บทที่ 91 ยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

บทที่ 91 ยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ

เจียงเย่เฉิงก็พอจะเดาได้ว่าเจียงหยุนเอ๋อน่าจะปฏิเสธตัวเอง เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้ลังเลสักเท่าไหร่ แล้วก็ยังคงพูดต่อไป “หยุนเอ๋อ พ่อรู้ว่าลูกเองก็ไม่ได้อยากจะเจอพ่อ แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับแม่ของลูก……พ่อแค่อยากจะคุยกับลูกดีๆ”

ฟังจนถึงตรงนี้ ก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันเบาๆ เธอก็ไม่ได้อยากจะไปเจอเจียงเย่เฉิงจริงๆ แต่ว่าถ้าเกิดเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูม่านลี เธอเองก็จำเป็นต้องไป

“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ หวังว่าคุณจะพูดเรื่องจริง” เจียงหยุนเอ๋อพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พอนัดแนะสถานที่กับเจียงเย่เฉิงเรียบร้อยแล้วก็วางสายไป

เจียงหยุนเอ๋อเรียกคนขับรถมา ขอให้เขาไปส่งสถานที่ที่นัดหมายไว้กับเจียงเย่เฉิง

พอถึงที่นัด เจียงหยุนเอ๋อก็เห็นเจียงเย่เฉิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างในทันที ทั้งๆที่ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะเจอหน้ากันไป แต่ว่าวันนี้เจียงเย่เฉิงกลับดูเปลี่ยนไปมาก

เห็นเจียงเย่เฉิงในสภาพแบบนี้ ต่อให้เจียงหยุนเอ๋อใจร้ายแค่ไหนแต่เขาก็ยังเป็นพ่อของเธอ ในใจก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

เธอรู้ได้ทันทีว่าเจียงเย่เฉิงคงจะเจอเข้ากับปัญหาใหญ่…..

เจียงหยุนเอ๋อนั่งลงตรงหน้าของเจียงเย่เฉิง มองเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง เธอขยับปากไปมาแต่สุดท้ายคำว่า “พ่อ” ก็ไม่ได้หลุดออกมาจากปาก

ต่อให้สภาพตอนนี้ของเจียงเย่เฉิงมันจะดูแย่มาก แต่ก็ไม่สามารถแทนที่เรื่องที่เขาเคยทำร้ายเธอก่อนหน้านั้นได้ และเธอก็คงจะให้อภัยเรื่องทั้งหมดที่เขาเคยก่อ เพราะว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในที่นังลำบากไม่ได้

“คุณมีเรื่องอะไรคะ?” เจียงหยุนเอ๋อถามขึ้น

เมื่อกี้เจียงเย่เฉิงราวกับคนเหม่อลอย พอได้ยินเสียงของเจียงหยุนเอ๋อเขาก็สะดุ้ง มองเธอด้วยความตกใจแล้วค่อยพูดขึ้น “หยุนเอ๋อ มาแล้วเหรอ”

เจียงหยุนเอ๋อวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ข้างๆ มองเจียงเย่เฉิงแล้วถามขึ้น “ว่ามาเถอะค่ะ คุณเรียกฉันมาตกลงว่าอยากจะคุยเรื่องอะไร? แม่ฉันเป็นอะไร?”

มองท่าทางระแวดระวังของเจียงหยุนเอ๋อ เจียงเย่เฉิงก็พยายามฝืนยิ้มออกมา เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เขาถูมือไปมาท่าทางดูเป็นกังวล แล้วพูดขึ้น “หยุนเอ๋อ รอตรงนี้สักแป๊บหนึ่งนะ”

พูดจบ เจียงเย่เฉิงก็เรียกพนักงานมาหา หันมาถามว่าเจียงหยุนเอ๋อว่าอยากจะดื่มอะไรไหม

“ขอบลูเมาท์เท่นคอฟฟี่แก้วนึงก็พอค่ะ” เจียงหยุนเอ๋อพูดกับพนักงาน

ตอนที่พนักงานเดินออกไปแล้ว สายตาของเจียงหยุนเอ๋อกลับมามองอยู่ที่เจียงเย่เฉิงอีกครั้ง เจียงเย่เฉิงมักจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนกับว่าเขากำลังรอใครอยู่

ไม่รู้เหมือนกัน….ว่าตกลงแล้วมีเรื่องอะไร? เจียงหยุนเอ๋อก้มหัวลงเล็กน้อยแอบนั่งเดาอยู่ในใจ

ไม่นาน รถเบนท์ลีย์คันหนึ่งก็ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าร้าน เพราะเจียงหยุนเอ๋อกับเจียงเย่เฉิงนั่งอยู่ตรงบริเวณหน้าต่างของร้านอยู่แล้ว ดังนั้นแค่แวบเดียวก็สามารถมองเห็นรถเบนท์ลีย์คันงามได้

ในตอนที่เห็นรถเบนท์ลีย์ แววตาของเจียงเย่เฉิงก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที เจียงหยุนเอ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังไม่รู้ว่าเจียงเย่เฉิงคิดจะทำอะไร

ประตูรถถูกเปิดออก ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ บนใบหน้าคมคายมีดวงตาคมดุ ผู้หญิงรอบๆเริ่มจับจ้องไปที่เขา

หลังจากที่ชายคนนั้นเดินเข้ามา เจียงเย่เฉิงก็รีบยืนขึ้นแล้วเดินไปทักทายเขา จากนั้นชายคนนั้นก็เดินตามเจียงเย่เฉิงมาทางนี้

คนในร้านกาแฟจำนวนมากกำลังส่งสายตาอิจฉามาทางเจียงหยุนเอ๋อ ในตอนที่เจียงหยุนเอ๋อกำลังประเมินผู้ชายคนนี้ด้วยสายตา ชายคนนั้นก็ทำสิ่งเดียวกันกับเธอ

ในตอนที่สบตาเข้ากับผู้ชายคนนั้น คิ้วของเจียงหยุนเอ๋อก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะว่าสายตาเขากำลังบ่งบอกถึงความไร้สาระขนาดไหน แต่เป็นสายตาที่เขาใช้มองเธอในตอนนี้ ราวกับว่าเขากำลังมองสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“นี่หมายความว่ายังไง?” เจียงหยุนเอ๋อมองไปทางเจียงเย่เฉิงด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามขึ้น

เจียงเย่เฉิงหัวเราะเสียงแห้ง เห็นถึงความผิดปกติในสีหน้าและแววตา เขาหลบตาไปมา ไม่ยอมจ้องเข้ามาในดวงตาของเจียงหยุนเอ๋อ “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะแนะนำเพื่อนให้ลูกรู้จัก”

พูดจบก็หันไปยิ้มประจบกับผู้ชายข้างๆ “คุณชายเซียว คนนี้คือลูกสาวของผม เจียงหยุนเอ๋อ”

ในตอนที่เขาหันหน้ามามองเจียงหยุนเอ๋อ รอยยิ้มของเขาก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติขึ้นมา “หยุนเอ๋อ คนนี้คือเจ้าของของบริษัทเซียวซื่อ เซียวอี้เฟิงเร็ว หยุนเอ๋อ ทักทายคุณชายเซียวหน่อย”

เจียงเย่เฉิงพยายามส่งซิกผ่านสายตาให้กับเจียงหยุนเอ๋อ แต่เจียงหยุนเอ๋อกลับทำเหมือนว่ามองไม่เห็นเสียอย่างนั้น เธอเหลือบมองเจียงเย่เฉิงด้วยสายตาเย็นชา “ขอโทษด้วยค่ะ ถ้าเกิดว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้วฉันก็ขอตัวก่อน”

ที่เจียงหยุนเอ๋อยอมออกมาก็เป็นเพราะเจียงเย่เฉิงบอกว่าจะคุยกับเธอเรื่องของแม่ แต่ว่าภาพตรงหน้า เจียงหยุนเอ๋อก็พอจะจับได้ว่ากำลังมีเรื่องไม่ชอบมาพากล แค่อยากจะรีบๆไปให้พ้นจากตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าเจียงเย่เฉิงจะก่อนเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

เจียงหยุนเอ๋อยืนขึ้น เจียงเย่เฉิงกลับลืมยื่นมือมาดึงตัวเธอไว้ทันที “หยุนเอ๋อ!”

เซียวอี้เฟิงหันมามองเจียงหยุนเอ๋ออีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็พูดขึ้น “ก็ไม่เลวนะ เรื่องนี้ผมขอกลับไปบอกกับที่บ้านก่อน ถ้าเกิดไม่มีเสียงคัดค้าน ก็จัดการตามนี้แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่นๆก็คงต้องขอให้คุณไปจัดการให้เรียบร้อย คุณสบายใจได้ พวกเราไม่มีทางเอาเปรียบคุณ”

พูดจบเซียวอี้เฟิงมองเจียงหยุนเอ๋อด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วก็หมุนตัวเดินออกไป

สิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้ทำให้คนฟังอย่างเจียงหยุนเอ๋อไปต่อไม่ถูก รอจนเซียวอี้เฟิงเดินจากไปแล้ว เธอก็รีบหันมามองเจียงเย่เฉิงในทันที ถามขึ้น “ตกลงเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่? สิ่งๆที่คนคน นั้นพูดหมายความว่ายังไง?”

เจียงเย่เฉิงดูเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา อ้ำๆอึ้งๆอยู่นานสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายเจียงหยุนเอ๋อทนไม่ไหว เลยถามขึ้นอีกครั้ง “ให้ดีที่สุดคือคุณบอกกับฉันมาให้ชัดเจน เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

“เอ่อ…..หยุนเอ๋อ เป็นอย่างนี้….. เมื่อกี้คนคน นั้นคือบอสใหญ่ของตระกูลเซียว ลูกเองก็รู้ ตระกูลเซียวเป็นตระกูลใหญ่และมีอำนาจ ครอบครัวของเขามีคุณลุงคนหนึ่ง ตอนแรกเขาก็เป็นคนที่ดีพร้อมคนหนึ่ง แต่ว่าเขาเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขาทั้งสองข้างก็เลยถูกตัดทิ้ง….”

ในขณะที่เจียงเย่เฉิงพูดขึ้นอ้อมๆแอ้มๆ เจียงหยุนเอ๋อก็มีสีหน้าแย่ขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่เข้าใจจริงๆ เจียงเย่เฉิงพูดออกมาเยอะขนาดนี้ทำไมถึงยังไม่พูดสิ่งที่สำคัญที่สุดสักที

“เพราะว่าโดนตัดขาทั้งสองข้างลุงคนนั้นก็เลยไม่เคยแต่งงานมีภรรยาเสียที ครั้งนี้ก็เลยคิดว่าจะให้ลูกแต่งงานกับเขา หยุนเอ๋อ ไม่ต้องกังวลนะ ถึงเขาจะเป็นคนพิการ แต่ว่าครอบครัวของเขาจะดูแลลูกเป็นอย่างดี” เจียงเย่เฉิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธของเจียงหยุนเอ๋อ เขาก็รีบพูดขึ้นอีกประโยค “ยังไงเสีย ลูกก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เลี้ยงลูกตัวคนเดียวก็ไม่ได้ง่าย พ่อทำแบบนี้ก็เพื่อลูกนะ…..”

เจียงหยุนเอ๋อแทบจะหัวเราะออกมา เจียงเย่เฉิงพูดเสียดิบดี ไม่ใช่ว่าต้องการที่จะขายลูกสาวของตัวเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์นิดหน่อยหรือยังไง?