ตอนที่ 191 ย้อนกลับ ตอนที่ 192 ที่เอ่ยถึงคือตำราสวรรค์กระมัง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 191 ย้อนกลับ / ตอนที่ 192 ที่เอ่ยถึงคือตำราสวรรค์กระมัง

ตอนที่ 191 ย้อนกลับ

เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าฮูหยินเจาต้องการทำลายคำสาปจึงไม่เอ่ยอะไรมาก หยิบภาพวาดยันต์ออกมา เผายันต์สีเหลืองเพื่อทูลเทพเจ้า จากนั้นตัวเองก็ไปนั่งขัดสมาธิที่หน้าแท่นบูชา มือทั้งสองข้างนิ้วชี้แตะนิ้วโป้ง หงายฝ่ามือขึ้นแล้วหลับตาลง

นางท่องคาถาในใจ นิ้วร่ายมนต์อย่างคล่องแคล่ว ซ้ำไปซ้ำมาและรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน พลังวิญญาณค่ายกลดาวเหนือเทียนกังก็เคลื่อนไหวโดยไร้แรงลม มาประทับที่ร่างกายของนาง

ฮูหยินเจากับเจาชิงม่านที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ในใจแอบตกใจ ประตูและหน้าต่างถูกปิด แต่พลังวิญญาณที่มองไม่เห็นดูเหมือนจะปรากฏขึ้นมาในอากาศ ลึกลับเป็นอย่างมาก

ทั้งสองคนมองไปยังฉินหลิวซีที่นังขัดสมาธิอยู่หน้าแท่นบูชา ในใจรู้สึกยำเกรง

นักพรตน้อยผู้นี้ยังเด็กมาก แต่วิชาเต๋าของเขากลับแก่กล้า

ทางด้านนอก ดวงตาของอวี้ฉังคงลุ่มลึก เหมือนมีแสงสีทองวาบผ่านดวงตาไป เขามองดูพลังงานสีม่วงทองหมุนวนมุ่งไปทางเรือนตรงหน้าด้วยตาของตัวเอง

ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรงไปที่ระเบียบทางเดินของเรือนหลัง นั่งขัดสมาธิ แล้ววางมือทั้งสองข้างวางราบไปกับเข่าแล้วหงายขึ้นเหมือนที่เขาเห็นชิงหย่วนทำ จากนั้นก็หลับตาลงอย่างผ่อนคลาย

มู่ซีอุทานด้วยความสงสัย เขาไม่ได้เห็นพลังใดๆ เหมือนกับอวี้ฉังคง แต่เมื่อครู่รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นและสบายเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นว่าจู่ๆ อวี้ฉังคงก็นั่งลง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยเหตุผลที่ยอมแพ้ไม่ได้ จึงเดินตามไปนั่งลงด้วย

ภายในเรือน ฉินหลิวซีดึงพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของตน เชื่อมต่อกับทวารทั้งเจ็ด อ้าปากท่องมนต์คาถาแห่งแสงสีทองอันศักดิ์สิทธิ์

“มหาเทพเสวียนจงแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ มีรากอันทรงพลัง ฝึกฝนมานานหลายหมื่นกัลป์ ได้พิสูจน์พลังเหนือธรรมชาติ ทั้งในและนอกของสามโลก เป็นเทพเจ้าเพียงหนึ่งเดียวของเต๋า…ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์แห่งเต๋า สังหารปีศาจปกป้องเต๋า ปราบปรามวิญญาณร้าย น้อมรับคำสั่ง! ”

มือทั้งสองของนางร่ายมนต์แล้วตีไปที่ตะเกียงน้ำมันทั้งหมดยกเว้นตะเกียงชะตาชีวิต ตะเกียงน้ำมันที่เหลือดับไปทีละดวง

ในขณะเดียวกันค่ายกลหมู่ดาวเจ็ดดวงถูกกางออกในห้องจิ้งซื่อแห่งหนึ่งของเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งเช่นกัน นักพรตสายดำผู้ชั่วร้ายใบหน้ายาวและดวงตาเล็กกำลังนั่งอยู่กลางค่ายกล ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น สีหน้าตกตะลึง มองไปยังตะเกียงเจ็ดดาวที่ตัวเองจุดขึ้น

แย่แล้ว มีคนกำลังทำลายมนต์ของเขา

นักพรตสายดำรีบร่ายมนต์เพื่อปกป้องตะเกียงและจุดตะเกียงที่ดับลงขึ้นใหม่ ยิ้มหยัน

ฉินหลิวซีลืมตาขึ้นด้วยความโกรธเล็กน้อย “บังอาจ! ”

