บทที่ 84 สตรียุคใหม่ที่กล้าลุกขึ้นสู้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 84 สตรียุคใหม่ที่กล้าลุกขึ้นสู้

เรื่องซุบซิบนินทาดังไปถึงหูซูหม่านซิ่ว และหลายคนต่างก็ชี้นิ้วไปทางเธอ

ผู้คนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้คนที่เป็นหัวข้อสนทนานี้รู้สึกอับอาย

แต่วาจาที่ทิ่มแทงทำให้เธอรับไม่ได้ในที่สุดก็คือ คังเหรินเต๋อเป็นน้องเขยเธอไม่ใช่หรือ ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ใส่กันได้?

พูดเลยว่า ไม่ว่าจะยุคไหน ผู้คนก็เคยชินกับการใช้เจตนาร้ายในการคาดเดาผู้อื่น

เหยื่อจะมีความรู้สึดผิดบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่และยังไม่ตาย แล้วผู้คนมากมายก็จะโจมตีพวกเขา

เช่นเดียวกับตอนนี้ ซูหม่านซิ่วยังไม่ตาย แต่เธอนั้นชั่วร้าย

เธอตายแล้วและคู่ชู้ก็ได้รับโทษ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนจินตนาการ

จุดเริ่มต้นคือความทุกข์ บทสรุปคือความตาย แล้วจะมาซื้อของกับผู้ชายที่ไม่เกี่ยวข้องกันที่สหกรณ์ได้อย่างไร?

“เสี่ยวเถียน หนูกับอาออกไปก่อนนะ เดี๋ยวลุงซื้อเนื้อเสร็จจะออกไปหาพวกเธอ” เฉินจื่ออันมองไปที่ซูหม่านซิ่ว แล้วพูดกับซูเสี่ยวเถียน

เด็กหญิงคิดจะพูดอะไรสักอย่าง หากแต่ก็รู้ว่าตนเองเป็นเด็ก พูดไปก็ไม่มีประโยชน์

ทว่าในใจเธอความรู้สึกรังเกียจที่มีต่ออาเขยเล็กคงไม่มากไปกว่านี้แล้ว

ริมฝีปากของซูหม่านซิ่วกระตุก เธอต้องการอยู่เผชิญหน้ากับเขาเพราะนี่เป็นเรื่องของเธอ จะให้ความซื่อสัตย์ของหัวหน้าเฉินมาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้

“ฉัน…”

“ลุงเฉิน ให้พวกเราคอยดูอยู่ด้านข้างเถอะ!” ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความหมายของอาใหญ่จึงยิ้มอ่อน “อาของหนูไม่สามารถแอบอยู่ข้างหลังเพื่อให้คนอื่นปกป้องไปได้ตลอดชีวิตหรอกนะ เธอต้องเผชิญหน้าด้วยตัวเอง”

เมื่อเฉินจื่ออันคิด ก็เป็นเหตุผลเช่นเดียวกัน เขาไม่สามารถปกป้องอยู่ข้างกายซูหม่านซิ่วไปได้ตลอด

“สหายท่านนี้ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ในเมื่อคุณรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นก็ควรรู้ว่าซูหม่านซิ่วถูกตระกูลหวังข่มเหงอย่างไร”

“การที่คุณเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ถูกข่มเหงแล้วยังพูดจาแบบนี้อีก เห็นได้ชัดเลยว่าคุณเป็นคนที่ซึ่งความชอบธรรม”

“คนแบบนี้ ถ้ายังอยู่ในนี้จะเป็นอันตรายมาก กลับไปผมจะไปคุยกับหัวหน้าของพวกคุณ ให้เขาอบรมทัศนคติพวกคุณให้มากกว่านี้”

ตอนนี้คังเหรินเต๋อไม่คาดคิดว่า สิ่งที่คนตรงหน้าพูดว่าจะให้หัวหน้าของเขาอบรมด้านทัศนคติพวกเขาให้มากขึ้นจะเป็นเรื่องจริง คิดว่าเขาเพียงพูดไปเท่านั้น

และไม่คาดคิดอีกว่า การที่อีกฝ่ายบอกจะไปหาหัวหน้าของคังเหรินเต๋อไม่ใช่หัวหน้าสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแห่งนี้ แต่เป็นหัวหน้าใหญ่ที่อยู่ในตัวเมืองอำเภอต่างหาก!

“สหาย ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากจะบอกว่าซูหม่านซิ่วเป็นผู้หญิงหน้าเนื้อใจเสื้อ แม้แต่สามีก็ส่งไปเหมืองได้ อย่าได้ถูกเธอหลอกเชียวล่ะ!”

ผู้หญิงเช่นนี้ จะงดงามแบบนี้ได้อย่างไร?

“เธอถูกสามีทุบตี ถูกครอบครัวสามีข่มเหง แล้วควรเงียบปากไว้หรือ? ทัศนคติเกี่ยวระบอบศักดินาเก่า ๆ ของคุณควรทิ้งไปตั้งนานแล้ว สหายซูหม่านซิ่วเป็นผู้หญิงยุคใหม่ เธอมีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้กับพวกความคิดเก่า จึงได้หย่ากับหวังเจี่ยฟ่างแล้ว”

หย่าแล้ว?

สายตาของทุกคนที่มองมายังซูหม่านซิ่วแตกต่างกันไปเล็กน้อย

ผู้หญิงคนหนึ่งทำให้สามีต้องถูกส่งไปเหมือง ทั้งยังหย่าร้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน?

