บทที่ 88 ถูกกระชากกระเป๋า

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ไม่เป็นไรค่ะ” วารุณีส่ายหัว

ใบหน้าที่เกร็งของนัทธีก็อ่อนโยนลงมา “งั้นก็ดีแล้ว”

“ฮ่าๆ ประธานนัทธี ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่หมั้นช่างดีเหลือเกิน” กรรมการคนหนึ่งก็พูดขึ้นมากะทันหัน

วารุณีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กำลังจะพูดว่าตัวเองนั้นไม่ใช่คู่หมั้นของนัทธี นัทธีก็ได้เอ่ยปากพูดเสียก่อน “ขอบคุณ”

วารุณีมองเขาอย่างตกตะลึง “ประธานนัทธี ทำไมคุณ………..”

ยังพูดไม่ทันจบ นัทธีก็ขัดจังหวะพูดของเธอ “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เรื่องบางเรื่อง ยิ่งอธิบายก็จะยิ่งทำให้คนไม่เชื่อ รังแต่จะเสียเวลาเท่านั้น”

ได้ยินแบบนี้ วารุณีก็พยักหน้าเล็กน้อย “พูดก็ถูก”

“คุณดื่มอันนี้” นัทธีได้หยิบน้ำส้มแก้วหนึ่งมาวางตรงหน้าของเธอ

วารุณีมองไปแวบหนึ่ง “น้ำส้ม?”

“อืม เมื่อวานคุณเพิ่งจะดื่มไป คืนนี้ก็อย่าดื่มเลย ผมไม่อยากให้คุณอ้วกใส่รถผมอีก” นัทธียกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาดื่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

วารุณีหน้าแดงแล้ว ก้มหน้าอย่างรู้สึกเขินอาย “ค่ะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องวีไอพี

จนกระทั่งเธอเข้าห้องน้ำออกมา ตอนที่เดินกลับมา จู่ๆก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินผ่านปลายระเบียงทางเดิน

“พิชญา?”

วารุณีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมพิชญาถึงมาอยู่ตรงนี้?

อีกอย่างดูท่าทางของเธอแล้ว เหมือนกับลับๆล่อๆ

คงไม่ใช่กำลังทำเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้หรอกมั้ง?

วารุณีกัดริมฝีปาก ลังเลไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจตามไปดู

และแล้วเมื่อเธอเดินตามไป ก็ไม่เห็นเงาของพิชญาแล้ว

“คนล่ะ?” วารุณีบ่นอย่างสงสัย

ตรงนี้ไม่มีห้องวีไอพี และก็ไม่มีห้อง มีเพียงลิฟต์และทางเดินหนีไฟ พิชญาน่าจะไปแล้วมั้ง

ขณะที่คิด วารุณีก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย เตรียมตัวจะเดินกลับไป

แต่ในเวลานี้ เสียงของพิชญา ทันใดนั้นก็ได้ดังมาทางบันไดหนีไฟ “ของล่ะ?”

วารุณีรีบหันหลังกลับไป เดินย่องเข้าไปใกล้กับทางบันไดหนีไฟ

หลังจากเข้าใกล้แล้ว เธอก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของผู้ชาย “อยู่ตรงนี้”

“รีบเอามาให้ฉัน!” ด้านในประตูบันไดหนีไฟ พิชญามองขวดเล็กๆที่อยู่ในมือของชายผู้นั้น ใบหน้าก็หน้าก็ปรากฏด้วยความตื่นเต้น เอื้อมมือไปคว้ามันอย่างอดรนทนไม่ได้

แต่เมื่อมือของเธอเกือบจะคว้ามันมาได้ ชายผู้นั้นก็ได้เก็บขวดไปทันที

สีหน้าของพิชญาแย่มาก “นายหมายความว่ายังไง?”

ชายผู้นั้นหัวเราะแฮ่ๆ “อย่าใจร้อนสิ ของน่ะฉันต้องให้เธออยู่แล้ว เพียงแต่………..”

