บทที่ 99 ถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ฝ่าบาท เจอตัวนายน้อยเฮยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หนึ่งในองครักษ์เงาวิ่งเข้ามา เขาเอียงตัวเข้าไปกระซิบบางอย่างข้างหูของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

ในดวงตาคู่สวยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่มีคลื่นอะไรเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่แขนเสื้อกว้างเท่านั้นที่เคลื่อนไหวจนเกิดเป็นสายลมอันเย็นเฉียบ ทำให้แผ่นหลังของเขาดูยากที่จะเข้าถึงได้ มันเต็มไปด้วยความเย็นชาดุจน้ำแข็ง

ด้วยฝีมือของเขา ในไม่ช้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเฮยเจ๋อที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้

แน่นอนว่าองครักษ์เงาย่อมไม่ได้ลงไม้ลงมือกับนายน้อยตระกูลเฮย

พวกเขาทำเพียงแค่ขวางทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายออกไป แต่แค่นั้นก็นับว่าเป็นการกระทำที่ใจกล้ามากแล้ว

ทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้ คงจะมีแค่องค์ชายสามอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้นที่กล้าขวางทางนายน้อยรองของตระกูลเฮย

เมื่อเห็นอีกฝ่าย มุมปากของเฮยเจ๋อก็กระตุกขึ้น “ฝ่าบาทดูสง่างามยิ่งนัก ดึกดื่นป่านนี้แล้ว พระองค์ยังมิเข้าบรรทมอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“นายน้อยรองเองก็ยังไม่เข้านอนหรือ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเบาแสนเบา ฟังดูคล้ายกับไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชาชั่วร้ายที่ยากเกินจะต้านทานได้ “นางอยู่ไหน”

ตอนที่เฮยเจ๋อถูกขวางเอาไว้ เขาก็ถึงกับสบถออกมาในใจคำหนึ่งว่า ฉิบหายแล้ว

จากนั้นเขาก็เริ่มคิดหาความเป็นไปได้สารพัดที่ตนจะสามารถนำมาใช้เป็นข้อแก้ตัวกับอีกฝ่ายได้ เขาคิดเอาไว้ในหัวแล้วว่าเขาจะแลกเปลี่ยนบทสนทนากับองค์ชายสามอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายมาถึง และไม่ว่าบทสนทนาที่ว่านั้นจะดำเนินไปเช่นไร เขาก็จะค่อยๆ เบี่ยงประเด็นออกไปทีละน้อย

แต่ทว่า!

องค์ชายสามกลับไม่เล่นไปตามที่เขาคิด เขาสาวเท้าก้าวเข้ามา แล้วเอ่ยถามอีกครั้งว่า “นางอยู่ไหน”

คำพูดสุภาพ แต่ก็ตรงไปตรงมาทั้งสามคำนั้นทำให้เฮยเจ๋อถึงกับชะงักไปทั้งร่าง

บทพูดทุกอย่างที่เขาเตรียมมากลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง!

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่องค์ชายสามรู้นั้นมีมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮยเจ๋อก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่เกรงกลัว “หากคนที่องค์ชายสามหมายถึงคือเวยเวยล่ะก็ นางออกจากสำนักไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

แค่คำว่าเวยเวยเพียงสองคำก็ทำให้ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจมดิ่งลง รอยยิ้มที่มุมปากของเขากดลึกกว่าปกติ “ออกไปแล้วหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ นางออกไปแล้ว” เฮยเจ๋อเอ่ยด้วยความจริงใจอย่างยากจะหาใดเปรียบ “ตอนแรกพวกกระหม่อมตกลงกันว่าจะลงจากเขาไปด้วยกัน แต่หลังจากนั้นนางก็ดูเหมือนจะร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงขอออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้นางคงถึงถนนสายหลักแล้วกระมัง หากฝ่าบาททรงส่งคนไล่ตามไปตอนนี้ ก็น่าจะสามารถพาตัวนางกลับมาได้ทัน”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ และเอ่ยอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ข้าต้องขอขอบใจคุณชายรองที่ช่วยให้เบาะแสสำคัญเช่นนี้ให้กับข้า”

