ตอนที่ 110 โลกียะอวลธุลีมารเซียนเทพ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ตัวตนระดับนี้ย่อมสามารถก่อกวนคลื่นลมในทวีปฉงหลิงได้ไม่ยาก เป็นตัวตนอันสูงส่งสุดสูงของหลายค่ายฝ่าย

แต่ตอนนี้ บุคคลระดับนั้นถึงกับถูกขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาพันปี ช่างหาคำมาอรรถาธิบายไม่ได้เลยจริงๆ

“ที่นี่ลี้ลับเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ สามารถตัดแยกผืนปฐพีจนมีขนาดร่วมหมื่นหรือกระทั่งหลายหมื่นเมตรใต้ผิวดินเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่กำลังมนุษย์จะกระทำได้ ตอนที่ข้าลอบเข้ามา ด้วยคิดว่าอาจมีวาสนารอคอยข้าอยู่ ใครเล่าจะคาดกลับไปกระตุ้นพันธนาการที่ซ่อนอยู่เข้า จึงถูกกักขังอยู่ที่นี่ตลอดมา”

“เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือนี่” สุ้มเสียงแผ่วจางคล้ายดังขึ้นจากขุมนรก ฟังเหมือนเสียงเคลื่อนไหวของแมลงนับหมื่นแสน “แหวกชำระกายา กลั่นดวงธาตุ ล้วนไม่อาจรอดชีวิตลงมา แต่กลับเป็นหลอมวิญญาณเช่นเจ้าที่รอดมาถึงที่นี่ได้ แปลว่าสวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้า! ”

ฉินจิ่วเกอมองตามทิศที่แสงไฟสองดวงสาดส่องมา ถึงค่อยพบร่างที่แท้จริงของอีกฝ่าย นั่นคือโครงกระดูกร่างหนึ่ง เนื้อตัวล้วนไม่เหลือเส้นชีพจรผิวหนังใด ๆ แล้ว มีแต่กระดูกบนร่างที่ยังไม่แตกกระจายไป แต่ถูกเส้นสายใยบางอย่างเชื่อมประสานกันไว้

บนผิวกระดูก มีลวดลายของดอกเหมยปรากฏอยู่ ลักษณะเหมือนมังกรอสรพิษเลื้อยวน ให้ความรู้สึกเร้นลับเป็นปริศนา ฝังลึกตรึงแน่นอยู่บนท่อนกระดูกเหล่านั้น โครงกระดูกของสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งที่ฉินจิ่วเกอพบเห็นมาก็มีลักษณะเช่นนี้อยู่จริงๆ

กฎเกณฑ์ที่ฝังเข้าไปในกระดูกของผู้ฝึกตน มีแต่ต้องผ่านการซึมซาบอย่างยาวนานจึงจะปรากฏเป็นร่องรอยออกมาได้ แปลว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลอันสูงส่งแม้แต่ในหมู่กฎสรรพสิ่งด้วยกันก็ตาม

“หลอมวิญญาณเจ้าว่า? ” ฉินจิ่วเกอที่นัยน์ตาซูบโหลพลันระลึกได้ว่าตนคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตออกไปอีกแล้ว ที่จริงออกไปได้แล้วยังไง ในเมื่อทั้งตันเถียนทั้งชีพจรล้วนพิกลพิการ พลังยุทธ์ถดถอยจนเหลือเพียงหลอมวิญญาณ

สำหรับผู้ฝึกตนอย่างมัน นี่เท่ากับตายทั้งเป็น!

