เขากระโดดสูงขึ้นหลายเมตร ก่อนจะกางแขนทั้งสองข้างที่ส่องประกายราวปีกนกกระเรียนขาวออกพร้อมกันในชั่วเสี้ยววินาที หลังจากที่หุบปีกลง เขาก็ค่อยโผบินขึ้นสูงหลายเมตรอีกครั้ง!
“แกว๊ก!” เสียงร้องราวกับนกกระเรียนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
“กึก!” ในวินาทีต่อมานั้นสวีหยางอี้ก็คว้าเกล็ดสีดำขลับของอีกฝ่ายไว้ได้ หยาดโลหิตคาวคลุ้งพลันสาดกระเซ็นไปทั่ว
เกล็ดแข็งแกร่งราวเหล็กไหลถึงกับถูกทึ้งขาดด้วยมือเปล่าพร้อมกับเลือดสดๆ ที่พุ่งทะลักออกมาตามเกล็ดที่แตกละเอียดนั้น
“อ๊าก!!!” เสียงร้องคำรามสะเทือนเลือนลั่น ทำเอาฝุ่นทรายบนพื้นม้วนตลบเป็นคลื่นกระเพื่อมไร้รูปร่าง ราวกับพัดเอาระเบิดพายุทรายขนาดย่อมขึ้นมาไม่มีผิด!
เส้นเลือดบนมือทั้งสองข้างของสวีหยางอี้ตอนนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เขาพุ่งเข้าไปหาร่างงูยักษ์นั้นราวกับเครื่องขุดเจาะสำรวจ นิ้วทั้งห้าของเขาราวกับกรงเล็บสัตว์ป่า เพียงตะปบเข้าก็ทำให้หนังถลกเนื้อแตกได้ทันที
“ขึ้นไปอีกยี่สิบเมตรจะเป็นจุดอ่อนของมัน” เสียงของเมาปาเอ้อดังจากหูฟังออกมาอย่างต่อเนื่อง “จุดเปลี่ยนพลังกับหัวใจปีศาจงูอยู่ตรงนั้น!”
สวีหยางอี้ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ตัวเขาในยามนี้ไม่ต่างจากพยัคฆ์ที่วิ่งทะยานอยู่บนหลังงู แต่ละกรงเล็บและฝีเท้าล้วนฉีกทำลายมันแผลแล้วแผลเล่า ก่อนจะพุ่งตามรอยแผลเหล่านั้นสูงขึ้นไปกว่ายี่สิบเมตรด้วยความเร็วสูงสุด
“ฉึก!” ทันใดนั้นเองก็มีเข็มแหลมสีขาวโพลนราวหิมะงอกออกมาจากกระดูกพร้อมเลือดที่ทะลักไปทั่วทั้งผืนฟ้า ทั้งยังแทงมือเขาจนทะลุด้วย!
อีกฝ่ายเองก็ยอมสู้ตายแล้ว!
สติปัญญาที่หลงเหลืออยู่ไม่มากนักของมันบอกชัดว่า คนคนนี้มีพลังมากพอจะทลายปราการป้องกันของมันได้ ตอนนี้ร่างใหญ่ใหญ่โตมหึมาของมันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด อีกฝ่ายจะต้องกัดต่อยจุดอ่อนของมันอย่างเอาเป็นเอาตายจนพรุนเป็นรูใหญ่ไม่ต่างจากตัวต่อแน่!
ความเป็นความตายอยู่ในช่วงระยะยี่สิบเมตรนี้เอง! สวีหยางอี้จะพุ่งขึ้นไปโจมตีสังหารศัตรูในคราวเดียว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรเขาก็ต้องสยบมันให้ได้ในระยะยี่สิบเมตรนี้!
“ฉึก…ฉึกฉึกฉึกฉึกฉึก!” เสียงเสียดแทงเนื้อหนังนับไม่ถ้วนดังกึกก้องขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าดินของงูยักษ์ ในยี่สิบเมตรนี้มีเข็มแหลมน้อยใหญ่ทิ่มแทงออกมาจากผิวงูของมัน จนมองคล้ายเม่นตัวใหญ่ยักษ์ และทำให้ช่วงระยะยี่สิบเมตรนี้กลายเป็นทางเปื้อนเลือดที่มีหนามแหลมอยู่เต็มไปหมด!
