บทที่ 110 เหตุใดจึงแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้
บทที่ 110 เหตุใดจึงแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้
แต่เสี่ยวเป่าไม่ได้รับปาก เหอ ๆ เสี่ยวเป่าไม่รับปากก็เท่ากับไม่เห็นด้วย!
หนานกงหลีไม่ได้รับรู้ถึงความในใจของเด็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรับรู้เพียงความสุขที่เสี่ยวเป่าส่งเสียงขานรับ
เสี่ยวเป่าส่งมอบเสื้อผ้าถึงมือพี่ใหญ่แล้วก็เอ่ยออกมาว่า “นี่เป็นสิ่งที่พระสนมฝากเสี่ยวเป่ามามอบให้ท่านเพคะ”
“อืม ลำบากเสี่ยวเป่าแล้ว”
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยเพคะ”
หลังออกจากวังหลวง นางก็ยุ่งเป็นอย่างมาก พักหนึ่งไปที่จวนของพี่ใหญ่ อีกพักหนึ่งก็วิ่งไปที่จวนของท่านอาเจ็ด
เช้าตรู่วันนี้ เหล่าคุณชายจากจวนเซียวเหยาอ๋องต่างพากันออกไปจับกุ้งก้ามแดง กุ้งก้ามแดงที่ถูกจับได้ทั้งหมดจึงถูกลำเลียงไปที่จวนเซียวเหยาอ๋องทีละถัง
ตอนนั้น ทุกสายตาล้วนมองมาที่พวกเขาราวกับมองคนโง่เขลา มีบางคนถึงกับเอ่ยวาจาเยาะเย้ยถากถางเสียด้วยซ้ำ
แน่นอน เมื่อพวกเขามีคนมากและต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยถากถางย่อมต้องตอกกลับไปอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลงไม้ลงมืออันใดกับพวกเขา
การมีพี่น้องมากทั้งยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสะท้อนผลดีออกมาให้เห็นในครั้งนี้
อันที่จริง เหล่าขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงก็ไม่ค่อยจะเข้ามาในบ้านนี้เท่าไหร่นัก สกุลทั่วไปโดยปกติแล้ว บุตรภรรยาเอกและบุตรสายรองมักเต็มไปด้วยการวางแผนสกปรกโสมม ความสัมพันธ์ไม่อาจนับว่าดีได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวเลยว่า สวนหลังบ้านของคนแทบทั้งหมดยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหน เหล่าภรรยาอนุต่างต่อสู้แก่งแย่งชิงดีกัน หากประมาทเพียงนิดอาจต้องหลั่งเลือด
ทว่าในครอบครัวนี้ไม่เพียงไม่แก่งแย่งชิงดี เหล่าบุตรภรรยาเอกและบุตรอนุต่างสมานฉันท์กันเป็นอย่างดี อีกทั้งส่วนใหญ่ยังอยู่ในสำนักศึกษากั๋วจือเจียน*[1] ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็สามารถเรียกให้พี่น้องคนอื่นมาช่วยเหลือได้
ดังนั้น เหล่าคนที่ศึกษาอยู่ในสำนักศึกษากั๋วจือเจียนจึงไม่กล้ายั่วยุคนของเซียวเหยาอ๋องง่าย ๆ เพราะการยั่วยุคนหนึ่งก็เท่ากับการยั่วยุพวกเขาทั้งหมด
สิ่งนี้แปลกประหลาดเช่นเดียวกับเซียวเหยาอ๋อง!
มีคนจำนวนมากไม่ชอบพวกเขา และก็มีคนไม่น้อยเอ่ยถึงพวกเขาลับหลัง
“ได้ข่าวว่าสองวันมานี้ จวนของเซียวเหยาอ๋องลำเลียงกุ้งก้ามแดงเข้าไปจำนวนมาก หรือว่าเงินของจวนเซียวเหยาอ๋องจะถูกพ่อลูกผลาญจนหมดแล้ว?”
