บทที่ 104 แผลเป็นฝังลึกอยู่ในใจ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าสตรีในห้องโถงใหญ่ก็มองไปทางด้านข้าง

บางคนพร้อมที่จะรับชมการแสดงที่ดี บางคนมีความหวังริบหรี่ในดวงตาและรู้สึกว่าในที่สุดก็มีคนก้าวออกไปแทนพวกนางแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าพระสนมบ้าบิ่นและกล้าที่จะต่อกรกับพระชายาขององค์รัชทายาท

“พระชายาหลี่ชิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าชาในตำหนักนี้ไม่ดีพออย่างนั้นหรือ?” ต๋งเหม่ยจิงยกยิ้มแทนที่จะโกรธ ราวกับว่านางกำลังรอคำตอบของฉินปู้เข่อ

ฉินปู้เข่อหยิบที่คีบชาออกจากถาดชุดน้ำชาบนโต๊ะอย่างช้า ๆ แล้วคีบตะขาบออกมาจากกาน้ำชาของนาง ยกมันขึ้นตรงหน้าแล้วมองอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงนั่งลงและเขี่ยตะขาบให้กลิ้งไปมาบนพื้น

“พระชายาขององค์รัชทายาท ท่านไม่คิดว่าตะขาบในกาน้ำชาของหม่อมฉันตัวเล็กไปหน่อยหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อมองขึ้นไปยังต๋งเหม่ยจิงซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ท่านดูถูกตำหนักอ๋องหลี่ชินหรือเพคะ ทุกคนล้วนเป็นองค์หญิงและพระชายา ทว่าเหตุใดตะขาบในกาน้ำชาของน้องสาวองค์หญิงสองถึงได้หนาเป็นสองเท่าและยาวกว่าของหม่อมฉันนักเล่าเพคะ?”

ต๋งเหม่ยจิง “…”

ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พระชายาหลี่ชินสนใจผิดจุดไปหรือไม่ ถึงเวลาถามแล้วหรือยังว่าเหตุใดจึงมีตะขาบอยู่ในกาน้ำชา แต่เหตุใดนางถึงเปรียบเทียบขนาดของตะขาบแทนเล่า?

เมื่อเห็นว่าต๋งเหม่ยจิงไม่ตอบ ฉินปู้เข่อจึงหยิบถ้วยกระเบื้องเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ วางตะขาบในมือด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบตะขาบที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นใส่ลงในถ้วยกระเบื้องขนาดเล็กนั้น แล้วอธิบายว่า

“ท่านอ๋องของหม่อมฉันอ่อนแอ ทุกฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เขาจะต้องดื่มสุราตะขาบเพื่อปัดเป่าความหนาวเย็นและความชื้น สุราตะขาบเป็นสิ่งที่ดี การบริโภคสามารถเสริมสร้างร่างกาย และการทาสามารถลดอาการบวมและใช้ห้ามเลือด อีกทั้งยังสามารถใช้ได้เมื่อฟกช้ำเพคะ”

“แต่พระชายาขององค์รัชทายาทอาจจะไม่ทรงทราบว่า ตะขาบตัวนี้ต้องมีชีวิตและดิ้นได้จึงจะเป็นยารักษาโรคชนิดหนึ่งเมื่อเทสุราลงไป ฉะนั้นตะขาบปรุงสุกเช่นนี้จะมีสรรพคุณที่ไม่ค่อยดีนัก หม่อมฉันหวังว่าคราวหน้าท่านจะประทานให้แก่หม่อมฉันโดยไม่ต้องใส่มันในกาน้ำชานะเพคะ”

ต๋งเหม่ยจิงหรี่ตาและแสยะยิ้ม “พระชายาเจ็ดห่วงใยอ๋องหลี่ชินเสมอ ช่างเป็นเรื่องที่น่ารักเสียจริง หากพระชายาคิดว่าสิ่งที่ข้ามอบให้ในวันนี้นั้นเล็กเกินไป เหตุใดข้าจะไม่หาตัวที่ใหญ่กว่าแล้วให้คนส่งไปให้เจ้าเล่า?”