“เจ้าไม่จำเป็นต้องถอดใจแต่เพียงเท่านี้ หลอมวิญญาณแล้วยังไง มรรคาวิถีหมื่นแสนล้วนมีให้เลือกเดิน โลกนี้ใช่ว่ามีแต่ต้องชักนำไอพลังเข้าสู่ร่างเพื่อฝึกตนเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่กัน” โครงกระดูกนั้นขยับตัวเล็กน้อย ตะกายกรีดศิลาออกมาหลายชิ้น หมุดขนาดใหญ่ยักษ์เจ็ดอันตอกตรึงเข้ากับตะปูเหล็กยันต์ นี่คือต้นเหตุที่ตัวประหลาดเฒ่านี้ถูกสะกดไว้

ขอบเขตกฎสรรพสิ่ง อายุขัยหมื่นปี บงการฟ้าดิน คู่ควรกับสมญาสัตว์ประหลาดเฒ่า ทั่วทั้งร่างเปี่ยมล้นไปด้วยพลังเทวะสุดหยั่งคาด

“ท่านมีทางแก้? ” ในใจของคนเราย่อมไม่หยุดขวนขวายไล่คว้า แข่งขันกับธรรมชาติฟ้าดิน

หากบอกว่าฉินจิ่วเกอล้มเลิกการเป็นผู้ฝึกตนแล้ว นั่นย่อมเป็นคำลวง

“ไม่เพียงแต่ทางแก้ ข้ายังสามารถพาเจ้าออกไปจากที่นี่ได้อีกด้วย” สุ้มเสียงนั้นยังคงล่อลวงใจ ไม่คล้ายออกมาจากโครงกระดูกร่างหนึ่ง หากแต่คล้ายแผ่กระจายออกจากความมืดราวขุมนรก

“แล้วข้าต้องทำอย่างไร” ฉินจิ่วเกอถาม นับแต่พลัดตกลงสู่อเวจีดำมืดนี้ ทั้งพลังในแง่ลบ และแก่นความมืดบริสุทธิ์ล้วนมีต้นกำเนิดจากสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งนี้ทั้งสิ้น บ่มเพาะมานานนับพันปี

ดูจากตรงนี้ อีกฝ่ายย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

วาบบ ส่วนลึกในเบ้าตาเน่าเปื่อยของโครงกระดูกสาดประกายแสงแห่งความตื่นเต้น นี่คือโอกาสสุดท้ายของมัน หากไม่มีผู้ใดสามารถลงมาถึงที่นี้ได้ในอีกสามถึงห้าปี แม้แต่กฎสรรพสิ่งเองยังต้องแตกสลายไป

เจตนาฟ้ากำหนด ไม่กล้าโศกเศร้ารำพัน

“ข้าจำต้องมีผู้ช่วย ให้ข้าหยิบยืมกำลังจากภายนอกถอนตะปูสะกดวิญญาณทั้งเจ็ดนี้ออกจากร่าง ข้าสามารถช่วยเจ้าฟื้นฟูการฝึกพลัง บรรลุขั้นกลั่นดวงธาตุ หรือกระทั่งแตะสัมผัสยังขอบเขตกฎสรรพสิ่งได้”

ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ “ตันเถียนและเส้นชีพจรของข้ามิใช่ขาดสะบั้นทำลายโดยปรกติทั่วไป อาการบาดเจ็บเช่นนี้ แม้แต่ยอดนักปรุงยาขั้นเก้ายังไม่อาจกล่าวว่าจะเยียวยาได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงท่าน?”

ทวงหนังจากพยัคฆ์? ฉินจิ่วเกอไม่กลัวอยู่แล้ว ตนเองยามนี้ไม่มีสิ่งใดให้อาลัย กล่าวไป สถานการณ์ตอนนี้กลับมีที่ทางให้แต่ละฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ไม่ไม่ไม่ วิถีฝึกตนบำเพ็ญเซียนมีอันใดดี? ไม่เพียงต้องคล้อยตามชะตาฟ้าถูกผู้อื่นควบคุมชีวิต ยิ่งต้องควบคุมเคี่ยวกรำตนไม่อาจกระทำตามใจปรารถนา แทนที่จะมุ่งฝึกปรือวิถีทางบำเพ็ญโดยทั่วไป สมควรเปลี่ยนเส้นทางเดินจึงถูกต้อง”

