บทที่ 63 เสียนเฟยออกจากวัง

อาหารค่ำแม่นมฉีเป็นคนเตรียม หยวนชิงหลิงทานไม่ลง ดื่มน้ำซุปไปคำหนึ่งก็ไห้นางยกออกไป

แม่นมฉีรู้สึกว่านางอารมณ์ไม่ดี ก็ไม่กล้าถามเรื่องอื่นอีก สั่งการให้ลู่หยาเข้ามายกอาหารออกไปด้วยกัน

ตอนที่แม่นมฉีจะเดินออกไปนั้น หยวนชิงหลิงก็ถามขึ้น “แม่นม หกเกอเอ๋อดีขึ้นหรือยัง?”

แม่นมฉีได้ยินนางพูดแล้ว ก็รีบหันหลังกลับมากล่าว “ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง เขาไม่เป็นไรแล้ว”

“พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเขา” หยวนชิงหลิงกล่าว

“เจ้าค่ะ ขอบพระทัยเพคะ!” แม่นมฉีคิดไม่ถึงว่าในขณะที่อารมณ์นางยังไม่ปกติดีก็ยังเป็นห่วงหกเกอเอ๋อ ก็ปลาบปลื้มใจทันที

หยวนชิงหลิงอ่านหนังสือไปสักพัก เตรียมตัวจะนอน หวังว่าจะสามารถฝันดีสักคืนหนึ่ง

แม่นมสี่กลับเดินเข้ามา หลังจากเข้ามาแล้ว ก็ล็อกประตู

หยวนชิงหลิงก็มองนาง “มีธุระรึ?”

แม่นมสี่จับมือตัวเอง กล่าวอย่างเรียบเฉย “พระชายาพูดมาตรงๆดีกว่า ว่าจะลงโทษข้าน้อยอย่างไร?”

หยวนชิงหลิงยิ้ม “ไม่ลงโทษอย่างไรหรอก”

น้ำเสียงของแม่นมสี่เศร้าๆ “งั้นข้าน้อยเข้าใจแล้ว ความหมายของพระชายาคือให้ข้าน้อยฆ่าตัวตายเอง คิดว่านี่ก็คงเป็นความประสงค์ของฮ่องเต้ด้วย”

หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ความประสงค์ของฮ่องเต้คืออะไร ข้าไม่รู้ ไม่กล้าคาดเดาด้วย แต่ว่าไท่ซ่างหวงได้บอกกับข้า ให้ข้าดีกับเจ้า”

แม่นมสี่มองนางด้วยความตกใจ กล่าวอย่างปากสั่น “ไท่ซ่างหวงพูดเช่นนี้จริงๆเหรอ?”

“ข้าไม่จำเป็นต้องโกหกเจ้า สำหรับเจ้าที่จะฆ่าตัวตายเพื่อลบความแค้น เจ้าควรที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ไท่ซ่างหวงมีต่อเจ้า เจ้าลองคิดดูเอาเอง ข้าไม่สามารถที่จะตัดสินใจแทนเจ้าได้ เชิญกลับไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน” หยวนชิงหลิงออกคำสั่งโดยตรง

แม่นมสี่หันหลังกลับไปอย่างคิดหนัก ออกไปนานแล้ว หยวนชิงหลิงยังได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง

ความรู้สึกนางที่ให้กับหยวนชิงหลิง คือนางมีเรื่องที่ต้องจำยอมมากมาย ความทุกข์ที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ หยวนชิงหลิงไม่ได้ตั้งใจที่จะวิจารณ์การกระทำของนาง และก็ไม่มีสิทธิ์นี้ด้วย เพียงแต่ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อในสิ่งที่ตัวเองทำ

สำหรับฉู่หมิงชุ่ย ฮ่องเต้จะลงโทษนางหรือไม่ หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแล้ว เบื้องหลังของฉู่หมิงชุ่ยคือตระกูลฉู่ ฮองเฮาเป็นลูกสาวของตระกูลฉู่ สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่ายังไงฮ่องเต้ก็ต้องปล่อยผ่าน มากสุดก็แค่ว่ากล่าวตักเตือนสองสามคำ

ทั้งคืนที่ไร้ความฝัน

หลังจากตื่นนอน หยวนชิงหลิงยังคงจิตตก นี่เป็นคืนที่นอนหลับสนิทที่สุดหลังจากที่ข้ามภพมา แต่ว่านางนั้นไม่ดีใจเอาเสียเลย

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็ไปเยี่ยมหกเกอเอ๋อ

บาดแผลของหกเกอเอ๋อโดยรวมหายดีแล้ว แต่ยังเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้

หกเกอเอ๋อทั้งเคารพและกลัวนาง ไม่กล้าพูดจา เพียงแต่แอบมองนางด้วยสายตาที่นับถือเป็นบางครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้ว!” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปลูบหัวของเขา ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องทำงานหนักแล้ว อายุอย่างเจ้า ควรจะเรียนหนังสือ

“เรียนหนังสือ?” หกเกอเอ๋อเบิกตากว้าง

“ใช่ ข้าจะหาโรงเรียนให้เจ้า” นางพูดเช่นนี้ จึงรู้ว่าที่นี่ไม่น่าจะมีโรงเรียน คนที่ร่ำรวยจะเปิดโรงเรียนของตัวเองเชิญอาจารย์มาสอน ลูกหลานในตระกูลเดียวกันก็จะเรียนด้วยกัน ข้ารับใช้นั้นไม่มีโอกาสที่จะเรียนหนังสือเลย

แต่ได้พูดมันออกไปแล้ว นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

แม่นมฉีรีบพูดแก้ “พระชายามีน้ำใจแล้ว เขาเป็นข้ารับใช้ในบ้าน ต้องทำงาน”

“ท่านย่า ข้าอยากรู้หนังสือ” หกเกอเอ๋อพูดเบาๆ

“ห้ามพูดไปเรื่อย!” แม่นมฉีถลึงตาใส่เขา

หกเกอเอ๋อหดคอลงทันที ไม่กล้าพูดอีก

ความปรารถนาในสายตาค่อยๆหายไป เขารู้ว่านี่คือความฝันที่เกินไป

หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่สบายใจ นี่ไม่ใช่สังคมที่เสมอภาค ความสามารถของนางก็มีขีดจำกัด

มีข้ารับใช้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญ เห็นหยวนชิงหลิงอยู่ตรงนี้ ข้ารับใช้ก็ตกใจ พระชายาทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้?

“มีเรื่องอันใด?” แม่นมฉีถาม

ข้ารับใช้จึงได้สติ คำนับหยวนชิงหลิงแล้วกล่าว “ใต้เท้าทังให้ท่านเตรียมของว่าง ในวังส่งข่าวมา ท่านหญิงเสียนเฟยจะมาที่จวน”

“ท่านหญิงเสียนเฟยจะมาที่นี่?” แม่นมฉีจู่ๆก็กระปรี้กระเปร่า “ได้ เจ้าไปบอกใต้เท้าทัง ว่าข้าจะจัดการอย่างดี”

แม่นมฉีเป็นบ่าวติดตัวรับใช้เสียนเฟยที่ติดตามนางไปตอนแต่งงาน ตอนที่หยู่เหวินเห้าแยกออกมาอยู่จวนนั้น เสียนเฟยจึงประทานนางให้กับหยู่เหวินเห้า

ได้ยินว่านายเก่าจะมา แม่นมฉีก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา

หยวนชิงหลิงกลับรู้ว่าหัวใจถูกปกคลุมด้วยความมืด

เสียนเฟย ในวังคนที่ไม่ชอบนางที่สุดก็คือเสียนเฟย ครั้งนี้ที่ออกจากวัง บางทีเพราะอาการบาดเจ็บของหยู่เหวินเห้าถูกแพร่ไปถึงวังหลังแล้วมั้ง?

ความจริงมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่เสียนเฟยจะสอบถามเรื่องนี้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้มัวแต่แกล้งป่วย พักรักษาตัวรักษาใจก็เท่านั้น

นางกลับไปยังหอเฟิ่งหยี เสียนเฟยมาที่นี่ นางที่เป็นลูกสะใภ้ก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นธรรมดา เพื่อเตรียมต้อนรับ

แผลที่หน้าผาก แม่นมสี่ใช้แป้งหนาทาทับ แต่ก็ยังคงเห็นรอยแผลเล็กน้อย มันเหมือนกับเครื่องหมาย ชัดเจนมาก

หยวนชิงหลิงหน้าตาไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่สาวงามที่เลอโฉม เมื่อเทียบกับฉู่หมิงชุ่ยยังห่างกันนัก เพียงแต่ นางมีดวงตาที่โดดเด่นชัดเจน ดูไม่ถ่อมตัวและเอาแต่ใจ มีสง่าราศีที่พิเศษ

สายตาที่แม่นมสี่จ้องมองกับสายตานางบนกระจก ในใจมีความรู้สึกผิดอย่างพูดไม่ออก

แววตาของหยวนชิงหลิงนั้นเงียบสงบมาก

ขณะที่เสียนเฟยมาถึงจวนนั้น เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว

แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงในตอนกลางวันนั้นแรงมาก แม้จะมีลมเย็น แต่ตอนที่หยวนชิงหลิงจะยืนอยู่ตรงหน้าประตูจวน ยังคงรู้สึกว่าถูกแสงแดดสาดจนมึนๆ

เกี้ยวหงส์ของเสียนเฟยมาเทียบที่หน้าประตูจวน ม่านไหมสีเหลืองอ่อนถูกยกขึ้นโดยนางในวัง เผยให้เห็นไข่มุกสีทองระยิบระยับ และหลังจากนั้น ก็เป็นใบหน้าที่งดงามของเสียนเฟย

หยวนชิงหลิงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า พาทังหยางกับสวีอีและคนอื่นไปคำนับต้อนรับ

เสียนเฟยลงจากรถม้า นางสวมชุดผ้าแพรพิมพ์ลายดอกที่พระสนมหรือองค์หญิ่งสวมใส่ในวัง เกล้าผมขึ้นด้านบนทั้งหมด ปักผมด้วยปิ่นหงส์ทองไว้หนึ่งอัน จี้เครื่องประดับที่ห้อยอยู่ตรงหน้าผากเป็นทับทิมทรงกลมหนึ่งเม็ด ทำให้ดูสูงส่งและมีสง่าราศี นางมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง “ไม่ต้องมากพิธี”

หยวนชิงหลิงย่อตัวลงแล้วกล่าว “เชิญท่านแม่!”

เสียนเฟยพาแม่นมและนางกำนัลเข้าไปในจวน แม่นมสี่ยืนที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเสียนเฟยเห็นนาง แววตาก็มีเผยให้เห็นถึงความแปลกใจ แต่ไม่นานก็กลับสู่ปกติ

เสียนเฟยถูกเชิญเข้าไปในห้องของหยู่เหวินเห้า เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้าที่บาดเจ็บสาหัส ทันใดนั้นก็หันหน้าไปมองหยวนชิงหลิง ก็โกรธ”ขึ้นมาทันที เมื่อวานอยู่ที่ห้องหนังสือ ทำไมเจ้าจึงไม่เอ่ยถึงเลย?”

หยวนชิงหลิงกล่าว “เสด็จพ่อไม่ทรงให้พูด”

“ตอนนั้นไม่พูด แล้วเจ้าทำไมไม่รู้จักให้คนมารายงานละ?” เสียนเฟยกล่าวอย่างเย็นชา

“จากนั้น ไท่ซ่างหวงก็รับสั่งให้พวกหม่อมฉันออกจากวัง” หยวนหลิงชิงตอบกลับโดยสีหน้าปกติ ไม่ได้ถูกความโกรธของเสียนเฟยทำให้กลัว

“ท่านแม่ หยู่เหวินเห้าตะโกนเรียก ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น เอาละ ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อีกอย่าง ที่เสด็จพ่อไม่อยากให้ท่านทราบเรื่องนี้ ก็เพราะเป็นห่วงสุขภาพของท่าน นางจะกล้าขัดพระบัญชาของเสด็จพ่อเหรอ?”

เสียนเฟยเลิกคิ้ว ลูกห้าเป็นอะไรไป? ทำไมถึงพูดแทนหยวนชิงหลิง?

“ปิดบังแม่ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ลูกจะให้แม่ทำอย่างไร?” เสียนเฟยยังคงไม่หายโกรธ มองดูแผลตรงหน้า สงสารอย่างจับใจ นั่งอยู่ข้างเตียงหยิบผ้าแพรออกมาเช็ดที่แผลเบาๆ พูดอย่างสงสาร “เจ็บหรือไม่?”

“ไม่เจ็บแล้ว” หยู่เหวินเห้ากล่าว

“โกหก แผลใหญ่ขนาดนี้ จะไม่เจ็บได้อย่างไร? เสียนเฟยตาแดง ใครเป็นคนลงมือกันแน่?”

“เสด็จพ่อจะตรวจสอบเอง” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเรียบเฉย

ในใจเข้านั้นเข้าใจดี ตรวจไม่เจออย่างแน่นอน นักฆ่าได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว จะหาคนที่บงการนั้น ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์