“สามขอบเขตแหวกชำระกายา เข้ามาเถอะ!” อาวุโสใหญ่อัญเชิญมังกรออกมาเสริมพลานุภาพ พริบตานั้นฟ้าดินเปลี่ยนสีสันทันควัน กลุ่มเมฆมรสุมกวาดม้วนทะลักทลายด้วยสายวิชชุคะนอง เสียงครืนครั่นสนั่นไปทั่วทั้งท้องทะเลทราย
“ฆ่าคน ชิงของ!” สามแหวกชำระกายาลงมือแล้ว ห้วงมิติถูกกรีดกระชากขาดทำลายอย่างฝืดฝืน เกลียวคลื่นทมิฬสีดำสนิทม้วนกวาดเข้าใส่อาวุโสใหญ่ด้วยความเร็ว หลุมมิติมรณะหมุนวนราววังน้ำวนก้นบึ้งอเวจี
พลังวิญญาณคมปลาบกรีดเฉือนราวคมเคียว เกี่ยวแยกผืนแผ่นดินออกมาช่วงใหญ่ พื้นแผ่นดินผืนใหญ่หนากว่าสิบเมตรถูกม้วนกลืนเข้าไปสู่ใจกลางพายุร้าย กลุ่มมรสุมครอบคลุมทั่วท้องฟ้าอันดำมืด ท่วมทะลักถาโถมจมเขาบรรพตสูง
สายลมแห่งสัประยุทธ์คำราม จู่โจมจักรวาล หยินหยางปะทะหักหาญ หายนะถล่มล่มสู่ปฐพี
พลังถอนดึงขุนเขาพลิกคว่ำมหาสมุทรท่วมโถมออกทั้งสี่ทิศ แม้แต่ผู้ที่ห่างออกไปพันลี้ยังสามารถรู้สึกได้ สำหรับสี่ยอดยุทธ์ที่ใจกลางการปะทะ เงาร่างทั้งสี่บินฉวัดเฉวียนเร็วรี่ ประดุจดั่งเมฆสายฟ้า ปะทะเข้าหากัน จากนั้นแยกออกห่าง เพียงพริบตาก็เข้าหักหาญกันอีกครา
พลังวิญญาณทะลักทลายราวคลื่นมหาสมุทร แช่แข็งห้วงอากาศ สร้างวังวนพายุ เงาร่างทั้งสี่พร่าเลือนจนไม่อาจจำแนกแยกแยะ แม้แต่เนตรทิพย์ยังไม่อาจแยกออก ห้วงมิติบิดผันรุนแรง อันตรายอย่างยิ่ง
ปะทะหักหาญกันไปมาร้อยกระบวนท่า อาวุโสใหญ่กลับสามารถยันสามแหวกชำระกายาไว้ไม่พ่ายแพ้!
“มันเพียงเป็นกลั่นดวงธาตุ ทนได้อีกไม่นานหรอก!” มีคนคำรามออกมา พวกมันไม่อาจเชื่ออย่างที่สุด แหวกชำระกายาหากคิดสังหารกลั่นดวงธาตุผู้หนึ่ง ไม่เคยต้องสิ้นเปลืองเวลาและเรี่ยวแรงปานนี้
อาวุโสใหญ่นั้น แท้ที่จริงตัวมันเองก็เป็นตัวประหลาดเปี่ยมพรสวรรค์ผู้หนึ่ง เพียงแต่คนมักลืมเลือนไปเท่านั้นเอง
“น่าขัน พวกเจ้าสามคนแก่จนจะลงโลงแล้วยังหน้าไม่อาย ครึ่งท่อนร่างล้วนก้าวเข้าหลุมศพไปแล้ว ยังไม่รีบนอนลงในโลงอีก หยุดออกมาหลอกหลอนคนได้แล้ว!” อาวุโสใหญ่รับประทานโอสถหลายเม็ดลงคอ ปรับสีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อย ตวัดมือเก็บซ่อนชายเสื้อที่ขาดวิ่นไป
“เจ้าสามารถต้านทานพวกเราสามคนได้ คู่ควรแก่การอวดอ้างแล้ว ไปตายซะ!” สามแหวกชำระกายาปล่อยกระบวนท่าจู่โจม ท่าโจมตีกลบกลืนสรรพชีวิตในรัศมีจนสิ้น พวกมันไม่ต้องใช้ทักษะยุทธ์ในการลงมือก็สามารถระเบิดทำลายทุกสิ่งจนราบเป็นหน้ากลอง
อาวุโสใหญ่ร่างลอยค้างกลางอากาศสูงพันเมตร มันล้วงดึงออกศาสตราศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดได้จากเมืองเทียนเอินออกมาสวมใส่
“แย่แล้ว!”