กะโหลกขาวพลันแสดงกลุ่มแสงเจิดจรัสสายหนึ่งออกมา ควบรวมเป็นคัมภีร์เคล็ดวิชากำลังภายในที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันดำมืดชั่วร้ายเล่มหนึ่ง นั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งความชั่วร้าย กลบกลืนแสงสว่างและความเป็นมนุษย์ บนพื้นผิวยังปรากฏวิญญาณนับไม่ถ้วนกรีดร้องอย่างทรมาน

“วิชาปีศาจ!” ฉินจิ่วเกอโพล่งออกมา

ไม่ว่าเผ่าอสูรมารหรือมนุษย์ แม้วิถีการบำเพ็ญเซียนมีความแตกต่างอยู่บ้าง หากทว่าถนนหลายร้อยสายล้วนไหลคืนกลับสู่จุดเริ่มต้น เจตจำนงแห่งเต๋าเองก็เช่นกัน นั่นรวมไปถึงนักปรุงยา นักจัดวางค่ายกล นักเพาะกายเป็นต้น ล้วนเป็นส่วนขยายออกจากวิถีการฝึกตน

ทว่าวิถีแห่งวิชาปีศาจนั้นแตกต่างออกไป

ผู้ฝึกวิชาปีศาจ บิดเบือนฟ้าดิน เข่นฆ่าสุดคณานับ ยึดถือความชั่วร้ายนำหน้า รับประทานเลือดเนื้อต่างข้าว

สำหรับสรรพชีวิตทั้งหลายแล้ว นั่นมิใช่เพียงวิถีอันแตกต่างของการฝึก หากแต่เป็นคนละโลก!

“เหอะ” โครงกระดูกเปลี่ยนหน้า หากมิใช่ว่ามันเป็นมังกรตกยาก ไหนเลยจะต้องมาขอร้องเด็กน้อยหลอมวิญญาณกระจอกงอกง่อยนี้

เพียงแต่ นี่เป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของมันแล้ว ต้องคว้าไว้ให้มั่น ไม่อาจปล่อยหลุดลอยไปได้

“จากสภาพของเจ้าตอนนี้ นอกจากบรรพชนวิญญาณฟื้นคืนชีพขึ้นมาเอง มิเช่นนั้นแม้แต่นักปรุงยาขั้นเก้าก็ไม่อาจช่วยได้ นอกจากวิชาปีศาจนี่ เจ้ายังจะมีวิธีการอื่นใดได้?”

ฉินจิ่วเกอกำหมัดแน่น ในใจพิศวง ไฉนตนเองไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไปที่ใดล้วนต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวพัวพันต่อผู้ฝึกวิชาปีศาจร่ำไป ตอนนี้ ต้องกลายมาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ฝูงชนล้วนตะโกนโห่ร้องเข่นฆ่าสังหารงั้นหรือ?

“เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงเจ้าไม่จงใจเผยคุณลักษณะของเคล็ดวิชายุทธ์ออกมาเอง ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจสังเกตออกได้ เคล็ดวิชาที่ข้ามอบให้เจ้า มิใช่เคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป”

โครงกระดูกเอ่ยอย่างภาคภูมิทระนง เนื่องเพราะเคล็ดกำลังภายในที่มันฝึกปรือ ก็คือคัมภีร์ที่มันกำลังจะส่งมอบต่อฉินจิ่วเกอนี้เอง เคล็ดกำลังภายในที่คู่ควรแก่ยอดยุทธ์ชั้นกฎสรรพสิ่ง แน่นอนย่อมเหนือกว่าเคล็ดวิชาขั้นเก้าใดๆ ทั้งสิ้น

จวบถึงวันนี้ ฉินจิ่วเกอยังไม่เคยฝึกปรือเคล็ดกำลังภายในใดๆ มาก่อน แต่ตัวมันเองทราบกระจ่าง ฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิตจากปากของโครงกระดูกนั้นคืออะไร การทวงพลังฝีมือกลับคืนนี้ ไม่ต่างจากดับกระหายด้วยยาพิษ!