แต่สิ่งที่สหายท่านนี้พูดดูสมเหตุสมผล ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วที่จะต่อสู้กับความคิดระบบศักดินา

“หวังเจี่ยฟ่างกับแม่ม่ายรองเท้าขาดกำลังตั้งครรภ์ ฝ่ายชายบังคับให้ภรรยาคนแรกโดดน้ำ อีกทั้งวันต่อมายังเข้าพิธีแต่งงงานกับแม่ม่ายรองเท้าขาดคนนั้น ฉันสนับสนุนสหายซูหม่านซิ่วให้หย่าร้าง!”

ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงการสนับสนุน

พอมีคนแรก ย่อมมีคนที่สอง คนที่สามตามมา

โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่รู้สึกแบบเดียวกัน

ซูหม่านซิ่วน้ำตาคลอเบ้า หลายปีที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าการถูกคนปกป้องมันรู้สึกอย่างไร

มีแค่หวังเจี่ยฟ่างที่ตบตีเธอเท่านั้น ไม่เคยมีความคิดจะปกป้องตั้งแต่แรก

“น้องใหญ่ สิ่งที่เธอทำถูกต้องแล้ว ตอนนี้เป็นสังคมยุคใหม่ซึ่งไม่เหมือนกับที่ผ่านมา เธอยังอายุน้อย จากนี้ไปจะมีอนาคตที่ดีขึ้น” พี่หลิวเดินขึ้นไปหาซูหม่านซิ่วแล้วพูด

เธอโม้ว่าเป็นผู้หญิงยุคใหม่มาโดยตลอด ซึ่ง ณ เวลานี้เธอต้องลุกขึ้นเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง

ซูเสี่ยวเถียนมองไปที่เฉินจื่ออันด้วยแววตาเป็นประกาย เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้ภาพลักษณ์ของอาใหญ่สูงขึ้นมาก

การเป็นผู้นำก็คือการเป็นผู้นำ ซึ่งมันไม่ง่ายดายเลย

แต่คังเหรินเต๋อจะปล่อยให้มันสูญเปล่าไม่ได้

ซูเสี่ยวเถียนเห็นว่าเรื่องราวใกล้จะจบ จึงเดินขึ้นหน้าไปเผชิญกับคังเหรินเต๋อแล้วตะโกนอย่างเฉียบขาด “อาเขย!”

แค่สองคำเท่านั้น และไม่มีคำพูดอื่นใดอีก

แต่เมื่อคนรอบข้างมองไปที่คังเหรินเต๋อ การแสดงออกของพวกเขาก็ไม่เป็นมิตร

คนหนึ่งคืออาใหญ่ คนหนึ่งคืออาเขยซึ่งเป็นพนักงานสหกรณ์ และเป็นสามีของน้องสาวสหายท่านนี้

ไม่เคยเห็นน้องเขยใส่ร้ายพี่สาวของภรรยาอย่างเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน

แม้แต่พี่หลิวเอง ยามที่เธอมองไปยังคังเหรินเต๋อก็มีความดูหมิ่นด้วย

ก่อนหน้านี้เสี่ยวคังถือว่าเป็นคนที่รู้ความ ทว่าตอนนี้กลับเหมือนคนโง่เง่า จะทำลายชื่อเสียงของครอบครัวตัวเองไปเพื่ออะไร?

คังเหรินเต๋อไม่ได้คาดหวังว่าแววตาดูถูกเหยียดหยามซูหม่านซิ่วก่อนหน้านี้จะเบนมาหาตน

จากนั้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นหัวรุนแรงเกินไป ลืมไปชั่วขณะว่าซูหม่านซิ่วเป็นญาติ

แต่เฉินจื่ออันและคนอื่น ๆ ไม่ได้มองไปที่คังเหรินเต๋ออีกต่อไป พอซื้อเนื้อเสร็จก็เดินจากไปทันที

หลังก้าวเท้าออกจากประตูสหกรณ์ ซูหม่านซิ่วเดินอยู่ที่ข้างกายเฉินจื่ออัน เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “เมื่อครู่ขอบคุณนะคะ!”

มุมปากของเฉินจื่ออันโค้งเล็กน้อย แล้วตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไรครับ”

ซูเสี่ยวเถียนเดินตามหลังสองคนนี้ ทันใดนั้นก็คิดว่าระหว่างสองคนนี้ดูเหมือนจะมีโอกาสอันดีงาม!

ครั้นกลับมาถึงบ้าน เด็กหญิงก็บอกคุณย่าซูถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสหกรณ์วันนี้

พอท่านได้ยินคังเหรินเต๋อทำอย่างนั้น ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโมโห จึงก่นด่าลูกเขยตนเองอยู่พักใหญ่ แล้วยังด่าซูหม่านเซียงที่ยังรักยังห่วงอยู่ไปอีกรอบ

ตลอดชีวิตนั้น เธอประสบความสำเร็จในการเลือกลูกสะใภ้ได้ดีทั้งสามคน แต่สามีของลูกสาวล้วนเสียเปรียบ แต่ละคนไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย

“โชคดีที่ตัดขาดกันไปแล้ว จากนี้ไปถ้าพบหน้ากันก็ไม่ต้องไปทักทาย!” คุณย่าซูพูดกับซูเสี่ยวเถียนอย่างโกรธเคือง

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าหงึกหงัก เธอเองก็ไม่ชอบตระกูลคังเช่นกัน

ส่วนลูกสะใภ้ทั้งสามของบ้านยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อพบหน้าน้องใหญ่ต่างโล่งใจ และต่างก็ยุ่งอยู่กับการทำงานในมือด้วย