นามแหลมที่ว่าคือกระดูกที่แทงกลับออกมาของมัน และความเป็นความตายก็อยู่ในช่วงยี่สิบเมตรนี้เอง!
“แคว๊ก!” สวีหยางอี้มองหลังงูที่เต็มไปด้วยหนามแหลมในชั่วพริบตา อีกฝ่ายเองก็ใจเด็ดไม่เบา ต่อให้ไม่มีสตินัก หรือต่อให้ร่างของมันจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่…มันเป็นปีศาจที่ใช้ชีวิตอย่างดีบนโลกอันซับซ้อนที่มนุษย์กับปีศาจอยู่ร่วมกันใบนี้จวบจนหมดอายุขัยได้เช่นนี้ก็นับว่าเก่งกาจไม่เบา
เขาออกแรงเด็ดเข็มแหลมนั้นแล้วแทงกลับเข้าไปซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะพุ่งขึ้นไปด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง ราวรถไฟขบวนหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังส่วนหัวของมัน!
หนามแหลมแทงเสียดกระดูกมากขึ้นเรื่อยๆ และคมขึ้นทุกทีราวกับมีชีวิต ร่างของมันราวกับมีดคมที่กำลังทิ่มแทงกล้ามเนื้อ ต้นขา แขน และมือทั้งสองข้างที่กันศีรษะไว้ของเขาไม่หยุด ทว่าถึงอย่างนั้นปากเขาก็ยังพึมพำ “กระบวนท่าที่เก้าสิบ…”
“ไอ้หน้าอ่อน นายบ้าไปแล้วหรือไง!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงตื่นตระหนกจากปลายสายวิทยุสื่อสาร “มีแค่นักศึกษาอัจริยะในสำนักเทียนเต้าที่ยังไม่จบเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนได้หนึ่งร้อยกระบวนท่า! ยิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น! ถ้าฉันจำไม่ผิด ขีดจำกัดของนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบมีแค่เก้าสิบกระบวนท่าเท่านั้น! ถ้านายฝืนมากไปร่างกายนายจะรับภาระหนักเกินไป!
“นายจะตาย!”
สวีหยางอี้ไม่ฟังเสียงในเครื่องวิทยุสื่อสาร ในยามนี้เส้นเลือดทั่วทั้งร่างของเขาราวกับมีชีวิตขึ้นมา! มันบิดเบี้ยวร้อยเรียงกันจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประหลาด
กิเลน!
กิเลนสังเวยชีวิต!
มันเหมือนกับรอยสักไม่มีผิด!
ในวินาทีที่สัญลักษณ์ขึ้นรูปนั้นเอง ร่างทั้งร่างของเขาก็เปล่งแสงสีแดงเข้มสว่างไปรอบทิศขึ้นในชั่วพริบตา ดูราวกับลูกบอลไฟที่กำลังเคลื่อนที่ หนามแหลมเสียดกระดูกพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
“แครกแครกแครก!” เข็มแหลมๆ ทะลุกระดูกสาดฟุ้งกระเซ็นเป็นละอองกลางอากาศ ลูกบอลไฟโหมลุกด้วยเปลวเพลิงพุ่งไปหาส่วนหัวของงูยักษ์บ้าคลั่งใต้แสงจันทร์ หากมีใครเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าล่ะก็รับรองได้ว่าร้องไม่ออกแน่
“อ๊าก!” ในชั่วพริบตาของความเป็นความตายนั้นเอง เสียงร้องคำรามเล็กแหลมก็ดังขึ้นมา ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีปราการป้องกันสูงอีกต่อไป ไม้ตายที่ซ่อนอยู่ก็ไม่ได้มีมากนัก เนตรมหึมาของงูยักษ์พลันเกิดประกายวูบขึ้นมา เงามืดมรณะคุกคามเข้ามาหามันอย่างรวดเร็ว มันแผดร้องคำรามขึ้นแล้วเริ่มขดตัวเป็นวงกลมเหมือนวงล้อ
“ครืน…” แผ่นดินทั้งผืนพลันสั่นสะเทือนขึ้นราวกำลังมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!
