ตอนที่ 122 ขึ้นศาล

สามีข้า คือพรานป่า

ตอนที่ 122 ขึ้นศาล

เฉินเฉิงเยี่ยไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของเฉินผิงอัน แต่กลับได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเรียนหนังสืออยู่ และตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้เงินของครอบครัวเฉินไปจํานวนมาก!

“ไม่จริง! หลินชวนฮวาเป็นคนดี นางจะกล้าทําเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร..”

หยุนเถียนเถียนรับรู้ได้ทันทีว่าเฉินผิงอันไม่มีทางยอมรับความจริง จึงกล่าวแทรก “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะคิดอย่างไร! หากเจ้าเต็มใจจะให้นางและชู้ทําเช่นนี้ ก็จงปล่อยให้เขาเผาบ้านเจ้าเพียงคนเดียว! แต่ข้าไม่ยอม และจะรายงานเรื่องนี้ต่อหน่วยงานราชการ!”

“ข้าและน้องชายต้องสูญเสียบ้านเพียงหลังเดียว เพราะกองเพลิงที่พวกเขาสร้าง! ข้าไม่มีวันปล่อยนางไปเด็ดขาดหากยังไม่สามารถทวงความยุติธรรมได้! ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ครานี้ท่านคงปกป้องพวกเขาไม่ได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาเป็นภัยต่อชีวิตของชาวบ้านทุกคน!”

“ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่เพียงข้าที่หลินชวนฮวาเกลียดชัง แต่ทุกคนล้วนพูดถึงข่าวลือของนางและชายชู้ทั้งนั้น! หากบ้านที่ถูกเผาไหม้ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของชาวบ้านคนอื่น ท่านจะทําอย่างไร? จะวิ่งมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลาหรือ?”

หยุนเถียนเถียนรู้ดีว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้ความสําคัญกับชื่อเสียงมากกว่าความปลอดภัย แน่นอนว่าเขาจะอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ! หากนางสามารถจูงใจผู้คนให้ตระหนักถึงชีวิตและความปลอดภัยได้ พวกเขาก็จะร่วมมือกันเพื่อรายงานเรื่องนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านหรือท่านผู้เฒ่าก็จะไม่สามารถห้ามพวกเขาได้!

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวหน้าหมู่บ้านก็เงยหน้าขึ้นและพบว่า ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท

“แม่นางเอ๋ย ข้าไม่ได้วางแผนที่จะหยุดเจ้าไม่ให้ไปฟ้องร้อง แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว! หากจะไปก็จงรอพรุ่งนี้เถิด!”

“ตอนนี้บ้านของเจ้าถูกไฟไหม้ไปแล้ว เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไรต่อ?”

หยุนเถียนเถียนเดินมาหาจชื่อพลางกระซิบ “ข้าคงต้องรบกวนท่านป้าอีกแล้ว! ข้ารู้ว่าท่านป้าจะช่วยเหลือข้าได้ดีที่สุด ส่วนเฉินเฉินข้าจะให้เขาไปอาศัยอยู่กับหยุนเคอก่อน!”

จี้ชื่อพยักหน้าทันที “ได้สิ! ถึงแม้ว่าเจ้ากําลังจะแต่งงาน แต่เป็นหญิงก็ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวจนกว่าจะถึงคืนร่วมหอ!”

หยุนเถียนเถียนพยักหน้ารับ แท้จริงแล้วหากนางจ่ายเงินห้าสิบตําลึงก็สามารถยุติความสัมพันธ์กับหยุนเคอได้! เพราะหยุนเถียนเถียนเองมีเงินมากมายในเถาเปา!

จะเกิดอะไรขึ้นหากทั้งสองยุติความสัมพันธ์? แน่นอนว่าชาวบ้านก็ยังคงบังคับให้พวกเขาแต่งงานกันอยู่ดี! เช่นนั้นแล้ว แต่งงานและอยู่กันกับสุภาพบุรุษเช่นหยุนเคอ ยังดีกว่าต้องถูกยังคับให้แต่งกับชายที่ไม่รู้จัก

– หยุนเถียนเถียนยังคงสวมเสื้อคลุมของหยุนเคอ เนื่องจากนางตกใจจนไม่ได้หยิบสิ่งใดออกมาจากบ้านเลย จึงทําได้เพียงสวมใส่สิ่งที่มีอยู่เท่านั้น

เมื่อจีชื่อเห็นว่าเสื้อคลุมที่หญิงสาวสวมใส่ใหญ่เกินไป จึงหยิบเสื้อผ้าของลูกสะใภ้ออกมาและยื่นให้ก่อนจะสั่งให้นางเปลี่ยนทันที

หยุนเถียนเถียนผล็อยหลับไปข้างหญิงชรา แม้นางจะไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของย่าแล้ว แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้าจึงหลับไปโดยไม่สนใจอะไร!

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ชื่อทําอาหารเสร็จ หยุนเถียนเถียนนั่งก้มหน้าและรับประทานอาหารด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

“เถียนเถียน… แม้บ้านป้าจะแออัด แต่ก็ยังสามารถรองรับเจ้าได้ เจ้าอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการเลยนะ! แต่ไม่ว่าอย่างไรชาวบ้านก็ต่างเห็นเหตุการณ์ระหว่างเจ้ากับหยุนเคอแล้ว ยังไงก็รีบแต่งงานให้เรียบร้อยเถิด!”