นางจุดยันต์มหาเทพแห่งสวรรค์ มือทั้งสองข้างร่ายเวทมนต์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ดับไฟตะเกียงน้ำมันอีกครั้ง ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับ นางก็ท่องคาถาทั้งเจ็ด จุดตะเกียงที่ดับให้สว่างขึ้นมาใหม่ และตะเกียงนั้นก็คือตะเกียงต่ออายุเจาชิงม่าน

สิ่งที่เรียกว่ายืมชะตาชีวิตเป็นเพียงการยืมโชคชะตาของอีกฝ่ายไปทดแทน และได้พรากโชคกับพลังงานชีวิตไปด้วย ขอเพียงแค่พิธีการสำเร็จก็จะสามารถยืมชะตาชีวิตของนางได้อย่างสมบูรณ์

สิ่งที่ฉินหลิวซีทำคือการนำสิ่งที่อีกฝ่ายเอาไปกลับคืนมา

ตะเกียงชะตาชีวิตเจ็ดดาวเทียบเท่ากับจุดฝังเข็มที่สำคัญที่สุดบนร่างกายของคน หากจุดขึ้นมาทีละดวงต่อเนื่องกัน เมื่อพิธีการสำเร็จ พลังชีวิตและโชคก็จะกลับคืนมา

ฉินหลิวซีเด็ดขาด ไม่เหลือทางรอดให้แก่อีกฝ่าย รวบรวมนำสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา ทั้งยังร่ายคาถาเจ็ดเต๋าบนตะเกียงชะตาชีวิต ร่ายคาถาสังหารปีศาจใส่อีกฝ่าย ตะเกียงทั้งเจ็ดดวงสว่างไสว

เจาชิงม่านรู้สึกราวกับว่าพลังในร่างกายเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายเต็มไปด้วยความอบอุ่น ขจัดความเหนื่อยล้าที่มีก่อนหน้านี้ออกไปจนหมดสิ้น

นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เมื่อนักพรตสายดำเห็นว่าตะเกียงต่อชะตาชีวิตที่สำคัญที่สุดดับลง ซ้ำยังระเบิดอีกด้วย หน้าอกของเขารู้สึกปวดร้าวเหมือนถูกแทงด้วยของแหลมคม

เขาร้องด้วยความเจ็บปวด มือกุมหน้าอกพร้อมกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

ใคร ใครมาทำลายคาถาของเขา!

อีกด้านหนึ่ง ในเรือนของจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งที่มีโหนกแก้มสูงมองดูบุตรสาวของนางที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความรัก เอ่ยว่า “ฉิงเอ๋อร์ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตอ่อนแอในอดีตของเจ้าได้แล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าสดใส มีคู่ครองที่ดีมากมายให้เจ้าได้เลือก แม้แต่พระชายาก็สามารถเป็นได้”

แม่นางผู้นั้นหน้าแดง กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง รู้สึกพะอืดพะอม อาเจียนออกมาเป็นเลือดต่อหน้ามารดา สีหน้านางซีดเซียว ตัวแข็งทื่อก่อนจะล้มลงไปด้านหลัง

สตรีผู้นั้นตกตะลึง กรีดร้อง “ฉิงเอ๋อร์!”

คาถาถูกทำลาย ของย้อนกลับ

ฉลาดแกมโกง ความฉลาดนั้นเองที่จะทำให้สูญเสียชีวิต

ตอนที่ 192 ที่เอ่ยถึงคือตำราสวรรค์กระมัง

ฉินหลิวซีเก็บแท่นบูชา ถอดเสื้อคลุมเต๋าออก ยื่นตะเกียงชะตาชีวิตเจ็ดดาวของเจาชิงม่านให้นางด้วยมือทั้งสองข้าง

“อาจารย์ เสร็จพิธีแล้วหรือเจ้าคะ” ฮูหยินเจาถามด้วยความกังวล

“เสร็จแล้ว มนต์ถูกทำลายแล้ว และข้าก็ให้บทเรียนผู้ที่ร่ายมนต์นี้แล้ว ตอนนี้ก็คงจะอาการสาหัสเจียนตายอยู่ ส่วนแม่นางที่ยืมชะตาชีวิตผู้นั้นพวกท่านต้องเตรียมใจไว้ให้ดี” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วิถีแห่งสวรรค์นั้นยุติธรรม หากเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองไป ก็จะมีสิ่งที่เรียกมันคืนกลับมาจากนางจนได้”

สองแม่ลูกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้

“เมื่อมนต์ถูกทำลายแล้ว ร่างกายของแม่นางเจาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง คาดว่าลึกๆ ข้างในพอจะสัมผัสได้บ้าง ข้าจะไม่โกหกเจ้า” ฉินหลิวซีเอ่ยเสริม