“สามัญชนเช่นกระหม่อมเพียงทำในสิ่งที่ตนเองควรทำเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ริมฝีปากของเฮยเจ๋อหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้มาก่อน บนใบหน้าของเขาก็มีความพอใจปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำบนนิ้วด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แล้วสั่งเงาทมิฬเสียงเบาว่า “ปล่อยคุณชายรองไป”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าฝ่าบาทจะยอมปล่อยนายน้อยตระกูลเฮยไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าระหว่างผู้ชายคนนี้กับคุณหนูเฮ่อเหลียนจะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ถ้าพวกเขาลองตรวจสอบดู บางทีอาจจะพบอะไรเข้าก็ได้

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่คิดเช่นนั้น เจ้า ‘จิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์’ คงจงใจปล่อยเฮยเจ๋อไว้ แล้วส่งเขามาทำหน้าที่เป็นม่านควันเพื่อพยายามถ่วงเวลาเขา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่กับเฮยเจ๋อ และยิ่งกว่านั้น…

“ค้นหาต่อไป จำกัดวงเข้ามาเสีย นางยังไม่ได้ไปไหน และยังอยู่ในหอชั้นเลิศแห่งนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เฮยเจ๋อที่กำลังเดินออกไปก็ถึงกับตัวแข็ง แต่ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้กระทั่งท้องไส้ของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ทหารเองก็พลอยสั่นสะเทือนไปด้วย!

คำโกหกของเฮยเจ๋อถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง!

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ยังสามารถนำคำพูดของเฮยเจ๋อมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคาดไม่ถึง โดยวิเคราะห์ตรงกันข้ามกับคำพูดพวกนั้น และระบุตำแหน่งที่ถูกต้องของนางได้ด้วย!

ตอนนี้สถานการณ์ของนางเลวร้ายลงกว่าเดิมเสียอีก…

ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อองค์ชายสามอนุญาตให้ปล่อยเฮยเจ๋อออกไปได้ เช่นนั้นเฮยเจ๋อจึงจำเป็นต้องไป

พูดอีกอย่างก็คือ จากนี้ไป นางต้องสู้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ แล้ว

เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แล้วมองเข้าไปในแสงสลัวยามค่ำคืน ก่อนตั้งสติกับตัวเองอีกครั้ง เงาร่างของนางเหยียดตรงและสูงชะลูดราวกับต้นไม้ ทุกการเคลื่อนไหวจากร่างผอมเพรียวของนางเยือกเย็นไม่รีบร้อน ขณะเดียวกันนางก็สะบัดชายแขนเสื้อออกไปด้วยท่วงท่าราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของตน

มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะจงใจกำจัดเฮยเจ๋อออกไป และตัดการติดต่อระหว่างนางกับเฮยเจ๋อทิ้ง

หึ

ต่อให้ไม่มีเฮยเจ๋อ นางก็ยังสามารถหนีได้สำเร็จอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะยากขึ้นก็เถอะ แต่ก็คงไม่มีอะไรที่จะท้าทายความสามารถไปยิ่งกว่าการซ่อนตัวอยู่ที่นี่หรอก!

เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินก้มหน้าตามบรรดาองครักษ์กลับไปที่ฐาน

น่าเสียดายนางอยู่ห่างจากประตูทางเข้าสำนักไม่ถึงหนึ่งก้าวเลยด้วยซ้ำ

แม้จะห่างเพียงก้าวเดียว นางก็ทำได้แค่มองประตูทางเข้าสำนักปิดลงต่อหน้าต่อตา เพราะในเวลานี้ การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต่างไปจากปกติย่อมทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ดังนั้นนางจะไม่ยอมเสี่ยงถูกเปิดโปงแม้แต่นิดเดียว

องค์ชายสามผู้นี้ฉลาดเกินกว่าจะหาช่องโหว่จากกลยุทธ์ของเขาได้ นี่จึงนับว่าเป็นเรื่องยากลำบากพอตัว

ในตอนนี้นางทำได้แค่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน [1] และรอจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสมจึงค่อยคิดหาทางที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่เห็นความเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่ฉายขึ้นในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในยามที่เขาเงยหน้าขึ้น

ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันทีละน้อยราวกับไม่พอใจ แต่ก็ดูคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน

เขาอยากเห็นจริงๆ ว่าหลังจากที่เขาสั่งให้เฮยเจ๋อออกไป แล้วนางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

นางจะไปหาเจ้าหมอนั่นหรือเปล่า

หรือจะซ่อนตัวอยู่เช่นนี้ต่อไป

แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างไร

หากนางฉลาดพอก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับใครหน้าไหนทั้งนั้น

เพราะมันจะทำให้เขาไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมากด้วย!