แรงระเบิดมหาศาลแตกปะทุออกกลางอากาศ แผ่กระจายออกทั่วทั้งผืนฟ้า ลามลงมายังแผ่นดิน ลากพาทะเลทรายทั้งผืนเข้าสู่การระเบิด ครอบคลุมลงทั่วทั้งพื้นดินและท้องฟ้า ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ระเบิดออกโดยพร้อมเพรียง อานุภาพแน่นอนว่าย่อมไม่อาจประมาณ แม้แต่แหวกชำระกายาทั้งสี่ยังถูกกดดันเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที
รอจนสามแหวกขำระกายาจากเมืองเทียนเอินหายเมาขี้ฝุ่น ผืนทะเลทรายอันราบเรียบถูกขุดขึ้นเป็นแอ่งขนาดมหึมา ขอบรอบด้านยกขึ้นสูง ดูไปเหมือนถ้วยใบหนึ่ง ส่วนอาวุโสใหญ่เล่า คนแหวกมิติหายไปอย่างไร้ร่องรอย หมดทางแกะรอยโดยสิ้นเชิง
“สมควรตาย มันไฉนหายไปแล้ว”
“มันเป็นเผ่ามนุษย์ พวกเราลองสืบเสาะดูในเผ่ามนุษย์เถอะ”
“ในเผ่ามนุษย์มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย หากเป็นพวกสี่พรรคใหญ่ พวกเราคงต้องซุ่มรออย่างเสียเปล่า”
“ผู้ที่สามารถมีพลังฝีมือระดับนี้ ทั้งตัวมันเองก็มีพฤติการณ์แปลกพิกล หวังว่าคงมิใช่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อเอ่ยถึงคำแดนศักดิ์สิทธิ์ สามแหวกชำระกายาสีหน้านัยน์ตาล้วนสะท้อนประกายหวาดหวั่น ไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อย นั่นคือสถานที่ศูนย์กลางของเผ่ามนุษย์ ผ่านสายธารประวัติศาสตร์อันเนิ่นนาน ยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
เมื่อคิดขึ้นมา ทั้งสามเห็นว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง ดังนั้นไม่กล้าร่ำร้องหาผลอู๋เลี่ยงสดอันใดอีกต่อไป ต่างพากันหุบปากเงียบ ค่อย ๆ หลบหลีกออกจากเขตเผ่ามนุษย์ ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเทียนเอินไม่กล้าโผล่ศีรษะออกมา
กลับมาทางฉินจิ่วเกอ หลังจากผ่านพ้นการดิ้นรนอันขมขื่นลำเค็ญก็ร่วงลงมาจากต้นไม้ได้สำเร็จแม้จะเกือบสิ้นใจ หลังจากไอค่อกแค่กเป็นเวลานาน มันก็พบว่าตัวมันอยู่ในส่วนลึกของป่าปีศาจสวรรค์ ส่วนของป่าดึกดำบรรพ์ที่กินอาณาบริเวณนับหมื่นลี้ ไม่อาจแบ่งแยกเหนือใต้ออกตกได้
“เสร็จกัน ไม่มีเข็มทิศ แล้วข้าจะออกไปยังไงกันเล่า” ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน หูแว่วเสียงสัตว์อสูรดุร้ายที่กำลังหิวโหยคำรามก้อง เสียงการเคลื่อนไหวอันรุนแรงน่าหวาดหวั่นบ่งชี้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับไม่ต่ำกว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายหรือขั้นสูงสุดแน่นอน