“เฮอะ!” โครงกระดูกเอ่ยวาจาเต็มเปี่ยมด้วยความชั่วร้ายดั่งอสรพิษ อัดแน่นด้วยความมืดมิด “ข้านับแต่ถือกำเนิดเกิดมา เนื่องเพราะในสายเลือดผสานไว้ด้วยสายเลือดมนุษย์และเผ่าอสูร ถูกผู้คนทั้งหลายกีดกันรังเกียจ รับทราบการเหยียดหยามดูแคลนจากใต้หล้า แม้แต่สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ยังไม่มี”

มันหยุดยั้งชั่วขณะ แรงอาฆาตมหาศาลราวห้วงมหาสมุทรขับเคลื่อนในความมืด ร่างโครงกระดูกสั่นสะท้าน กลับไม่อาจสลัดหลุดจากพันธนาการสะกดวิญญาณเจ็ดตะปูได้ “ช่วงเวลานั้น ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? ที่เรียกว่าคุณธรรมจรรยาเล่าอยู่ที่ใด? ข้าเกลียดชังฟ้าเคียดแค้นดินอาฆาตบิดามารดา พวกมันอาศัยอะไรให้ข้าต้องยอมรับทั้งหมดทั้งมวลนี้!”

ฮือฮืออ สุ้มเสียงขมขื่นยาวนานไม่เลือนหาย ความแค้นสูงสุดฟ้าพลุ่งพล่านชั่วขณะ

เมื่อถูกฟ้าดินทอดทิ้ง สรรพชีวิตกีดกั้นไกลห่าง ดวงวิญญาณที่กำเนิดเกิดมาเพราะเหตุใดต้องเผชิญชะตานี้?

ตะปูสะกดวิญญาณยังคงติดตรึงแน่นหนา ประดุจดวงดาราที่เปล่งประกายแขวนลอยกลางท้องฟ้า ชั่วกาลไม่ดับสูญสลาย สะกดตรึงข้อต่อทั้งเจ็ดของโครงกระดูกไว้เช่นนั้น ต่อให้อีกฝ่ายสำแดงพลังกฎสรรพสิ่งที่ถล่มทลายฟ้าดิน ล้วนไม่อาจขยับโยกคลอนได้

ฉินจิ่วเกอเม้มปาก ไม่อาจตัดสินได้ ผู้ใดผิดผู้ใดถูกล้วนไม่อาจแยกแยะได้กระจ่าง การดำรงอยู่ของผู้ฝึกวิชาปีศาจ มิใช่เพราะโลกหล้านี้เต็มไปด้วยด้านลบมากเกินไปหรอกหรือ เช่นนั้นผู้ใดกันแน่ที่เป็นสาเหตุ ผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนผิด?

โลกียะอวลธุลีมารเซียนเทพ คนคะนึงภูติหวนไห้

การฝึกตนคือการไล่ตามมรรคาเต๋า มรรคาอสูรแม้เป็นหนทางอันนอกรีต แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นวิถีที่ผิดเสมอไป

หลังจากเงยหน้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดรอบด้าน แม้แต่แสงสีเขียวมรกตยังไม่อาจส่องต้อง “มอบมันให้ข้า ข้าจะฝึก”

เมื่อได้ยิน แก้มที่ไร้เนื้อหนังของโครงกระดูกพลันขยับยกขึ้นน้อยๆ “เข้าสู่วิถีมาร ละทิ้งทุกสรรพสิ่ง เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

“ดีชั่วอยู่ที่ใจ เจตนารมณ์เป็นของข้า หาใช่ให้ผู้ใดมาลิขิต”

“ประเสริฐ เช่นนั้นก็จงดูเคล็ดหมื่นมารทมิฬนี้ให้ดี! ”

์เคล็ดวิชายุทธ์แบ่งออกเป็นขั้นหนึ่งถึงเก้า และขั้นเก้า ก็คือขอบเขตอันสูงส่งที่สุดเท่าที่ปรากฏอยู่ในทวีปฉงหลิงแล้ว ส่วนขุมอำนาจเก่าแก่อย่างประตูหายนะที่มีมรดกหมื่นปีนั้นมีรากฐานที่เหนือกว่าขั้นที่เก้านี้ไปอีก