ทว่าเพียงสามวินาทีมันกลับหยุดชะงักลง เกล็ดทั้งตัวของมันราวกับเสื้อเกราะเหล็กสั่นกระทบกันส่งเสียงตึงตัง
มันคืออาการสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ราวกับมีเทพแห่งความตายยืนอยู่ที่หัวของมัน
มือทรงพลังโชกเลือดของมนุษย์มือหนึ่งได้กดลงบนจุดพิฆาตของมันแล้ว
สวีหยางอี้มีหนามแหลมอยู่ทั่วทั้งตัว เขากลายเป็นเม่นอยู่ใต้แสงจันทร์กระจ่างไปโดยสมบูรณ์แล้ว แผ่นอกเขากระเพื่อมขึ้นลง ร่างทั้งร่างที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ อยู่บนจุดพิฆาตของมัน
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งหนัก…เขาเลียริมฝีปากตัวเอง แล้วปล่อยให้ของเหลวร้อนจนแทบเดือดในหลอดเลือดเย็นๆ ไหลลงคอไปพร้อมกับกลิ่นคาวคลุ้ง
เลือดของตัวเอง…มีรสชาติเป็นอย่างนี้นี่เอง…นี่เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะยกมือขึ้น
“กระบวนท่าที่เก้าสิบเอ็ด”
“พายุสะบั้นมังกร!”
“ซวบ!”
ลำแสงสีฟ้าสดสาดลงมาใต้ผืนฟ้า ราวดอกไม้ที่เบ่งบานในยามรัตติกาล ราวสายอัสนีบาตที่ฟาดลงมา ชั่วขณะนั้นทั้งแสงจันทร์และแสงดาวพลันหม่นไปถนัดตา เพราะสายตาของทุกคนต่างจับจ้องลำแสงที่วูบผ่านไปนั้นเป็นตาเดียว
ความงดงามอ่อนเยาว์เพียงชั่วพริบตา
ความงดงามน่าจับตาเพียงชั่วเสี้ยววินาที ก็ทำให้คนมัวเมาในภาพมายาไม่อาจสัมผัสถึงความจริงแท้ได้
สวีหยางอี้คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น มือซ้ายเขาสั่นระริกเล็กน้อย เส้นเลือดพลันปะทุปริแตกจนเลือดพุ่งทะลักออกมา
“ตูม!” ร่างท่อนบนขนาดเท่าห้องห้องหนึ่งของงูยักษ์ยาวสิบกว่าเมตรร่วงลงมาจนฝุ่นดินตลบ ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นอยู่ด้านหลังของเขา
พลังทั่วทั้งร่างแตกซ่านราวกระแสน้ำ กระดูกทุกส่วนแผดเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดเกินทน ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงเล็กแหลมจากเครื่องวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น “ไอ้หน้าอ่อน! รีบหลบเร็ว!”
มีลำแสงสีแดงวูบวาบพุ่งสาดทะลักมายังจุดที่ร่างงูยักษ์แหลกสลายราวพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาในยามราตรี!
“โครม!” เสียงระเบิดดังกึกก้องสนั่นทั่วบริเวณ สวีหยางอี้พลันแผดคำรามสุดเสียง!
นั่นมันเสียงค่ายกลฟ้าดาวเหนือพังทลาย!
แสงประหลาดสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าไปทลายค่ายกลฟ้าดาวเหนือ! และยังพุ่งมาทางเขาด้วย!
มันเรียวเล็กมาก…อย่างน้อยเมื่อเทียบกับซากงูยักษ์แล้วก็เป็นเช่นนั้น ความหนาของมันประมาณเท่าแขนได้ และมันก็กำลังพุ่งเข้ามาหาหัวใจเขาพอดี!
แต่…เขากลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย!
เขามองลำแสงที่ไม่อาจบอกได้ชัดว่าเป็นแสงสีแดงนั้นแค่ชั่วเสี้ยววินาที ทั้งพละกำลังและพลังลมปราณก็พลันหายไปในชั่วพริบตา!
“เมาปาเอ้อ!” เขาแผดเสียงคำราม ปลายสายวิทยุสื่อสารจึงร้องเสียงแหลมขึ้น “เข้าใจแล้ว!”
ชั่วพริบตาที่ค่ายกลฟ้าดาวเหนือค่อยๆ แตกสลายลงนั้นเอง ซากงูยักษ์ก็พลันหายวับไป!
“แม่Xเอ๊ย…” สวีหยางอี้กัดฟันกรอด มันเข้าใจภาษาบ้าอะไรของมัน!
เขาให้อีกฝ่ายคิดหาวิธี แต่อีกฝ่ายกลับรีบเก็บเครื่องบรรณาการไปทันที!
เขายังไม่ทันได้พูดประโยคนี้จบ เพราะตอนนี้เรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นแล้ว!
“พรึบ” ดอกบัวโปร่งแสงสีทองไหวระยับดอกหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ทว่ามันกลับดูเลือนรางราวภาพมายา ราวกับมีอยู่ในอีกมิติหนึ่ง
ทั้งงดงามและหายาก ราวกล้วยไม้ในหุบเขาลึกที่เบ่งบานใต้แสงจันทร์
ดอกที่สอง…สาม…และนับไม่ถ้วน!
ทันใดนั้น สวีหยางอี้ก็ถูกล้อมไว้ด้วยดอกบัวสีทองนับไม่ถ้วน เขาในตอนนี้ราวกับนักบวชที่เดินอยู่ในหมู่ดอกบัวสีทองอย่างไรอย่างนั้น!
“ดอกบัว…ดอกบัวทองคำระเบิดพิภพ!?” เมาปาเอ้อร้องลั่น หากจะกล่าวว่าเมื่อครู่นี้เป็นเสียงแหลมแล้วล่ะก็ ตอนนี้ก็นับว่าเป็นเสียงแหลมเสียดขั้วหัวใจทำลายตับได้เลย “ไอ้หน้าอ่อน! หลบไป! รีบหลบเร็ว! ถ้านายโดนไอ้นี้นายตายแน่!”
แสงสีแดงสะท้อนใบหน้ายิ้มเฝื่อนๆ ของสวีหยางอี้
ซ่อน?
ตอนนี้เขาเหมือนกับถูกล็อกเอาไว้ แม้แต่เดินก็ยังเดินไม่ไหวด้วยซ้ำ
“ปัง!” วินาทีต่อมานั้นเอง เขาก็รู้สึกราวกับมีกำปั้นหนักๆ โจมตีเข้าที่หน้าอก ภาพตรงหน้ากลายพลันกลายมืดสนิทไปทันที ทำเอาเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ได้แต่กระอักเลือดสดๆ ออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะถูกซัดจนปลิวราวกับกระสอบเก่าๆ ขึ้นไปถึงสี่ห้าเมตร แล้วร่วงลงมากองกับพื้นอย่างรุนแรง
เขายังไม่ได้สติ จนกระทั่งมองดวงจันทร์อยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยสะดุ้งขึ้นมา แล้วรีบคลำที่หัวใจของตัวเองทันที
ทว่าตรงที่มือสัมผัสนั้นกลับมีเพียงกล้ามเนื้อแน่นๆ เท่านั้น ไม่ได้มีร่องรอยบาดแผลใด!