ภายในป่าดึกดำบรรพ์ ต้นไม้ล้วนสูงใหญ่ชะลูดไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร แผ่กิ่งก้านสาขากลบบดบังท้องฟ้าสิ้น หากมิใช่ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ล้วนไม่อาจเหาะเหินไปสูงเหนือยอดไม้ได้
ส่วนการแยกแยะกลางวันกลางคืน แมกไม้รกชัฏแผ่รากใบออกทึบทะมึนหม่น ไม่อาจรู้ได้
ฉินจิ่วเกอลัดเลาะอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์นานกว่าสามวัน คนสิ้นหวังไร้ทางออก แม้มิได้เดินวนเป็นวงกลม ทว่าหากคิดอาศัยเพียงความสามารถของตัวมันเองเดินออกไป ยังยากเย็นกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์อีก
ฌ้อป้าอ๋องเซียงอวี่ฆ่าตัวตายข้างแม่น้ำอู่เจียง ยอดบุรุษจิวยี่อายุสั้น หรือตัวมันจะเป็นวีรชนห้าวหาญประสบเหตุชะตาดับ
คงมิใช่ว่า หลุดออกจากด่านทดสอบของเฒ่าเรืองปัญญามา หลบหนีฝ่าวงล้อมฆ่าเมืองเทียนเอินแล้ว แถมยังรอดพ้นจากสามแหวกชำระกายาขวางทาง หลีกหลบจากรอยแผลเป็นจากการร่วงหล่นจากฟ้ามาได้
สุดท้ายศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคหลิงเซียวผู้ยิ่งใหญ่ ต้องมานอนตายตาไม่หลับเป็นปีศาจหิวโหยในป่าดึกดำบรรพ์ ช่างน่าสมเพชเวทนาถึงเพียงไหน
นานทีฉินจิ่วเกอก็จะเจอกับสัตว์อสูรพิสุทธิ์ไพศาลสักตัว หากหลบได้ก็หลบ หลบไม่พ้นก็ต่อยตีโชกเลือดสักหน อาศัยขอบเขตขั้นปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ที่แสนอันตราย ผ่านด่านไปได้อย่างเต็มกลืน สัตว์อสูรเหล่านั้นไม่ตายก็บาดเจ็บหนัก
ผ่านไปแล้วแปดวัน ศิษย์น้องรองยังคงนอนรอคอยอยู่ที่พรรคหลิงเซียว รอจนหากเป็นเห็ดก็คงขึ้นราไปแล้ว
อาวุโสใหญ่เอ้อระเหยลอยชาย อารมณ์เบิกบาน มันสั่งสุราดีจากเมืองซวนอู่มาหลายจิน จากนั้นค่อยๆ เดินกลับสู่พรรค
เรื่องที่ฉินจิ่วเกอสามารถได้ผลอู๋เลี่ยงมา ในพรรคมีแต่เหล่าอาวุโสเท่านั้นที่ทราบ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต อาวุโสใหญ่บอกว่าฉินจิ่วเกอเพียงได้รับมาสองผลเท่านั้น มันเองควักออกมาหนึ่งลูก ให้อาวุโสสี่นำไปปรุงโอสถแก่ลั่วเฉิน
หากได้รับการสรรค์สร้างบันดาลจากผลอู๋เลี่ยง ต่อให้เป็นคนสมองกลวงกว่านี้ ยังสามารถบรรลุเข้าสู่ด่านกลั่นดวงธาตุ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงลั่วเฉินที่พรสวรรค์สูงส่ง ยังถูกสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ชำระล้างไขกระดูก