ณ ที่ใดสักแห่งในเหลาอาหาร กลุ่มศิษย์ในชุดสำนักศึกษาสีเขียวอ่อนนั่งกินดื่มพลางสนทนากัน
ใจความหลักของบทสนทนาเกี่ยวข้องกับจวนเซียวเหยาอ๋อง
หากพวกหนานกงเหิงอยู่ที่นี่คงจะรู้ได้ทันทีว่า คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ต่อสู้กับพวกเขาในสำนักศึกษากั๋วจือเจียนในเทศกาลที่ผ่านมา
แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นจึงเกิดความคับแค้นชิงชังเหล่าพี่น้องจากจวนเซียวเหยาหวังขึ้นมาจริง ๆ
“ไม่รู้ว่าพวกหนานกงเหิงเป็นบ้าอันใด หลังจากตกกุ้งก้ามแดงได้มากขนาดนั้นยังยิ้มแย้มแจ่มใส หรือเซียวเหยาอ๋องจะกินของระดับต่ำเช่นนี้ ช่างขายหน้าผู้คนเสียจริง”
“มีคนกินสิ่งนั้นด้วยหรือ? มันดูน่าเกลียดถึงเพียงนี้ ได้ยินมาว่ากระทั่งสัตว์เลี้ยงบางตัวยังไม่ชอบกินมันด้วยซ้ำ”
“รสนิยมด้านอาหารของจวนเซียวเหยาอ๋องอาจแตกต่างจากคนทั่วไป ฮ่าฮ่าฮ่า…”
มีบางคนหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง ไม่คาดเลยว่าหลังจากนี้เพียงไม่นาน พวกเขาจะต้องตบปากตนเอง
ในขณะเดียวกัน กุ้งก้ามแดงที่ถูกคนเหล่านี้เหน็บแหนมว่าเป็นอาหารชั้นต่ำก็กำลังถูกคนรับใช้ในจวนเซียวเหยาอ๋องทำความสะอาดและดึงเส้นดำด้านหลังออกมา เหล่าพ่อครัวหลายคนกำลังเริ่มทำการปรุงกุ้งก้ามแดงตามการกำกับของเสี่ยวเป่า
เมื่อมีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้ว วันนี้ทุกคนจึงทำด้วยความตื่นเต้นคึกคัก
พวกเขานำกุ้งมังกรน้อยลงไปทอดในน้ำมันอุณหภูมิสูงก่อน หลังจากนั้นก็ปรุงรสชาติต่าง ๆ ลงไป
หมาล่า กระเทียมสับ ห้าเครื่องเทศ พริกสับ ซอสเปรี้ยวหวาน…
วันนี้พวกเขาจับกุ้งมังกรน้อยได้เป็นจำนวนมาก แต่ละคนล้วนปรุงคนละหนึ่งกระทะใหญ่
แทบตลอดทั้งเช้า จวนเชียวเหยาอ๋องมีกลิ่นหอมลอยฟุ้ง กระจายไปจนถึงบ้านของราชครูหลีที่อยู่ตรงข้ามกัน
หลีรุ่นกำลังช่วยท่านแม่ผู้แก่ชราดูแลแปลงผัก เมื่อเขาได้เมล็ดพันธุ์จากองค์หญิงน้อย หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว เขาก็พาท่านแม่ไปช่วยกันถางพื้นที่ในลานบ้านมาปลูกพืชพรรณ
พวกเขาไม่ได้ทำสวนมานานแล้ว หลังจากลงแรงไปไม่นานก็เหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
มารดาของเขาเองก็เหนื่อยเช่นกัน แต่นางก็ยังพูดจ้อเรื่องความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชออกมามากมาย จนมองเห็นรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นมารดาของตนเองเป็นเช่นนี้แล้ว หลีรุ่นก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องแล้ว
ได้ออกแรงขุดดินปลูกผักวันละนิด ร่างกายของนางก็ดีขึ้นอย่างช้า ๆ
เมื่อได้เห็นท่านแม่มีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังกินข้าวมากกว่าครึ่งชามในทุกวัน ภายในใจของหลีรุ่นยิ่งรู้สึกขอบคุณองค์หญิงเก้ามากขึ้นเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง เขาเองคงจะคิดเรื่องนี้ด้วยตนเองไม่ออก
วันนี้หลีรุ่นพาท่านแม่ออกไปกำจัดวัชพืชที่สวนผัก แต่กลับได้กลิ่นหอมลอยโชยมาจากจวนฝั่งตรงข้ามเสียได้
ท่านแม่ของหลีรุ่นเองก็ขยับจมูกฟุดฟิด “นี่มันอะไรกัน? กลิ่นหอมยิ่งนัก”
หลีรุ่น ‘เซียวเหยาอ๋องกำลังจะทำสิ่งใดอีกแล้ว!’
เขาเอ่ยขึ้นมาในใจด้วยความชิงชัง เพราะยังจดจำได้ถึงภาพอักษรของตนเองที่โดนคนผู้นั้นทำลายไป
อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว แต่กลับยังคงพาลูกชายออกมาเที่ยวเล่นทุกวัน บางครั้งบางคราวก็มาเคาะประตูบ้านเขา หรือไม่ก็แอบปีนข้ามกำแพงเพื่อลอบขโมยสุราที่ฝังเอาไว้ใต้ต้นสาลี่
เซียวเหยาอ๋องผู้นี้ช่างทำตัวล่อมือล่อเท้าเสียจริง!
“แม้เซียวเหยาอ๋องจะดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่เนื้อแท้แล้วเป็นคนจิตใจดี ก่อนหน้านี้ เขายังช่วยพยุงข้าก่อนจากไป นับได้ว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย”
หลีรุ่น “…”
นี่แอบเข้าบ้านเขามาขุดหาสุราอีกแล้วเรอะ!