“นี่มัน…” เขาก้มหน้ามองแล้วก็พลันต้องเพ่งสายตา
ไม่รู้ว่ามีรูปดอกบัวสีดำขนาดเท่ากำปั้นมานาบที่หน้าอกเขาตั้งแต่เมื่อไร
“นาย…ไม่เป็นไรใช่ไหม” น้ำเสียงไม่แน่ใจของเมาปาเอ้อดังขึ้นจากในหูฟัง
สวีหยางอี้หลับตาลง รับความรู้สึกจากร่างทั้งร่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
ไม่มีใครเอ่ยคำใด ภายในใจของเขากับเมาปาเอ้อต่างสับสนงุนงงไปต่างๆ นานา
สิ่งๆ นั้น แสงนั้น…น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เขาเคยรู้จักมาในหนังสือเสียอีก! ปฏิกิริยาแรกของมนุษย์ตอนที่เจอภัยอันตรายก็คือหนี ทว่าแสงนั้นได้ “ปฏิเสธ” ความคิดที่จะหลบหนีของเขาไปเสียจนสิ้น
เพิ่งพูดถึงแสง ก็มีแสงขึ้นมาทันที มันเหมือนกับกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลกใบนี้ เช่นเดียวกับกฎแรงดึงดูดของนิวตัน โลกมีกฎของแรงดึงดูด แสงก็ย่อมมีกฎที่ว่าด้วยการไม่อาจหนีพ้นเช่นกัน
ทว่าระหว่างที่สวีหยางอี้ถูกโจมตีนั้นเอง เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ดอกบัวสีดำบนหน้าอกเขาไม่เพียงแต่แปลกประหลาด แต่ยังเป็นรอยสักงดงามที่มีเสน่ห์อย่างประหลาด
สวีหยางอี้ไม่ได้คลายความระแวดระวังไปแม้แต่น้อย ปรากฏการณ์นี้มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว และไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น
“แกร๊ก…” ทันใดนั้นเอง เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในหูของเขา เขาถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาและรีบมองไปยังที่มาของเสียงทันที
ทว่าตรงที่ไกลลิบตานั้นเอง กลับทำให้เขาต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้ยังเป็นทางเดินหินกับสนามหญ้าที่ว่างเปล่าแท้ๆ แต่ตอนนี้…
กลับมีดอกบัวอยู่เต็มไปหมด!
ดอกบัวแห้งนั้นเป็นดอกบัวจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา มันไม่ได้เพิ่งจะแห้งเหี่ยวด้วยแต่มันตากแดดตากลมเสียจนโรยรา แค่สัมผัสดอกของมันก็กลายเป็นสีเหลืองแล้วปลิดปลิวไปทันที
เสียงนั้นเป็นเสียงคนเหยียบดอกบัวแห้งที่มีอยู่เกลื่อนพื้น
แววตาเขาพลันเกิดประกายวูบขึ้นมา ตอนนี้เขาเพิ่งจะคิดได้ว่าลำแสงสีแดงนั้นไม่เพียงประทับสัญลักษณ์ประหลาดลงที่หน้าอกเขาเท่านั้น แต่มันยัง…ทลายค่ายกลฟ้าดาวเหนือด้วย!
เมาปาเอ้อรีบเก็บซากงูยักษ์อันเป็นเครื่องบรรณาการของผู้ชนะไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงมองไม่เห็น ทว่า…
ทำไมตอนนี้ถึงได้มีหลุมยักษ์อย่างกับพื้นผิวดวงจันทร์อยู่เต็มไปหมดอย่างนี้
และทำไมอยู่ๆ ถึงได้มีดอกบัวแห้งอยู่เกลื่อนพื้นไปหมด
เงียบกริบ…ราวกับตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ตุบ…” ไม่รู้ว่าใครทำปืนหล่นไว้บนพื้นและก็ไม่มีใครสนใจด้วย ทว่าสวีหยางอี้กลับดูออกว่ามันเป็นของนายทหารมีแถบเหลืองบนบ่าสองแถบที่เป็นทหารมาแล้วสองปีคนนั้น ซึ่งตอนนี้เขาได้แต่มองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางราววิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง “พระ…เจ้า…”
จากนั้นก็ไม่มีกระแสเสียงใดอีก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด แต่ความตื่นตะลึงตอนนี้ทำเอาทุกคนพูดอะไรไม่ออกต่างหาก