บทที่ 111 เกี่ยวกับเจ้า

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 111 เกี่ยวกับเจ้า
หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป อดไม่ได้ที่จะเปิดปากเอ่ยออกมา “คุณหนูเจียง ในเมื่อเจ้าชื่นชอบท่านอ๋องมากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นสู้เจ้าสาบานว่าจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตเลยยังดีเสียกว่า ข้าดูแล้ว วัดก่านเย่แห่งนี้ก็ไม่เลวเลย เช่นนั้นนับแต่นี้คุณหนูเจียงก็โกนผมบวชชีเสียที่นี่เลย เพื่อจะได้สวดมนต์อวยพรให้กับท่านอ๋อง?”

เจียงหยูหวันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนี้โดยไม่ได้คาดคิด จากนั้นก็หมุนตัวกลับมา เมื่อมองดูเห็นว่ามีคนอยู่ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว ก้มหน้าพร้อมกับคิดว่าจะเดินจากไป

จะเป็นไปได้อย่างไรเฟิ่งชิงหัวจะปล่อยนางไปอย่างง่ายดายเช่นนี้?

ทุกคนต่างก็มีหน้าที่จัดการกับมือที่สามที่ตีหน้าซื่อบริสุทธิ์

เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นขวางเจียงหยูหวันเอวไว้ด้านหน้า พูดพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อครู่คุณหนูเจียงสารภาพที่จริงใจเช่นนั้น ข้าที่ได้ฟังยังอดไม่ได้อยากจะมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจเช่นนี้สักคน เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อในใจของคุณหนูเจียงรักและเทิดทูนท่านอ๋องถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ให้ท่านอ๋องสู่ขอเจ้าเป็นชายารองเสียเล่า? ถึงอย่างไร ตราบใดที่เป็นรักแท้ ฐานันดรศักดิ์ใดใดสำหรับคุณหนูเจียงก็คงจะไม่สำคัญมิใช่หรือ?”

เจียงหยูหวันสีหน้าซีดเซียว ขมวดคิ้วพูด “หลบไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยเสียงหัวเราะ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร คุณหนูเจียงตอนนี้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว หากเจ้าไม่ตอบคำถามของข้า ข้ามีเหตุผลมากมายที่จะสงสัยว่าเจ้าเป็นฆาตกรฆ่าคน”

“เหลวไหล! ข้าไม่แม้แต่จะรู้จักนางด้วยซ้ำ!”

“คุณหนูเจียง ปิดบังเรื่องราวที่แท้จริงเช่นนี้ดูจะไม่ดีสักเท่าใดเลยหนา เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามีคนเคยเห็นเจ้าพูดคุยกับแม่นางรัวสุ่ย บางคนยังเคยเห็นท่าน เดินเล่นชมดอกไม้กับองค์ราชทายาท ความสัมพันธ์ค่อนข้างดีทีเดียว อีกทั้งข้ายังได้ยินมาอีกว่า ครั้งนี้เหตุที่เจ้ากลับมาที่วัดก่านเย่ ความจริงแล้วคือจวนซื่อหลางมีความคิดจะให้เจ้าแต่งงานกับองค์ราชทายาทมิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงหัวหัวเราะพลางพูดความจริงออกมา ทำสีหน้าของเจียงหยูหวันยิ่งอึดอัดใจ

ถึงอย่างไร เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วยังถูกจับได้ว่าสารภาพความในใจกับจ้านเป่ยเซียว ต่อมาก็ถูกคนตราหน้าว่านางจงใจเข้าหาองค์ราชทายาท เป็นแม่หญิงที่ค่อนข้างมีหน้ามีตาเสียหน่อยต่างย่อมรู้สึกอับอายเป็นธรรมดา

เจียงหยูหวันยืดอกตรง กล่าวกับเฟิ่งชิงหัวด้วยท่าทีใจกว้าง “ผู้ชันสูตรเฟิ่ง งานของเจ้าคือการสืบสวน เรื่องอื่น ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้ามิใช่หรือ ข้ากับแม่นางรัวสุ่ย ต่อให้เคยได้สนทากันแล้วอย่างไร นางก็เพียงแค่ถามทางกับข้าก็เท่านั้น หรือว่าเจ้าเห็นสิ่งที่ฉันทำกับนางด้วยตาของเจ้าเอง? เจ้าอย่าได้โยนความผิดมั่ว ๆ ให้ข้าเพียงเพราะเจ้ายังหาตัวฆาตกรไม่พบ”

“โยนความผิดหรือไม่นั้น ข้าไม่กล้าพูด ข้าแค่เพียงรู้สึกแปลกใจ เมื่อมีข้อสงสัย จึงได้ถาม มิได้หรือ?”

เจียงหยูหวันรู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางน่ารำคาญมาก จ้องเขม็งไปที่เขาแล้วก็หันหลังจากไปทันที

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังหลิวหยิ่ง ยักไหล่พลางพูด “ข้ามาผิดเวลาหรือเปล่า?”

หลิวหยิ่งจะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไร ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวแต่อย่างใด

ในตอนนี้เอง ประตูถูกคนดันเปิดออกมาจากด้านใน ร่างของจ้านเป่ยเซียวปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนทั้งสอง ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองมายังเฟิ่งชิงหัว “ยืนโง่อยู่ด้านนอกด้วยเหตุใด ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก”

เฟิ่งชิงหัวกลับยืนกอดอกพูด “ท่านอ๋อง ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่เอง เหตุใดจึงให้คุณหนูเจียงผู้บอบบางยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้? ไม่เย็นชาเกินไปหน่อยหรือ?”

“เกี่ยวอันใดกับเจ้า?”

“ข้าเพียงรู้สึกว่า ท่านอ๋องใจร้ายเกินไป ท่านไม่พอใจคุณหนูเจียงอย่างมากก็แค่พูดออกมาตรง ๆ เหตุใดจึงจำเป็นต้องลงโทษนางเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าเองยังเจ็บหัวใจแทนนางเสียด้วยซ้ำ” เฟิ่งชิงหัวตบ ๆ ที่อกของตนพลางเอ่ยตอบ

จ้านเป่ยเซียวหมุนตัวและเข็นรถเข็นเข้าไปด้านใน ทิ้งไว้เพียงประโยคเย็นชาว่า ‘ไสหัวเข้ามา’

เฟิ่งชิงหัวบ่นอุบ “อ้าปากหุบปากก็ไสหัว มีความสามารถก็แสดงออกมาให้ข้าเห็นสิ”