“แม้ชายผู้นั้นจะมีรูปลักษณ์ป่าเถื่อนและน่ากลัว แต่เขาก็มั่นคงและเป็นสุภาพบุรุษ! ข้าอาศัยในหมู่บ้านนี้มานานแต่ไม่เคยได้ยินข่าวลือแย่ๆเกี่ยวกับตัวเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีแม่สามีที่คอยควบคุมชีวิต ซึ่งเจ้าจะสามารถอยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ!”

“เนื่องจากหยุนเคอไม่มีญาติผู้ใหญ่ ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะต้องถูกเข้าใจผิดหากแต่งงานกับเขา! คราก่อนที่ซื้อบ้านได้ เพราะเจ้ามีเงินและได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้าน แต่พวกเขาคงช่วยเจ้าไม่ได้ทุกครั้ง! แต่หากแต่งงานกับหยุนเคอ ผู้ซึ่งมีบ้านหลังใหญ่และพวกเจ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งสามคน!”

หยุนเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดต่อ “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า เพราะในตอนที่หนีออกมาจากกองเพลิง ข้านำเงินที่มีออกมาด้วยและข้ามีเงินเพียงพอที่จะซื้อเสื้อผ้าให้ท่านได้เพื่อเป็นการตอบแทน”

ชื่อยิ้มพลันพยักหน้า “เช่นนั้นต้องขอบใจเจ้ามาก หลังรับประทานอาหารเสร็จเราขึ้นเกวียนไปยังหน่วยงานราชการด้วยกันเถิด หัวหน้าหมู่บ้านจะตามไปที่หลัง เราควรจะรีบไปจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นสักที!”

หยุนเถียนเถียนไม่ค่อยเข้าในระบอบการปกครองของยุคนี้ นางจึงต้องเดินทางไปกับหัวหน้าหมู่บ้าน คุกเข่าลงกล่าวเรื่องร้องเรียนต่อหน้าผู้พิพากษา พลางสาปแช่งสังคมศักดินาในใจและคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา!

ผู้พิพากษารู้สึกแปลกใจต่อเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เพราะในการตัดสินคดีนั้นไม่เคยมีหญิงผู้ใดกล้ากล่าววาจาหรือยื่นเรื่องฟ้องร้องเลย แต่เด็กสาวผู้นี้กลับพูดจารายงานทุกอย่างได้อย่างฉะฉานและคล่องแคล่ว!

เนื่องจากคดีนี้เชื่อมโยงกับคดีเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นผู้พิพากษาจึงต้องส่งขุนนางของเขาเพื่อไปอ่านเล่มคดีเก่าและเชิญเหล่าผู้เกี่ยวข้องมาด้วย

แท้จริงแล้วมณฑลป่ายเต้าอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของท่านผู้พิพากษา แต่มณฑลเห่ยเต้าอยู่ภายใต้การปกครองของนายท่านหลงเยว่!

หลงเยว่ฉลาดหลักแหลม เขาจ่ายส่วยให้รัฐบาลมากมายจนทําให้ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เช่นนี้เขาจึงสามารถควบคุมมณฑลเห่ยเต้ามานานหลายปี

หลงเยว่เปิดบ่อนและซ่องโสเภณี! ถึงจะเป็นเช่นนั้น หลงเยว่ก็ไม่เคยทําร้ายหรือยุ่งเกี่ยวกับใครเลย แม้เขาจะจับตัวคนในครอบครองของลูกหนี้มาเพื่อขัดดอก แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหาใหญ่ถึงขั้นต้องเผาบ้านใคร!

เมื่อหลงเยว่ได้รับคําเชิญจากผู้พิพากษาจึงรีบเดินทางมาทันที แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ให้ความร่วมมือกับทางผู้พิพากษาเป็นอย่างดี

“หมู่บ้านเทพธิดา… มีคนถูกเผาบ้านอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อคณะเทศมณฑลได้ยินคําถามของหลงเยว่ก็ตอบกลับด้วยความเคารพทันที “ใช่ แม่นางผู้นี้รายงานว่าท่านไปทวงหนี้ที่นั่น! พอตกกลางคืน มีคนเผาบ้านของนาง บ้านของนางถูกลอบวางเพลิงในวันเดียวกับที่นางกระทําหยาบคายต่อท่าน ช่างน่าแปลกเสียจริง!”

หลงเยวพยักหน้า แน่นอนว่าเขาจดจําหญิงผู้น่าประทับใจนี้ได้

“นางสงสัยผู้ใดหรือไม่?”

ผู้พิพากษาตอบกลับด้วยความประหม่า “ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่นางกล่าวว่าแม่เลี้ยงเป็นคนลงมือทํา!”

หลงเยว่ตอบอย่างเฉยชา “ต้องเป็นนังแม่เลี้ยงผู้นั้นแน่! อันที่จริง เฉินผิงอันผู้เป็นคนรักของหญิงนั้นยืมเงินของข้าเพื่อเล่นพนัน! ข้าจึงไปที่บ้านของเขาเพื่อทวงหนี้ แต่พวกเขาไม่มีเงินจ่าย ข้าจึงจะยึดที่ดินเพื่อแลกกับเงินยี่สิบตําลึงแทน”

“ตอนนั้นข้าเองก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน ไม่สําคัญว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้สินหรือไม่ แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาถึงขั้นกล้าหาญจุดไฟเผาบ้านเพื่อฆ่าผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย!”