกจากคนในเมืองชิงหนิวแล้ว ผู้คนจากเมืองใกล้เคียงก็เดินทางมาด้วย”

“คนจากตระกูลเศรษฐีผู้ดีเดินทางมาที่นี่บ่อยหรือไม่ หากวันนี้ได้บังเอิญพบ ข้าจะได้ผูกมิตรสักหน่อย”

“มีสิ บุตรสาวของเหยียนหยวนวั่ยแห่งหมู่บ้านเหยียน บุตรสาวของนายท่านหลี่แห่งหมู่บ้านต้าหยาง…” สามเณรน้อยใช้นิ้วชี้นับรายชื่อแล้วยิ้มหวานให้เจียงซื่อ “บุตรสาวของพวกเขาเหล่านี้เดินทางมาปีละหลายหนเชียว”

เจียงซื่อจดจำชื่อเหล่านี้ไว้อย่างเงียบๆ

สามเณรน้อยหยุดลง “ห้องของพวกท่านถึงแล้ว”

เจียงจั้นชี้ไปที่ห้องด้านใน “ห้องนั้นมองจากหน้าต่างไปเหมือนจะดีและเงียบที่สุด ให้ข้าและน้องสาวพักตรงนั้นได้หรือไม่”

สามเณรน้อยส่ายหน้า “มีผู้บริจาคอื่นพักอยู่ที่นั่นแล้ว”

เจียงจั้นขมวดคิ้ว

วัดเล็กๆ เช่นนี้มีห้องพักเพียงไม่กี่ห้อง อีกทั้งยังมีคนแย่งห้องดีๆ ไปอีก

ผู้ใดกันนะที่แย่งห้องดีเพียงนี้ไป

คุณชายรองเจียงกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ประตูห้องพักนั้นเปิดขึ้นในทันที

——————————————————————————————-

[1] ขนมรังไหม ขนมพื้นบ้านของมณฑลเสฉวน มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงร้อยปี รสชาติหวาน กรอบเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับทำช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง