ตอนที่ 121 ถูกละเลย

ตอนที่ 121 ถูกละเลย

ฟู่ซวี่ตงได้ยินคำพูดนี้ของเสิ่นหรูฮวน เขาก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวด้านนอกกันเถอะ”

เขาเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับเสิ่นหรูฮวนมากนัก ไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเสิ่นคงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไร

เสิ่นหรูฮวนได้ยินเช่นนี้กลับเหลือบมองฟู่ซวี่ตงและเอ่ย “แม่ของฉันเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วและเอ่ยกำชับนับพันครั้งให้ฉันชวนมู่หลานและสามีของหล่อนไปที่บ้านด้วย”

เห็นเสิ่นหรูฮวนกล่าวเช่นนี้ ฟู่ซวี่เองก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าตนเองไม่ควรไป เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธ เสิ่นหรูฮวนก็เดินนำไปด้านหน้าแล้ว “มู่หลาน พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ฉินมู่หลานยิ้มและพยักหน้า อย่างไรก็ตามก่อนจะออกจากบ้าน เธอยังคงนำของขวัญไปด้วย

เซี่ยเจ๋อหลี่ตบไหล่ฟู่ซวี่ตงพร้อมกับกล่าว “เอาล่ะ พวกเราก็ตามไปเถอะ”

“เฮ้ย……ฉัน……”

สุดท้ายแล้วฟู่ซวี่ตงก็ต้องไปบ้านตระกูลเสิ่น

ถงทิงผิงเห็นว่าคู่สามีภรรยาฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่มาถึงแล้วก็รีบเอ่ยทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับกล่าว “มู่หลาน ในที่สุดพวกเธอก็มาแล้ว ฉันได้ยินว่าพวกเธอมาเมืองหลวงแล้วก็เลยคิดว่าจะต้องกินข้าวกับพวกเธอให้ได้” เมื่อกล่าวประโยคสุดท้าย เธอจ้องมองฟู่ซวี่ตงด้วยความฉงนเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถาม “คนนี้คือ?”

เสิ่นหรูฮวนเอ่ยแนะนำพร้อมรอยยิ้ม “แม่คะ เขาชื่อฟู่ซวี่ตง ตอนนั้นได้เข้าร่วมปฏิบัติการกับพี่ใหญ่เซี่ย ช่วยเหลือพวกเราไว้หลายคนเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทางของถงทิงผิงพลันกระตือรือร้นต่อฟู่ซวี่ตงมากยิ่งขึ้น แต่ยิ่งมองฟู่ซวี่ตงมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตามากขึ้นเท่านั้น “ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเคยเจอกับเธอที่ไหนสักแห่งเลยล่ะ”

“แม่ ฟู่ซวี่ตงเป็นคนตระกูลฟู่ของเมืองหลวง ก่อนหน้านี้แม่อาจจะเคยเจอเขา”

ถงทิงผิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ในทันทีว่าฟู่ซวี่ตงนั้นคือใคร “คุณคือลูกชายคนโตของตระกูลฟู่ที่ไปเข้าร่วมกองกำลังทหารสินะ”

ฟู่ซวี่ตงพยักหน้าและกล่าว “ใช่ครับคุณป้า”

“โอ้……ไม่น่าแปลกที่จะรู้สึกคุ้นหน้าเธอ ที่แท้ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยเจอเธอมาก่อน ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี คาดไม่ถึงเลยว่าเพียงพริบตาจะโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้ว”

ฟู่ซวี่ตงยิ้มเล็กน้อยและไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เขาไม่มีความทรงจำอะไรต่อถงทิงผิง ดังนั้นทำได้เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยให้กับอีกฝ่าย

หลังจากถงทิงผิงรู้ว่าฟู่ซวี่ตงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือลูกสาวของตน หล่อนก็เชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาด้านในบ้านและต้อนรับพวกเขาด้วยผลไม้อย่างกระตือรือร้น “มู่หลาน ตอนนี้ยังพอมีเวลาก่อนอาหารเย็น พวกเธอกินผลไม้กันก่อนนะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณป้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน ถงทิงผิงพลันรีบโบกมือพร้อมกับเอ่ย “มู่หลาน เธอเองก็เกรงใจเกินไป พวกฉันต่างหากต้องขอบคุณเธอ”

ถงทิงผิงเองก็รู้เรื่องที่ฉินมู่หลานตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงแบ่งปันประสบการณ์บางอย่างของตนเอง

ฉินมู่หลานตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก แม้ว่าเธอจะรู้เรื่องการแพทย์ แต่การได้ฟังประสบการณ์ตรงจากคนอื่นก็นับว่าดีมากเช่นกัน

ถงทิงผิงเห็นฉินมู่หลานตั้งใจฟัง บนใบหน้าพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขณะนี้เองก็พบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่คอยแลดูแลฉินมู่หลานอย่างเงียบๆ หล่อนรู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้รักและใส่ใจกันจริงๆ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หล่อนนึกถึงคำพูดที่ลูกสาวกล่าวกับตนเมื่อวานนี้

“ใช่แล้วมู่หลาน ได้ยินว่าเมื่อวานนี้พวกเธอบังเอิญเจอเจิ้งเต๋อข่าย”

ฉินมู่หลานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น จากนั้นกล่าว “ใช่ค่ะ บังเอิญเจอเขาและลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขา”

ในเมื่อกล่าวถึงเจิ้งเต๋อข่าย ฉินมู่หลานยังคงเอ่ยกับถงทิงผิงอีกประโยคหนึ่ง “ป้าคะ ไม่อย่างนั้นพวกคุณลองตรวจสอบดูว่าเจิ้งเต๋อข่ายมีลูกพี่ลูกน้องหญิงกี่คน ฉันเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์กับน้องสาวของเขาดีมาก”

ได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาของถงทิงผิงส่องประกายพลางพยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “ตกลงจ้ะมู่หลาน ฉันจะจำคำพูดนี้ไว้ เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะตรวจสอบให้ดีว่าเขามีลูกพี่ลูกน้องหญิงกี่คนกันแน่”

เมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าถงทิงผิงรับฟังคำพูดนี้ เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ระหว่างรออาหารกลางวัน เสิ่นเจิ้นอวี่และเสิ่นหรูฮุ่ยเองก็กลับมาเช่นกัน

เมื่อเสิ่นเจิ้นอวี่เห็นฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ ก็พลันเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น “คุณเซี่ย หมอฉิน ยินดีต้อนรับ”

เสิ่นหรูฮุ่ยก้าวมาด้านหน้าและกล่าวทักทายเช่นกัน หลังจากทั้งสองคนจ้องมองฟู่ซวี่ตงด้วยความฉงนเล็กน้อย เสิ่นหรูฮุ่ยก็จำเขาได้ “คุณคือลูกชายคนโตของตระกูลฟู่ใช่ไหม?”

ฟู่ซวี่ตงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก้าวเท้ามาด้านหน้าพร้อมกับเอ่ย “คุณลุงเสิ่น พี่ใหญ่เสิ่น สวัสดีครับ”

เสิ่นหรูฮวนเล่าเรื่องที่ฟู่ซวี่ตงและเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นสหายร่วมรบกันอีกครั้งหนึ่งและเอ่ยถึงเรื่องครั้งก่อนที่พวกเขาร่วมมือกันช่วยเหลือหล่อน ดังนั้นท่าทางการปฏิบัติของเสิ่นเจิ้นอวี่และเสิ่นหรูฮุ่ยที่มีต่อฟู่ซวี่ตงจึงกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ก็นั่งลงด้วยเช่นกัน เสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิงรวมถึงเสิ่นหรูฮุ่ยเองก็นั่งลงด้วยเช่นกัน สุดท้ายก็เป็นเสิ่นหรูฮวนและฟู่ซวี่ตงที่นั่งติดกัน

ระหว่างรับประทานอาหาร ถงทิงผิงก็คอยเอ่ยให้ฉินมู่หลานและพวกเขาทานอาหารด้วยความกระตือรือร้น เสิ่นหรูฮวนนั่งด้านข้างฟู่ซวี่ตงก็เอ่ยให้เขากินอาหารเป็นครั้งคราว

เดิมทีฟู่ซวี่ตงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นสีหน้าสงบของเซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลาน เขาเองก็ค่อยๆผ่อนคลายลง กินอาหารไปไม่น้อย อีกทั้งเสิ่นหรูฮวนที่อยู่ด้านข้างก็คอยเอ่ยแนะนำอาหาร ทำให้เขากินอาหารอย่างมีความสุขมาก

ขณะที่หลายคนกำลังรับประทานอาหาร เจิ้งเต๋อข่ายก็เข้ามา และเห็นทุกคนในตระกูลเสิ่นและคู่สามีภรรยาฉินมู่หลานเซี่ยเจ๋อหลี่ รวมถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ชายหนุ่มคนนั้นนั่งด้านข้างเสิ่นหรูฮวน ขณะที่เขาเดินเข้ามาก็ราวกับว่าเห็นทั้งสองคนกำลังพูดคุยและหัวเราะด้วยกัน

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจิ้งเต๋อข่ายก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่ปะทุขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามคู่สามีภรรยาเสิ่นเจิ้นอวี่ถงทิงผิงนั้นยังอยู่ด้วย สุดท้ายเจิ้งเต๋อข่ายต้องระงับอารมณ์และยิ้มพร้อมกับเอ่ยทักทาย “คุณลุง คุณป้า พวกคุณอยู่บ้านกันนี่เอง วันนี้ผมหยุดก็เลยตั้งใจมาหาพวกคุณและถือโอกาส……มาหาหรูฮวนด้วยครับ”

เสิ่นเจิ้นอวี่ได้ยินภรรยาพูดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้ของเจิ้งเต๋อข่ายแล้ว ดังนั้นเมื่อพบเห็นเขา สีหน้าพลันสงบลงเล็กน้อย “ที่แท้ก็คือเจิ้งเต๋อข่ายนี่เอง พวกเรากำลังกินข้าวกันพอดี เธอนั่งกินด้วยกันสักหน่อยไหม”

คำพูดนี้เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดตามมารยาท แต่อย่างไรก็ตามเจิ้งเต๋อข่ายกลับพยักหน้าตอบรับ

“ครับ”

เมื่อเห็นเจิ้งเต๋อข่ายกล่าวแบบนี้ เสิ่นเจิ้นอวี่เลิกคิ้วขึ้นพลางเหลือบมองเขาและไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นสั่งให้คนเตรียมชามและตะเกียบชุดหนึ่ง

ถงทิงผิงนึกถึงคำพูดเมื่อวานนี้ของลูกสาว จากนั้นนึกถึงเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเจิ้งเต๋อข่ายและลูกพี่ลูกน้องหญิงที่ฉินมู่หลานกล่าว รู้สึกเพียงว่าลูกเขยในอนาคตที่น่าพึงพอใจแต่เดิมกลับกลายเป็นคนเกะกะสายตามากยิ่งขึ้น “เต๋อข่าย ได้ยินว่าเมื่อวานนี้หรูฮวนไปเดินชอปปิ้งเป็นเพื่อนมู่หลานและเผอิญพบเธอ ช่างบังเอิญจริงๆเลย”

เจิ้งเต๋อข่ายได้ยินคำพูดนั้น เขารีบยิ้มและกล่าว “ใช่ครับ บังเอิญมากจริงๆ กล่าวได้ว่าผมและหรูฮวนมีวาสนาต่อกัน”

เมื่อวานนี้หลังจากกลับบ้าน เขายังคงรู้สึกว่าเสิ่นหรูฮวนขี้เหนียวที่ไม่ซื้อสร้อยข้อมือให้กับอวี้เจี๋ย ดังนั้นเขาจึงพูดกับเสิ่นหรูฮวนสองสามประโยคโดยที่ไม่รู้ตัว หลังจากที่พ่อแม่ได้ยินเรื่องนี้ก็เอ่ยถามอย่างละเอียดแล้วก็เริ่มดุด่าเขา อีกทั้งยังก่นด่าอวี้เจี๋ย สุดท้ายแล้วก็ขอให้เขามายังบ้านตระกูลเสิ่นในวันนี้เพื่อกล่าวขอโทษ

แต่เจิ้งเต๋อข่ายไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำอะไรผิด หากพ่อแม่ของเขาไม่บังคับ เขาเองก็คงไม่มีทางมาที่นี่

เดิมทีเขาคิดว่าหากตนแสดงท่าทางโกรธเคืองมายังบ้านตระกูลเสิ่น พวกเขาน่าจะแสดงท่าทางกระตือรือร้นกับตนเองเหมือนก่อนหน้านี้ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขามาถึงแล้ว ผู้คนตระกูลเสิ่นจะแสดงท่าทางเย็นชาต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่กลับแสดงท่าทางกระตือรือร้นต่อคู่สามีภรรยาฉินมู่หลานเซี่ยเจ๋อหลี่รวมถึงชายหนุ่มคนนั้นที่เขาไม่รู้จัก

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจิ้งเต๋อข่ายจึงรู้สึกว่าตนเองถูกละเลย เกิดความรู้สึกเป็นศัตรูกับฟู่ซวี่ตงที่นั่งอยู่ด้านข้างเสิ่นหรูฮวน เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลเสิ่นกำลังเตรียมแผนการครั้งที่สอง พวกเขาไม่เพียงแต่จะหาตนเอง แต่ยังหาผู้ชายคนนี้ไว้ด้วย?

“หรูฮวน ไม่รู้ว่าคนนี้คือ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นายนี่หวงก้างนะเต๋อข่าย ตระกูลเสิ่นเขารู้ว่านายมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับคนที่อ้างว่าเป็นญาติ เขาก็ไม่ปลื้มที่จะให้นายมาเป็นเขยแล้ว

ไหหม่า(海馬)