เหนือกว่าขั้นเก้า คือชั้นเจตจำนงฟ้า ชั้นญาณวิเศษ หากจะสำแดงศักดานุภาพทั้งหมดที่มีออกมา อย่างน้อยจำต้องเป็นยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุขึ้นไป เคล็ดกิเลนครองฟ้าที่ฉินจิ่วเกอครอบครอง ก็เป็นเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นเจตจำนงฟ้า

และคัมภีร์ที่โครงกระดูกมอบแก่ฉินจิ่วเกอ ก็เป็นคัมภีร์ชั้นยอดกระบี่แห่งขอบเขตเจตจำนงสวรรค์ เคล็ดกิเลนครองฟ้าบรรจุวิถีมารอสูร หมื่นมารทมิฬบรรจุวิถีอสูรมารปีศาจ

“แบ่งแยกหยินหยาง กำเนิดวิญญาณ ซากศพกองบรรพตมหาสมุทร มารหยินครอบคลุม เนื้อหนังคลุมกายา ร่างโลหิตมารทมิฬ อาฆาตแค้นไหลริน”

เพียงอ่านข้อความท่อนสั้นๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันอันท่วมท้น โถมทับครอบคลุมเข้าใส่จนผู้คนแทบหายใจไม่ออก ช่างชั่วร้ายรุนแรงนัก เพียงเริ่มต้นทำความเข้าใจ พลังด้านลบทั้งหลายในใต้หล้าก็พวยพุ่งเข้าใส่จิตใจส่วนลึก

ฉินจิ่วเกอพยายามรักษาความแจ่มใส ในใจท่องบ่นพระสูตรสงบใจ ค่อยเรียกคืนความแจ่มใสจากรังสีฆ่าฟันอันพลุ่งพล่าน

โครงกระดูกผงกศีรษะ คล้ายพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของฉินจิ่วเกอยู่บ้าง อย่างน้อยทางพลังด้านจิตใจเช่นนี้ไม่ใช่สามารถพบเห้นได้ง่ายดาย ในใจของโครงกระดูกบังเกิดความกระหายขึ้น

กายเนื้อของตนเองเน่าเปื่อยผุพังสิ้นแล้ว ในเมื่อมันเองก็ฝึกปรือเคล็ดวิชาเดียวกัน หากกลืนกินสังขารของมัน ตนเองไม่เพียงสามารถฟื้นพลังต่อสู้ ไม่แน่ว่าอาจสามารถก้าวทะยานขึ้นไปอีกขั้น!

โครงกระดูกเน่าผุปราศจากสีหน้าแววตา ไม่อาจเผยสีหน้าออกมาได้ มันเอนศีรษะเข้ามาใกล้ ดวงตาที่มีไฟวาบดับไปมาจับจ้องมองดูฉินจิ่วเกอ สังขารที่ไร้หัวใจสูบเต้น ใครเล่าจะรู้ว่ามันกำลังคิดอ่านอะไรอยู่

“พิรุณตกกระหน่ำ โดดเดี่ยวลำพังบนยอดเขา ส่องตะเกียงฝ่าวงล้อม เก็บงำชื่อเสียงประคองชีพ ถือกำเนิดจากหลังกาย หลั่งไหลสู่หลิงไถ ไหลรวมเชื่อมประสาน บรรพตหยินมารเก่าแก่ ซากโศกโลงแข็งทื่อ พบมนุษย์ดูดกินหยาง เคลื่อนไหวทื่อด้าน”

หลังอ่านท่อนความโลหิตออกมา เทียบกันแล้วโครงกระดูกเฒ่ายังตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าฉินจิ่วเกอเอง หนำซ้ำยังช่วยเหลือฉินจิ่วเกอ หนุนนำอีกฝ่ายให้เริ่มฝึกเคล็ดหมื่นมารทมิฬอย่างกระตือรือร้น

แม้เคล็ดหมื่นมารทมิฬนั้นจะเป็นเคล็ดลมปราณขั้นเจตจำนงฟ้าก็ตาม แต่ต่อให้เป็นศิษย์เอกของประตูหายนะเองก็ใช่ว่าจะสามารถฝึกปรือได้เสมอไป

แต่ฉินจิ่วเกอกลับไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ใครจะไปรู้ หลังจากฝึกวิชาอสูรนี่แล้ว จะเกิดอะไรกับตนเองบ้าง

ศิษย์น้องเล็ก อาวุโสใหญ่ พวกมันจะยังจดจำตนได้อยู่หรือไม่?