อาวุโสทั้งหลายลูบปาก เด็กน้อยผู้นี้อนาคตของมันย่อมยิ่งใหญ่ น่าเสียดายที่เฒ่าเรืองปัญญาออกจากเมืองเทียนเอินไปแล้ว มิเช่นนั้นกระตุ้นส่งฉินจิ่วเกอไปท้าทายมัน เอาผลอู๋เลี่ยงมาอีกสักหลายโล พรรคหลิงเซียวก็จะมาถึงยุครุ่งโรจน์แล้ว
และเพราะเหตุนี้เอง เฒ่าเรืองปัญญาจึงได้รีบบังคับนาวาเรืองปัญญาจากไป ทั้งไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้สืบสาว ป้องกันคนต่ำช้าบุกฝ่าฆ่าล้างเข้ามาช่วงชิงของ
“ไฉนยังกลับมาไม่ถึงอีก” อาวุโสใหญ่นั่งดื่มสุรา ชะล้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการเดินทาง นั่งแกะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
ศิษย์ของมันแหวกฟ้าผ่าปฐพี แย่งชิงเอาผลอู๋เลี่ยงจากเฒ่าเรืองปัญญามาได้สองผล สมควรมิใช่คนดวงกุด คงไม่ใช่ถูกสัตว์อสูรรับประทานลงท้องไปแล้วกระมัง? เช่นเดียวกับเรื่องที่ศิษย์ของตนจู่ๆ ก็กลายเป็นหนังหน้าหนาขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องยากที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจหาสาเหตุได้
อาวุโสสองปาดเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยมานั่งร่ำสุรากับอาวุโสใหญ่ “ทวีปเราช่วงนี้ปรากฏผู้ฝึกวิชาปีศาจออกอาละวาด ฟังว่ามีกลั่นดวงธาตุจำนวนไม่น้อยที่ร่วงหล่นไปแล้ว สามเผ่าบัญชาอาวุโสของพวกมันล้อมสะกด ล้วนถูกตัวประหลาดเหล่านั้นตัดขาดการติดต่อไป”
อาวุโสใหญ่กลับไม่วิตกกังวลเท่าใด มันมองเห็นอนาคตของพรรคหลิงเซียว “ไม่ต้องกลัว แผ่นดินวุ่นวายกลียุคในทุกวันนี้ เป็นสัญญาณบอกถึงกำลังจะเข้าสู่ยุคมหาสงคราม บางที ยอดคนเช่นบรรพชนวิญญาณอันใดนั่นอาจกำลังมาจุติ นำพาพวกเราทั้งหมดทลายอุปสรรค มิใช่เป็นไปไม่ได้”
“หวังว่าเช่นนั้น” อาวุโสสองดื่มสุราหมดแล้ว คนปาดเช็ดปากเดินจากไป ทิ้งอาวุโสใหญ่ให้เก็บกวาด อาวุโสใหญ่แน่นอนว่ามิใช่คนไร้สมอง มันเรียกหาสวีเซิ่งมาทำความสะอาด ถือโอกาสสั่งสอนอีกฝ่ายไปหลายกระบวนท่า
ฉินจิ่วเกอเดินวนไปเวียนมาในป่าดึกดำบรรพ์ สวรรค์ ข้านอนกลางดินกินกลางทรายมาแล้วนับสิบวัน ยังออกไปไม่ได้อีก
ฉินจิ่วเกอยามนี้ใบหน้าขะมุกขะมอม ในมือยังถือไม้เท้าด้ามหนึ่ง ศีรษะสวมหมวกเก่าขาดปิดบังใบหน้า ละม้ายคล้ายยาจกอย่างยิ่ง
มันยังจำวาจาประโยคหนึ่งได้ ล่วงสู่หมื่นบรรพตลดหลั่นราย ปีนข้ามผ่านไปอย่าหยุดยั้ง กลอนบทนี้ยามอ่านท่องออกมาช่างลึกซึ้งเปี่ยมรสชาตินัก แต่ทว่าเมื่อใดที่ท่านถูกถีบส่งมาในป่าเขาจริงๆ เข้า ค่อยเข้าใจว่าอันใดเรียกว่าความสิ้นหวังที่แท้จริง ผายลมสุนัขแท้ๆ !