“เพคะ เช่นนั้นก็เป็นพระเมตตาต่อหม่อมฉันนักเพคะ” ฉินปู้เข่อพยักหน้าตอบอย่างสุภาพ

หลังจากความโกลาหลดังกล่าว สตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนก็ไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ในตำหนักหลานหนิงอีกต่อไป

หมี่จิ่งหานเริ่มปรับตัวได้แล้ว ดังนั้นนางจึงหาข้ออ้างที่จะลุกขึ้นและจากไป แล้วสตรีคนอื่น ๆ ก็จากไปทีละคน

ฉินปู้เข่อมองดูผู้คนที่จากไปและลุกขึ้นกล่าวคำอำลาหลังจากที่จานหานชิวออกไป

ด้านนอกตำหนักหลานหนิง จานหานชิวดูกังวลและรีบไปหานางเมื่อเห็นนางปรากฏตัว “เสี่ยวเข่อ ข้าหวาดกลัวมากจนขนลุกไปทั้งตัว”

ฉินปู้เข่อพ่นลมหายใจ “มันน่าประหลาดใจเสียจริง”

นางกำลังพูดถึงวิธีปรากฏตัวของพระชายาขององค์รัชทายาท

“เจ้ากล้าหาญนัก ข้าเห็นว่าตะขาบหลายตัวยังคงเคลื่อนไหวอยู่บนพื้น แต่เจ้าก็หยิบมันขึ้นมาจริง ๆ” ดูเหมือนว่าจานหานชิวกำลังพูดกับตัวเองหรือพูดกับฉินปู้เข่อ “ในอนาคตเราต้องอยู่ให้ห่างจากพระชายาขององค์รัชทายาทผู้นี้ โดยเฉพาะเจ้า ข้ามักจะรู้สึกว่านางมองเจ้าด้วยสายตาว่างเปล่า ซึ่งทำให้ผู้อื่นต่างตื่นตระหนก”

ฉินปู้เข่อเข้าใจว่าคนพิลึกเช่นนี้ควรอยู่ให้ห่าง แต่บางครั้งนางก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่านางจะต้องการหลีกเลี่ยงก็ตาม

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลานหนิงก็แยกย้ายกันไป ต๋งเหม่ยจิงกลับไปที่ห้องพักและนั่งหน้ากระจกแต่งตัว ขณะที่นางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ นางกำลังก้มตัวทำงาน

นางกำนัลค่อยๆ ชะล้างสีคล้ำบนใบหน้าของนาง และเผยให้เห็นผิวหนังเดิมภายใต้ ‘แผลเป็น’

นอกจากนี้ยังมีรอยแผลเป็นบนผิวหนังเดิม ซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับรอยแผลเป็นที่ถูกทำให้เด่นชัดทุกประการ แต่รอยคล้ำนั้นจางกว่ามาก ดังนั้นหากไม่มองใกล้ ๆ ก็จะมองไม่เห็น

“โอ๊ย… เบาหน่อย! เจ้าต้องการจะทำให้รอยแผลเป็นของข้าเลือดออกและไม่จางหายไปหรือ!”

ต๋งเหม่ยจิงตวาด นางยกมือขึ้นแล้วปัดยาล้างเครื่องประทินโฉมลงกับพื้น

นางกำนัลลุกขึ้นจากพื้นอย่างมึนงง หลังจากใส่ผ้าฝ้ายในมือของนางลงในน้ำอุ่นในอ่างทองแดงแล้ว นางก็ยังคงขัดต๋งเหม่ยจิงต่อไปจนผิวหนังของนางแดงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะกล้าพูดว่า

“พระชายาขององค์รัชทายาทเพคะ สีบนใบหน้าของท่านได้รับการทำความสะอาดแล้ว หากถูต่อไปอีกมันจะถูผิวของท่านเพคะ”

นางกำนัลเหยียนปี้ถือกระจกทองสัมฤทธิ์ไว้ตรงหน้าต๋งเหม่ยจิง และขอให้นางตรวจสอบดูอย่างละเอียด

“ทาแป้งบนหน้าข้าอีก” ต๋งเหม่ยจิงมองใบหน้าของนางในกระจกด้วยความไม่พอใจ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้านั้นจางจนแทบจะมองไม่เห็น และเป็นที่น่ารำคาญ

นางกำนัลอี้เหยียนหยิบผงดอกท้อขึ้นมาบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วทาอีกชั้นหนึ่งให้นางเบา ๆ

“ข้าสั่งให้เจ้าทาให้ข้าอีก เจ้าจะหยุดทำไม!”

นางกำนัลรู้สึกหนักใจเล็กน้อยกับกล่องแป้ง “กราบทูลพระชายาขององค์รัชทายาทเพคะ มันถูกทาไปหลายชั้นแล้วและสีก็จะขาวเกินไป…”

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมากระด้างกระเดื่อง!” ต๋งเหม่ยจิงยกขาขึ้นถีบท้องนางกำนัล “ข้ารู้สึกมานานแล้วว่าเจ้าเป็นนางจิ้งจอกมารยา เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะยอมรับเจ้าหรืออย่างไร?!”