เขามองสำรวจพิชญาด้วยสายตาที่หยาบคาย

พิชญามองออกว่าเขาต้องการอะไร หรี่ตาลง ปิดซ่อนความขยะแขยงในแววตา “ฉันขอเตือนนายเลิกคิดบ้าๆได้แล้ว ฉันเป็นถึงคู่หมั้นของนัทธีเลยนะ”

“ฉันรู้แล้ว แล้วจะยังไง ในเมื่อเธอก็เคยนอนกับฉันมาแล้ว” ชายผู้นี้ไม่เห็นด้วย

ด้านนอกประตู วารุณีได้ยินคำพูดนี้ ตกใจจนกุมปาเอาไว้ หลีกเลี่ยงตัวเองนั้นส่งเสียงตกใจออกมา

พระเจ้า!

เธอได้ยินอะไรเนี่ย พิชญานั้นสวมเขาให้กับนัทธี!

“ครั้งนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ เพราะฉันเมา” พิชญากำหมัดคำรามใส่เขา

ชายผู้นี้เบ้ปาก “พอได้แล้ว ครั้งที่แล้วเธอเมา เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นตั้งใจเมา ก็เพราะต้องการหาผู้ชายสักคนมาคลายเหงา อย่ามาพูดจาให้ตัวเองดูมีเกียรติหน่อยเลย”

“แก………..” พิชญาถูกเขาทำให้โกรธอย่างมาก

ชายผู้นี้โบกมือ “เอาล่ะ เอาล่ะ คำเดียว คืนนี้นอนกับฉัน ไม่เช่นนั้น……..”

“ฉันรู้แล้ว” ในมือของผู้ชายคนนี้เหมือนมีความลับอะไรอยู่ พิชญากัดฟันเห็นด้วย

ผ่านไปไม่นาน ด้านในก็ดังขึ้นด้วยเสียงชายหญิงกำลังพลอดรักกัน

วารุณีใจเต้นระทึก ไปจากตรงนี้อย่างตกใจทำอะไรไม่ถูก

กลับไปที่ห้องวีไอพี เธอนั่งลงด้วยสีหน้าที่ซีดเล็กน้อย

นัทธีที่เหล่มองเธอเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว กระซิบถาม “คุณเป็นอะไร?”

“เมื่อกี้ฉัน……..” วารุณีกำลังจะพูดในสิ่งที่ตัวเองเห็น จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้ ก็รีบกลับคำ ไม่มีอะไร ตอนที่ฉันเดินกลับมา บังเอิญเห็นหนู วิ่งฝ่าออก ตกใจแทบแย่”

“ในโรงแรมมีหนู?” นัทธีหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ

วารุณีไม่กล้าสบตาเขา ยกแก้วน้ำส้มที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม ตอบอย่างละอายใจ “ใช่ค่ะ ตัวใหญ่มาก น่าจะวิ่งมาจากข้างนอกมั้ง”

“งั้นเหรอ ดูท่าผมต้องบอกทางโรงแรมถึงเรื่องสุขอนามัยแล้ว” นัทธีหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดปาก

วารุณียิ้มแห้งๆ ก็ไม่ได้พูดต่อ

ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะบอกเรื่องที่เธอไปเห็นมา แต่ว่าสถานที่มันไม่เหมาะสม ตอนนี้กำลังทานข้าวกับแขกอยู่ หากเธอพูดออกไป ด้วยนิสัยของเขา การทานอาหารก็คงต้องสิ้นสุดตรงนี้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง หากเขารู้เรื่องที่ถูกสวมเขาจากปากของคนอื่น อย่างไรเสียก็คงจะรู้สึกอายบ้าง ดังนั้นเธอคิดว่าให้ตัวเขารู้เองจะดีกว่า เธอสามารถที่จะเตือนเขาอย่างอ้อมๆ

จากนั้นเวลาที่เหลือ ใจของวารุณีก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย เอาแต่คิดว่าจะเตือนเขายังไงเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกสวมเขา จนกระทั่งเสร็จสิ้นการทานอาหาร เธอยังคงคิดหาวิธีที่ดีไม่ได้แม้แต่วิธีเดียว

หลังจากร่ำลากรรมการทั้งหมด วารุณีเดินตามนัทธีออกจากโรงแรม

ลมเย็นพัดมา เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ลูบผิวหนังตรงแขนที่ขนลุกซู่

นัทธีเหลือบมาเห็นเข้า ก็ได้ถอดสูทตัวนอกโยนไปบนหัวของเธอ

วารุณีตกใจเล็กน้อย “ประธานนัทธี?”