เจาชิงม่านประคองตะเกียงเจ็ดดาว เอ่ยว่า “เจ้าค่ะ รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น ไม่มีความเหนื่อยล้าเหมือนก่อนหน้านี้”

เมื่อฮูหยินเจาได้ยินเช่นนั้นก็มีความสุขขึ้นมา มองไปที่ตะเกียงดวงนั้นแล้วถามว่า “แล้วควรทำอย่างไรกับตะเกียงดวงนี้หรือเจ้าคะ”

“พวกท่านสามารถนำตะเกียงเจ็ดดาวดวงนี้ไปบูชาต่อหน้ารูปปั้นเจ้าลัทธิเต๋า รับควันธูปจากผู้ศรัทธา ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และแข็งแรงขึ้น ส่วนน้ำมันตะเกียงนี่…”

เมื่อฮูหยินเจาได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ย “ท่านอาจารย์วางใจได้ พวกเราจะให้ค่าน้ำมันตะเกียงอย่างเหมาะสมแน่นอน แค่หวังว่าบรรดานักพรตในอารามจะดูแลเป็นอย่างดีก็พอแล้ว”

“เอาล่ะ จุดไว้สักสี่สิบเก้าวันก็เพียงพอแล้ว” ฉินหลิวซียิ้มอย่างร่าเริง

ฮูหยินเจาคำนับอย่างเป็นทางการ เอ่ยว่า “วิชาของท่านอาจารย์แก่กล้า พวกเราอยากจะขอยันต์แคล้วคลาดอีกสักสองสามแผ่น”

“ท่านผู้ศรัทธามีความซื่อสัตย์ ทุกอย่างย่อมง่าย” อีกความหมายหนึ่งก็คือหากให้ค่าน้ำมันตะเกียงเพียงพอก็ย่อมมีให้

ฮูหยินเจาก็เป็นสตรีมีหน้ามีตา ย่อมเข้าใจโดยธรรมชาติ ในใจคิดว่าอีกสักครู่จะต้องให้ค่าน้ำมันตะเกียงอย่างเหมาะสมจึงจะดี

รู้สึกโล่งใจหลังจากทำสิ่งสำคัญสำเร็จ นางก็เริ่มไอขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “อาการไอหอบของฮูหยินนี้ ต้องการให้ข้าจับชีพจรดูหรือไม่”

“ท่านรู้วิชาแพทย์ด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ” ฮูหยินเจาเอ่ย “อาการไอหอบของข้าเป็นมาเดือนกว่าแล้ว เมื่อบุตรสาวเริ่มโชคร้ายข้าก็เริ่มป่วยไปด้วย ลองเปลี่ยนยามาสองสามขนานแล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น บางครั้งตอนกลางคืนก็ไอหนักมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน”

“จิตใจของแม่นางกับฮูหยินเชื่อมโยงกัน หากมีโชคร้ายก็จะส่งผลถึงญาติด้วย ตอนนี้นางดีขึ้นแล้ว พลังวิญญาณของท่านก็จะค่อยๆ ดีขึ้นด้วย เพียงแต่การไอเป็นเวลานานทำให้ปอดเกิดความเสียหาย พลังหยางบกพร่อง เป็นโรคที่ต้องรักษาให้หายขาด เพื่อรักษาอายุให้ยืนยาวและมีร่างกายที่แข็งแรง”

ฮูหยินเจาได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาแต่ละอย่างล้วนมีเหตุผล ไม่ได้เอาแต่พูดถึงวิธีเต๋าหรือให้ดื่มน้ำมนต์ ซึ่งแตกต่างจากลัทธิชินโต ในใจจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ยิ้มหยอกล้อพลางเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าท่านอาจารย์จะอาศัยสถานการณ์นี้ให้ข้าดื่มน้ำมนต์เพื่อช่วยให้หายขาดเสียอีก”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “น้ำมนต์บางอย่างสามารถช่วยทำให้จิตใจสงบได้ แต่ไม่ใช่น้ำมนต์ทั้งหมดที่จะสามารถรักษาโรคช่วยชีวิตผู้คนได้ เช่นนั้นในต้าเฟิงจะมีหมอไว้ทำไม ผู้ที่บอกว่าน้ำมนต์สามารถรักษาโรคได้ส่วนใหญ่ล้วนโกหก ไม่ควรเชื่อ ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเงินในเรื่องนี้ อย่างเช่นอาการไอเรื้อรังจนทำให้ปอดเสียหายของท่านก็ต้องกินยาที่ถูกต่อโรคจึงจะรักษาหาย ท่านอย่าได้คิดว่าข้าขู่ท่าน ได้ยินเสียงไอของท่านก็ฟังได้ว่ามีเสียงหวีดในปอดด้วย เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยไว้ หากล่าช้าจะทำให้อาการลมในปอดรุนแรงขึ้น จนทำให้นำไปสู่การเป็นโรคจริงๆ”

ก่อนที่ฮูหยินเจาจะเอ่ยอะไร เจาชิงม่านก็เอ่ยด้วยความกังวล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาจับชีพจรและเขียนใบสั่งยาให้ท่านแม่ของข้าด้วยเถิด”

“สถานที่แห่งนี้วุ่นวาย พวกเราเปลี่ยนไปที่ห้องจิ้งซื่อกันเถิด” ฉินหลิวซีเดินนำทั้งสองคนออกไป

ด้านนอกประตูอวี้ฉังคงลุกขึ้นแล้ว เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินออกมาก็มีนึกสงสัยเล็กน้อย

“นักพรตต้มตุ๋น ทำพิธีเสร็จแล้วหรือ” มู่ซีดีดตัวขึ้นมา สายตามองไปที่เจาชิงม่านเพื่อดูว่ามีความแตกต่างอะไรหรือไม่

เมื่อฮูหยินเจาเห็นมู่ซีและอวี้ฉังคง นางก็ขมวดคิ้ว เดินมาบังอยู่ตรงหน้าเจาชิงม่าน บดบังสายตาของมู่ซี

เมื่ออวี้ฉังคงเห็นว่านางหรี่ตามองจึงหมุนตัวไปบังไว้ จากนั้นก็พยักหน้าให้กับฉินหลิวซีแล้วลากมู่ซีเดินออกมา

“ท่านอาจารย์ พวกเขาเป็นใครหรือเจ้าคะ”

“ฮูหยินอย่าได้ถือสา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ศรัทธาในอารามแห่งนี้ เชิญท่านทางนี้เถิด” ฉินหลิวซีนำทาง พาพวกนางไปยังห้องจิ้งซื่อที่สะอาดและเงียบสงบ

มู่ซีที่ถูกอวี้ฉังคงพาตัวออกมาสะบัดมือของเขาออกด้วยความโกรธ “เจ้าทำอะไร พวกเราไม่ได้สนิทกัน เลิกดึงข้าไปมาได้แล้ว”

“เจ้าเป็นบุรุษแปลกหน้า ไปจ้องมองแม่นางเช่นนี้ อยากจะเป็นบุตรเขยตระกูลเจาหรือ”

“เหอะ! ก็แค่ตระกูลเจาธรรมดาๆ จะสามารถรับคุณชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าไปเป็นบุตรเขยได้อย่างไร” มู่ซียืนเท้าสะเอว เอ่ยด้วยความเย่อหยิ่งว่า “ต่อให้พวกเขาปีนขึ้นไปสูงเพียงใดก็ยังไม่คู่ควร”

อวี้ฉังคงยิ้มอย่างเย็นชา “แม่นางดีๆ เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมาจับคนเสเพลอย่างเจ้า”

“เจ้ากำลังใส่ร้ายข้าเพราะอิจฉาข้า!” มู่ซีดีดตัวขึ้น

อวี้ฉังคงไม่อยากใส่ใจเขาจึงเดินจากไป

มู่ซีกลอกตา แอบไปที่หน้าต่างห้องจิ้งซื่อ ฮ่าๆ ไม่ให้ดูก็ได้ เขาก็จะแอบฟัง!

ฉินหลิวซีหยิบหมอนรองขึ้นมาให้ฮูหยินเจายื่นข้อมือมาวาง นิ้วทั้งสองข้างวางลงไปสัมผัสชีพจรเป็นเวลานาน จากนั้นก็เปลี่ยนข้อมืออีกข้าง เอ่ยว่า “ตอนที่อาการป่วยกำเริบขึ้น ได้กินอะไรหรือไม่”

เจาชิงม่านตอบแทนฮูหยินเจา “เมื่อเดือนที่แล้วจู่ๆ ท่านแม่ก็อาเจียนเป็นเลือด ไอมีเสมหะทั้งวันทั้งคืนจนไม่สามารถนอนหลับได้จึงได้เชิญท่านหมอมา ดื่มน้ำแกงโสมแก่ตุ๋นอยู่ช่วงหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหลังจากดื่มน้ำแกงนี้อาการไอของท่านแม่จะรุนแรงขึ้นมาเล็กน้อย”

“เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ดื่มแล้วรู้สึกเพียงมีลมพวยพุ่ง มีอาการเจ็บหน้าอกเหมือนเป็นหมอกควัน รู้สึกอึดอัดและทรมาน” ฮูหยินเจาเอ่ยต่อว่า “ตอนนั้นคิดว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงจึงได้เป็นหวัดธรรมดาทั่วไป คิดไม่ถึงว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาได้ลองเปลี่ยนยาไปหลายขนาน แต่ก็ยังไม่หายขาด”

ฉินหลิวซีดึงนิ้วกลับ มองช่องปากของนางอย่างละเอียด เอ่ยว่า “อาการของท่านไม่ได้เป็นไข้หวัด แต่เป็นพิษร้อนที่ไปอุดตันอยู่ในปอดทำให้เลือดเป็นพิษ จึงเป็นสาเหตุที่ท่านไออยู่เรื่อยๆ น้ำแกงโสมแก่ตุ๋นไม่เพียงแต่ไม่ถูกกับโรค ทั้งฤทธิ์ร้อนยังช่วยพลังหยางทำให้ปอดเสียหาย หมอที่เขียนใบสั่งยานี้ให้ท่านผู้นั้น เกรงว่าจะเป็นหมอเถื่อน”

ฮูหยินเจากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็มืดมน

เจาชิงม่านก็คิดอะไรได้บางอย่างเช่นกัน เงียบไปพักหนึ่ง

หมอผู้นั้นเป็นคนที่ท่านป้าแนะนำให้ ตอนนี้ทั้งสองเรื่องสอดคล้องกัน เห็นได้ชัดเจนว่าพวกนางต้องการอะไร

ฉินหลิวซีเห็นว่าสีหน้าของพวกนางผิดปกติจึงรู้ได้ทันทีว่าตัวเองอาจไปเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความลับโดยไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าครอบครัวที่ร่ำรวยมักจะมีเรื่องอื้อฉาวมากมาย

นางแกล้งทำเป็นไม่เห็น เอ่ยว่า “ฮูหยิน โรคนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่สั่งยาให้ถูกโรคก็จะดีขึ้น ใช้สูตี้ทั้งดิบและสุกอย่างละสองเฉียน เทียนตงกับไม่ตงอย่างละครึ่งเฉียน โปร่งรากสน จื่อหว่าน ชวนเป้ย…อย่างละเฉียน กินทั้งหมดสองขนาน ลมก็จะจางหายไป เมื่อท่านหายใจคล่องหลับสบายแล้ว ไม่ถึงสิบวันอาการไอรุนแรงก็จะหยุดลง หลังจากนั้นเมื่อได้รับการดูแลอย่างดีก็จะหายขาด”

ขณะที่เอ่ย นางก็หยิบพู่กันหลางหาวขึ้นมาเขียนใบสั่งยาแล้วยื่นให้

เจาชิงม่านรับมาดู เอ่ยว่า “ใบสั่งยาของอาจารย์นั้นเหมือนกับที่ท่านหมอจริงๆ เป็นคนเขียนไม่มีผิด ไม่เหมือนเครื่องรางอะไรเหล่านั้น”

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “หมอลัทธิเต๋าก็เป็นหมอ ใช่ว่าวาดยันต์ไล่ผีแล้วจะรักษาโรคได้ หากจะรักษาให้ถูกกับโรคก็ต้องใช้วัตถุดิบยา หากเจ้ายืนกรานจะพูดถึงเรื่องเต๋า เช่นนั้นข้าก็จะขอเอ่ยสองสามประโยค อย่างเช่นโรคของฮูหยิน ปอดเป็นธาตุทอง ไตเป็นธาตุน้ำ ปอดทองกับไตน้ำมีความสัมพันธ์ดั่งแม่ลูก ว่ากันว่าทองกับน้ำรวมกันเป็นหนึ่ง น้ำกับไฟมีต้นกำเนิดเดียวกัน ทองก็สามารถสร้างน้ำได้ และน้ำก็สามารถเลี้ยงทองได้ ทองกับน้ำเสริมกัน ดั่งบุตรที่ช่วยเหลือมารดา อาการไอเสมหะที่เกิดจากไฟชั่วร้ายก็จะดับลง”

ที่หน้าต่างห้องจิ้งซื่อ มู่ซีนั่งย่อตัวอยู่ข้างๆ ซวงเฉวียนที่ทำหน้าซังกะตาย เอ่ยพึมพำว่า “เจ้านักพรตต้มตุ๋นกำลังเอ่ยถึงตำราสวรรค์หรือ”

ไยเขาจึงฟังไม่เข้าใจเลยสักประโยค

*******************