“ข้าน้อยมิบังอาจเพคะ” นางกำนัลหมอบลงบนพื้นเพื่ออ้อนวอนขอความเมตตา

“เร็วเข้า! ฝ่าบาทจะกลับมาเร็ว ๆ นี้!”

“เพคะ” นางกำนัลลุกขึ้นเมื่อได้ยินคำสั่ง นางทาผงดอกท้อจำนวนมากลงบนใบหน้าของต๋งเหม่ยจิงอีกครั้ง

จนกระทั่งแก้มของนางในกระจกนั้นขาวเนียนมากจนต๋งเหม่ยจิงบอกให้นางกำนัลหยุด

ห้องนอนเงียบสงัด คนข้างในดูเหมือนจะยกกระจกขึ้นอีกครั้งแล้วมองดูตัวเอง

ซวงหวนพุ่งตัวออกจากพุ่มไม้หลังกระจก และกลับมาที่ทางเดินหลักภายในไม่กี่ก้าวอย่างจริงจัง

ในเวลานี้ เสียงของกระจกทองสัมฤทธิ์ตกลงสู่พื้นห้องก็ดังขึ้น ต๋งเหม่ยจิงลุกขึ้นยืนแล้วเหยียบกระจก แววตาของนางมีแววสนใจและพูดกับตัวเองว่า “เหตุใดใบหน้าของพระชายาหลี่ชินถึงได้เรียบเนียนเสียจนทำให้ข้าอยากจะฟันด้วยมีดสักสองสามเล่ม”

ที่ทางเดิน ฉินปู้เข่อเพิ่งก้าวเข้าสู่ทางเข้าหลักของตำหนักถงจิ้งได้ไม่กี่ก้าว นางก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้อง

นางผลักประตูห้องที่มีชีวิตชีวาและคนในนั้นก็หันไปมองที่ประตูทันที และห้องก็เงียบลงในทันทีราวกับว่ามีใครกดปุ่มหยุดชั่วคราวในอากาศ

“มีอะไรติดหน้าหม่อมฉันหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อยกมือขึ้นแล้วลูบหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมองมาที่นางและไม่พูดอะไรได้อย่างไร

หมี่โม่หรู่มองมาที่นาง ก่อที่มุมปากของเขาจะโค้งเล็กน้อย “เราทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องความสำเร็จของพระชายาหลี่ชิน และข้ากำลังรอพระชายาทำสุราตะขาบให้แก่ข้า”

“ข่าวมาถึงรวดเร็วนักเพคะ” ฉินปู้เข่อเดินเข้าไปในห้องและนั่งอย่างเกียจคร้านบนเตียงอุ่นและหลบสายตา

“น้องสะใภ้ เจ้าไม่ได้แสดงพลังของเจ้าต่อหน้าคนอื่นแต่กลับกลัวเสียอย่างนั้น” หมี่ฉงพูดติดตลกออกมาดัง ๆ เมื่อเขาเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนาง

ฉินปู้เข่อเหลือบมองเขาและหมี่โม่หรู่ พวกเขาคืนดีกันแล้วใช่หรือไม่?

หมี่โม่หรู่ก็จริง ๆ เลย วันนั้นนางทำให้เขาไม่พอใจอย่างชัดเจนและเขาก็ระบายความโกรธใส่หมี่ฉง ทำให้นางต้องกังวลไปสองสามวันโดยไม่มีเหตุผล

นางหยิบถ้วยกระเบื้องขนาดเล็กที่แขนเสื้อของนางออกมาแล้วโยนให้หมี่ฉง “เอาล่ะ ทั้งหมดอยู่นี่แล้วเพคะ เอาไปทำสุราเถิด”

ซวงหวนเดินเข้ามาในขณะที่นางพูด และหยุดมองฉินปู้เข่อจากด้านหลัง

“พูดมาเถิด ที่นี่ไม่มีบุคคลภายนอก”

ซวงหวนขออนุญาต แล้วนางก็บอกสิ่งที่ตนเห็นหลังกระจกนั้น

“ดูเหมือนว่ารอยแผลเป็นของต๋งเหม่ยจิงจะฝังลึกอยู่ในหัวใจของนาง”

หมี่ฉงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า “น้องสะใภ้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้าของพระชายาขององค์รัชทายาทเป็นของปลอม”

………………………………………………………………………………