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ประตูบ้านของพวกเขาก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
เมื่อหลีรุ่นไปเปิดประตู สิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงชวนหมั่นไส้ของเซียวเหยาอ๋อง ทำให้เขาแทบจะอยากปิดประตูใส่หน้า!
หลังจากนั้น ชายชราก็สัมผัสได้ว่าชายเสื้อของตนเองถูกดึง เมื่อเขาก้มมองก็พบว่านั่นคือองค์หญิงเก้า!
“องค์หญิง เหตุใดพระองค์จึงออกมาจากพระราชวังเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อพบกับเด็กน้อย ใบหน้าของหลีรุ่นก็กลายเป็นอ่อนโยนภายในพริบตา นั่นทำให้หนานกงหลีไม่พอใจขึ้นมา
เหตุใดกัน? ใบหน้าของเขาไม่ดึงดูดหรือ?
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มหวาน
“เสี่ยวเป่ามาหาพี่ใหญ่แล้วก็ท่านอาเจ็ด พวกเรากำลังทำกุ้งมังกรน้อย จึงอยากมาชวนท่านราชครูไปทานด้วยกัน”
เมื่อรู้ว่าฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านของราชครู เสี่ยวเป่าที่ยึดหลักการว่าทุกคนที่รู้จักล้วนเป็นสหาย จึงอยากมาชวนท่านราชครูไปร่วมทานอาหารด้วยกัน
วันนี้พวกเขาทำกุ้งมังกรน้อยไว้จำนวนมาก เผื่อไว้สำหรับส่งให้ท่านพ่อและเหล่าพี่ชาย
“กุ้งมังกรน้อย?”
เสียงเกียจคร้านยานคางของหนานกงหลีดังขึ้น “มันคือกุ้งก้ามแดง”
สีหน้าของหลีรุ่นประหลาดใจเล็กน้อย “กุ้งก้ามแดง สิ่งนั้นสามารถกินได้หรือ?”
หนานกงหลีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กินแล้วก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้สาระมากมาย ตอบแค่จะไปหรือไม่ก็เพียงพอ”
เมื่อหลีรุ่นเห็นเขาก็นึกถึงภาพอักษรและจานฝนหมึกของตนเองขึ้นมาทันที
“เซียวเหยาอ๋องกล่าวล้อเล่นแล้ว ชายชราผู้นี้ย่อม…ไป!”
เหอ ๆ เขาต้องการจะดูว่าเซียวเหยาอ๋องผู้นี้กำลังเล่นลูกไม้หรือจริงใจ นอกจากนี้ หากไม่ได้กินสิ่งใดจากจวนของเซียวเหยาอ๋องบ้าง เขาคงต้องรู้สึกติดค้างในใจอยู่อีกนานแน่
แม้หลีรุ่นจะเป็นสุภาพชนอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่คนจำพวกหัวรั้นดื้อดึง ไม่เช่นนั้น เหล่าบรรดาองค์ชายในวังคงไม่ชอบวิชาเรียนของเขา
เขาเดินตามไปยังจวนเซียวเหยาอ๋อง เมื่อเห็นหนานกงฉีซิวก็ยกมือคำนับ
“จิ้นอ๋องเองก็อยู่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ท่านราชครู”
หนานกงฉีซิวพยักหน้าเล็กน้อย ระหว่างนั้นก็ลูบเจ้าโร่วโร่วที่คอยวนเวียนอยู่รอบเท้าเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกุ้งก้ามแดงถูกวางลง ราชครูก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
กลิ่นหอมก่อนหน้านี้ที่รับรู้ได้จากในบ้านเป็นกลิ่นของกุ้งก้ามแดง!
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
นี่คือกุ้งก้ามแดงที่เหล่าขุนนางปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี?
เพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องกุ้งก้ามแดง หลีรุ่นเองเคยสั่งให้คนไปนำกุ้งก้ามแดงมาลองทำเป็นอาหาร แต่เพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว เขาก็ไม่อยากกินมันอีกแล้ว
กลิ่นคาวของมันแรงเกินไป เนื้อน้อยแต่เปลือกเยอะ นำไปผัดหรือทอดอย่างไรก็ไม่อร่อย ไม่มีทางมีกลิ่นหอมดังเช่นตอนนี้อย่างแน่นอน
หลี่รุ่นฉงนใจ ‘…พวกมันเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่เหตุใดจึงแตกต่างกันมากเพียงนี้?’
เพราะมีจำนวนมากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกจัดวางไว้ในถาดเคลือบขนาดใหญ่ กุ้งก้ามแดงถูกจัดเรียงเป็นระเบียบเต็มจนล้น แต่ละตัวล้วนดูอ้วนพีสมบูรณ์น่ากินเป็นอย่างยิ่ง
[1] สำนักศึกษากั๋วจือเจียน (国子监读书) คือ สถานศึกษาสูงสุดในสมัยจีนโบราณ ก่อตั้งในสมัยราชวงศ์จิ้น