“คลุมมันซะ การเปิดแฟชั่นโชว์‘Bath fire rebirth’มีเพียงแค่สี่วัน คุณห้ามป่วยและต้องไป เข้าใจมั้ย?” นัทธีที่ใส่เสื้อเชิ้ต มองเธอแล้วกล่าว

วารุณีสัมผัสถึงไออุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในสูท พยักหน้าโดยสัญชาตญาณ “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ ประธานนัทธี”

“ไปเถอะ เดินไปตรงถนน ไม่ช้ามารุตก็จะขับรถมาถึง” นัทธีเอามือสอดเข้าไปในกางเกง เดินไปตรงถนน

วารุณีรวบสูทของเขา ยิ้มแล้วเดินตามไป

ที่แปลงดอกไม้ริมถนน นักเลงคนหนึ่งเห็นวารุณี ก็รีบหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา พอเปรียบเทียบแล้ว เขาก็ทิ้งก้นบุหรี่และยืนขึ้น วิ่งไปทางวารุณีอย่างรวดเร็ว

จากนั้นวารุณีรู้สึกเพียงว่าไหล่ของเธอเจ็บมาก กระเป๋าก็หายไปแล้ว

เธอยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรู้สึกตัว ตะโกนไปยังผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าอย่างร้อนใจ “ประธานนัทธี ฉันถูกกระชากกระเป๋า!”

“อะไรนะ?” นัทธีแววตาหยุดนิ่ง “ในนั้นมีของที่มีค่าอะไรหรือเปล่า?”

“มีแฟลชไดร์ฟอันหนึ่ง ซึ่งด้านในล้วนเป็นแบบที่ฉันเลือกออกมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นแบบที่ได้รับการแก้ไขแล้ว มันแบบใหม่ที่จะใช้ในฤดูใบไม้ร่วงของบริษัท พรุ่งนี้จะส่งมอบให้ผู้ผลิต” วารุณีตอบอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ที่พิชญาใช้ให้พี่บุษบามาขโมยแบบของเธอไป เธอก็มีนิสัยที่จะสำรองงานไว้ในแฟลชไดร์ฟ พกอยู่กับตัว ก็เพราะกลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก

คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์แบบนั้นไม่มีแล้ว แต่กลับเกิดการโจรกรรมขึ้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ วารุณีก็กัดฟัน “ไม่ได้ ฉันต้องตามมันไป ถ้าหากไอ้โจรคนนั้นมันเอาไปแต่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ แล้วทิ้งของอย่างอื่นไปมันต้องมีเรื่องยุ่งแน่”

ขณะที่พูด เธอก็ถอดเสื้อสูทออกกำลังจะวิ่งตาม

นัทธีได้ขวางเธอเอาไว้ “ผมไปเอง คุณอยู่ที่นี่โทรแจ้งตำรวจ และรอมารุตด้วย”

“แต่ว่า………..”

นัทธียังไม่ได้ให้โอกาสวารุณีพูด ดึงเนคไทลงมาแล้วโยนใส่มือเธอ ก็วิ่งตามเส้นทางที่โจรวิ่งหนีไป

“เร็วมาก!” วารุณีเห็นฝีเท้าในการวิ่งของนัทธี อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ

เธอเข้าใจมาโดยตลอด อย่างเขาที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเป็นระยะเวลานาน สภาพร่างกายคงไม่ค่อยเท่าไหร่

ไม่เลย เธอเข้าใจผิดอย่างมหันต์

“คุณวารุณี” ขณะนี้ รถโรลส์-รอยซ์ แฟนท่อมคันหนึ่งก็ได้มาจอดตรงหน้าของวารุณี

กระจกรถถูกเลื่อนลงมา ใบหน้าของมารุตก็โผล่มากลางอากาศ “ทำไมคุณอยู่ตรงนี้คนเดียว ประธานนัทธีล่ะ?”

วารุณีจึงรู้สึกตัว รีบเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง “ประธานนัทธีวิ่งตามโจรไปแล้ว”

“อะไรนะ?” มารุตถามด้วยเสียงสูง