เมื่อเงาทมิฬที่ติดตามอยู่ข้างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย เขาก็อดที่จะเหงื่อแตกพลั่กอยู่ในใจแทนใครบางคนไม่ได้

ครั้งนี้ฝ่าบาททรงกริ้วจริงๆ แล้ว

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เขาจะเป็นเช่นนี้ หากฝ่าบาทคว้าสิ่งใดเอาไว้ได้ แล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยมือ

ในอดีตนั้นฝ่าบาทไม่รู้ร้อนรู้หนาว [2] ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้ ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่เคยมีใครที่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาแปรปรวนได้ด้วย

เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนแรก นางเป็นคนแรกที่ทำให้ฝ่าบาทต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้

เงาทมิฬแทบนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากนางถูกองค์ชายจับตัวได้จริงๆ แล้วสุดท้ายนางจะตกอยู่ในสภาพใดหลังจากที่ละครฉากนี้จบลงแล้ว…

“ฮัดเช้ย!” เฮ่อเหลียนเวยเวยปิดปากแล้วจามออกมาเบาๆ จากตอนที่นางเริ่มวางแผนการนี้ เวลาในการหลบหนีของนางก็เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม [3] เท่านั้น

นางต้องรีบไป ตอนนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่คิดที่จะรามือ นางจะต้องรอจนกว่าเขาจะตายใจ เมื่อคิดได้ดังนั้นสิ่งแรกที่นางต้องทำคือการตรวจสอบหน้าตาของตน ใกล้ถึงเวลาที่ผิวปลอมของนางจะเสื่อมแล้ว

เฮ้อ นางควรจะดีใจ หรือนางควรจะก้มหน้ายอมรับโชคชะตาของนางดี

หลังจากที่เคยทำอะไรมาตั้งมากมาย แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางถูกคนอื่นต้อนจนถึงขั้นนี้ได้

แต่การแสดงฉากสำคัญมันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก

ตอนนี้เป็นเวลาที่มนุษย์เราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด เป็นเวลาอ่อนล้าที่จะทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย

นางสามารถหยิบเอาเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ได้…

ติ๋ง ติ๋ง

ทันใดนั้น ฝนเม็ดเล็กก็ตกลงมาจากฟากฟ้า

เงาทมิฬรีบกางร่มให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว พลางก้าวออกมาข้างหน้า แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมค้นหาทั่วทั้งหอชั้นเลิศแล้ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของคุณหนูเฮ่อเหลียนเลยแม้แต่นิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังไม่เจอหรือ” มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย หึ เขาประเมินความสามารถของ ‘เจ้าจิ้งจอกน้อย’ เอาไว้ต่ำเกินไปจริงๆ

ดี ดียิ่งนัก

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลง น้ำเสียงของเขาไม่เย็นชาแต่ก็ไม่ได้อบอุ่น “เปลี่ยนกองทหาร แล้วสั่งให้พวกเขาออกค้นหาต่อไป ห้ามให้ทหารที่ผลัดเวรแล้วออกไปจากสำนัก ให้พวกเขาไปพักผ่อนอยู่ที่ฐาน”

คนที่เหน็ดเหนื่อยมักจะทำให้มีช่องโหว่ได้ง่าย

เขาไม่มีทางยอมให้แผนการของตัวเองมีช่องโหว่แน่

เดิมทีเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเมื่อนางถูกเปลี่ยนตัวออก นางจะได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่า

องค์ชายสามจะไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ยังเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ [4] อีกด้วย แม้จะทำตัวใจดี แต่ในเวลาเดียวกันก็โหดร้ายยิ่งนัก อีกทั้งยังโหดเหี้ยมเสียจนทำให้นางแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป…

………………………………………………………………………………………..

[1] ตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน หมายถึง หูตาว่องไว มีความฉลาดคล่องแคล่วง สามารถสังเกตและวิเคราะห์สถานการณ์ได้รอบด้าน

[2] ไม่รู้ร้อนรู้ไม่หนาว หมายความว่า ไม่แยแสต่อสิ่งใด

[3] ประมาณ 1 ชั่วโมง

[4] หน้าเนื้อใจเสือ หมายถึง หน้าตาดูใจดีมีเมตตาแต่ใจคอดุร้ายโหดเหี้ยม