“สวรรค์!ใครก็ได้พาข้าออกไปที!” ฉินจิ่วเกอแหงนหน้ามองบนศีรษะ นั่นคือกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่ลัดเลาะเกี่ยวพัน ไม่ต่างจากถูกอบไว้ในหม้อดำใบหนึ่ง
ตามหลักการแล้ว ผู้คนเรียกฟ้าว่าสวรรค์ ล้วนเรียกหาเป็นเหล่าเทียนเหย่ (บิดา)
สวรรค์เป็นดั่งชนชั้นบิดา สรรพชีวิตบนแผ่นดินคือลูกหลาน
ทว่าคนล้วนแตกต่างหลากหลายไร้เท่าเทียม เหล่าเทียนเหย่ชัดเจนว่าไม่คิดนับญาติกับฉินจิ่วเกอผู้นี้ เมินเฉยต่อคำอธิษฐานทั้งมวลของมัน
“ไม่มีคนเป็นบ้างหรือไง? ผีก็ได้โผล่ออกมาที!” ฉินจิ่วเกอป่าวร้องอีกครา สองมือยกชูท่วมฟ้า บนบานศาลกล่าว
“ผู้ใดร้องแรกแหกกระเชออยู่ข้างนอก?” ภายในโลงศพเย็นยะเยือกชั่วร้ายใต้พื้นดิน บนพื้นมีลำไส้เหนียวเหนอะเปียกเยิ้มวางกองอยู่ ใกล้ๆ กันยังมีถังบรรจุโลหิตสดๆ ถังใหญ่ ภายในแช่ไว้ด้วยอวัยวะภายในส่วนต่างๆ ของมนุษย์ น่าสยดสยองพองขนเป็นที่ยิ่ง
ภายในถังไม้เลือดนั้น มีร่างคนนั่งอยู่คนหนึ่ง มันกำลังขับเคลื่อนโคจรเคล็ดวิชากำลังภายใน ไอมรณะชั่วช้าที่แผ่ออกมาแปรสภาพเป็นหัวกะโหลกใบหนึ่ง แปลกประหลาดพิกลพิการยิ่ง พร้อมกับที่กำลังภายในของมันโคจรหมุนวน โลหิตสดทั้งหลายภายในถังก็ค่อยๆ ซีดจางลง จากน้ำเลือดเข้มข้นกลายเป็นน้ำเจือจาง วิญญาณถูกดูดกลืนเข้าสู่ภายในร่างของอีกฝ่าย
ผู้ฝึกวิชาปีศาจ!ในป่าปีศาจสวรรค์ มีผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่หนึ่งตน!
มันเปิดดวงตาดำสนิท ภายในลูกตามีเพียงตาดำ ไม่มีตาขาว “เสียงนั่นไฉนคุ้นหูถึงปานนี้?”
บนพื้นดิน ฉินจิ่วเกอยังคงไม่สำเหนียกถึงอันตราย คงแหกปากร้องตะโกน อธิษฐานบูชาต่อฟ้าสวรรค์อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าเหล่าเทียนเหย่เบื่อหน่ายแล้ว พิโรธโกรธกริ้ว ประทานความชัดเจนเด็ดขาดลงมาให้
ผู้ฝึกวิชาปีศาจทะลวงตะกายออกมาจากใต้พื้น แผ่นอิฐเขียวของหลุมศพใต้ดินพลิกตลบ กลิ่นอายเหม็นหืนเน่าเปื่อยอับชื้นแผ่เข้มข้นจนเวียนหัว สภาพครึ่งคนครึ่งผี เนื้อหนังเหลืองเหี่ยวกรังราวมัมมี่ สิบนิ้วเกรอะกรังดั่งซอมบี้ แผ่รังสีมรณะดำมืดชั่วช้าน่าสยอง
หากฉินจิ่วเกอสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมด สมควรนึกออกว่า คนผู้นี้ ก็คือลุงสองของลั่วเฉิน และเป็นมันนี่เองที่ลอบสังหารฉินจิ่วเกอคนก่อนยามฝึกวิชา จึงได้มีฉินจิ่วเกอกลับชาติมาคนปัจจุบันนี้
มีเรื่องราวบางอย่าง ฉินจิ่วเกอล้วนลืมเลือนไปสิ้นแล้ว ทว่าปราดแรกที่พบเห็นผู้ฝึกวิชาปีศาจนี้ ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจของมันพลันแผดเผาด้วยเพลิงแค้น เป็นความแค้นที่สามารถถลกหนังกินเนื้อของมันได้!
“เป็นเด็กน้อยเจ้า?” ผู้ฝึกวิชาปีศาจประหลาดใจ ตนเองกำลังใคร่ครวญอยู่พอดีว่าสมควรช่วยเหลือเฉินเอ๋อร์คลี่คลายปัญหาอย่างไร อีกฝ่ายก็เสนอตัวมาหาที่ตายถึงที่ โดยเฉพาะที่นี่เป็นสถานที่ไร้ผู้คน หากฆ่าอีกฝ่ายไป ฟ้าไม่รู้ดินไม่รู้
“เจ้าเป็นใคร?” ฉินจิ่วเกอพยายามสะกดความรู้สึกดินหมุนฟ้าพลิกตลบภายในท้อง นั่นเป็นกลุ่มก้อนของความรู้สึกที่บันดาลให้ผู้คนคิดอาเจียน แค่หายใจยังยากลำบาก
“เด็กน้อยเจ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องร้อนรน ข้าเรียกว่าเทียนหมิงเสีย เป็นคนที่จะส่งเจ้าข้ามแม่น้ำปรโลก!”
ก่อนหน้านี้มันรับปากลั่วเฉินเป็นมั่นเหมาะ เรื่องราวในพรรคให้เป็นลั่วเฉินจัดการเองทั้งสิ้น ทว่าที่นี่คือภูเขาเวิ้งว้างไร้เงาคน เทียนหมิงเสียเองก็ไม่อาจสะกดจิตสังหารของตนได้ มันคิดคำนึง เด็กน้อยนี่เป็นเด็กพิกล มีอานุภาพขู่ขวัญผู้คน
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่า ตัวมันเองคือปีศาจที่ฆ่าคนดูดเลือดกลืนวิญญาณเพื่อฝึกวิชา ทั้งหมดนี้ชี้ไปที่ผลลัพธ์เดียว!
“เทียนหมิงเสีย?” ฉินจิ่วเกอขนหัวลุกชี้ชัน ความคิดฆ่าฟันไหลวนภายในอกแน่น แม้แต่ตัวมันเองยังไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไร
นับแต่กลับชาติมาเกินในทวีปฉงหลิงนี้ มันเองยังไม่เคยได้ยินมา ว่าตัวมันมีศัตรูเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจด้วย
หรือว่า เป็นความทรงจากร่างกายของฉินจิ่วเกอคนก่อน?
“ตายซะเถอะ สมองของเจ้าท่าทางรสชาติไม่เลว!” ในสายตาของเทียนหมิงเสีย ดวงตาดำมืดทั้งลูกของมันอัดแน่นด้วยความกระหายชั่วร้าย ไอมารมรณะครอบคลุมทั่วทั้งป่าดึกดำบรรพ์ ต้นหญ้าแมกไม้เหี่ยวแห้งตายซากลง
ฉินจิ่วเกอขนลุกในใจ อีกฝ่ายให้ความรู้สึกพิกลพิการ พลังของมันคล้ายไม่ด้อยไปกว่าสวีเซิ่ง
ซึ่งก็หมายความว่า อีกฝ่ายอย่างน้อยต้องมีพลังไม่ต่ำกว่าดวงธาตุขั้นหนึ่ง เป็นระดับที่ตนเองไม่อาจต่อกรเด็ดขาด
หนี มีเพียงการหนีเท่านั้น!ฉินจิ่วเกอตั้งการ์ด เริ่มเสาะหาลู่ทาง หากไม่อาจเกาะกุมโอกาสไว้ ตนเองคงต้องไปแม่น้ำปรโลก ด่าทอมารดามันในนรกแล้ว
“งั้นหรือ? เนื้อสมองรสชาติไม่เลว หัวใจและปอดก็กรุบกรอบไม่น้อย” ฉินจิ่วเกอยกนิ้วโป้ง ภายใต้ไอมรณะแผ่พุ่งจากเทียนหมิงเสีย ต้องพยายามค้ำจุนร่างกายไว้ไม่ให้แข็งค้างไปก่อน
.
.
.