ยิ่งคิด ฉินจิ่วเกอก็ยิ่งมีโทสะ จึงค่อยๆ เลิกท่องบทคาถาสำรวมจิตในใจ เปลี่ยนมาเพ่งสมาธิอยู่กับการนำพาเคล็ดหมื่นมารทมิฬเข้าสู่ดวงจิตแทน

หากโลกนี้ไม่คู่ควร เช่นนั้นก็จงเป็นขุมนรกอันนองเลือดไปซะ!

เหนือจากบึงมารมรณาขึ้นไปหนึ่งหมื่นเมตร คือสุดขอบเมฆาขาวเก้าสวรรค์ ผู้เป็นปริศนาที่เคยปรากฏขึ้นในเอกภพสุดเวิ้งว้างก่อนหน้า ยามนี้ได้ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง วันนั้น มันบงการราชันมารเทียมฟ้าสิบหมื่น แหกปากว่าวิถีฟ้าไร้ความยุติธรรม ใช้อสนีสีม่วงรับมือกับอาญาสวรรค์สีทอง

หลังจากที่ถูกอาญาสวรรค์สีทองบีบคั้นให้จากไป วันนี้ ผู้เป็นปริศนาก็กลับมาปรากฏตัวอยู่เหนือฟากฟ้านภาของทวีปฉงหลิงอย่างเงียบงัน ทั้งยังทะลวงผ่านปราการที่กั้นเหนือยอดนภาและสุดเวิ้งว้างเข้ามา คราวนี้ มันจุติลงสู่ทวีปฉงหลิงอย่างไร้สุ้มเสียง เสมือนเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เดินทางเข้ามา

จากสุดเวิ้งว้างทะลวงถึงยอดนภา ล่องเหินไปตามเก้าชั้นเมฆ จากนั้นทะลวงผ่านเก้าสวรรค์ จนท้ายที่สุดก็มาเหยียบอยู่บนเมฆาขาว ลมจักรวาลที่พัดกระโชกอยู่ในเก้าสวรรค์ล้วนไม่อาจแตะสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของมัน

“ไม่ดีแล้ว! ” สีหน้าที่เคยสงบนิ่งของผู้เป็นปริศนาพลันส่อแววตื่นตระหนกออกมาวูบหนึ่ง “เจ้าเด็กนั่นกำลังตัดสินใจเลือกฝึกวิชาลมปราณ! สมควรตาย เป็นพวกปัญญาอ่อนที่ไหนส่งมอบวิชาลมปราณให้มันฝึกสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ หากฝึกสำเร็จละก็ได้จบเห่กันพอดี”

ไม่มีใครสัมผัสถึงการมาของผู้เป็นปริศนา แม้แต่ต้าหลัวจินเซียนที่เหล่าผู้ฝึกตนใฝ่ฝันถึงก็ยังไม่อาจฉีกทำลายกฎเกณฑ์แห่งโชคชะตาได้ เหนือกว่าสุญญตา ไม่อาจมีปรากฏในแดนแมลงเม่าแห่งนี้ ยิ่งไม่อาจทำลายล้างแดนแมลงเม่าได้

บึงมารมรณา ลึกลงไปหนึ่งหมื่นเมตร

ฉินจิ่วเกอกำลังเพ่งจิตฝึกปรือเคล็ดหมื่นมารทมิฬ ดวงตาลืมขึ้นเป็นพักๆ ทุกครั้งที่เปิดตา ม่านตาดำขาวจะผสมผสานจนแทบไม่ต่างจากผืนราตรีกาลอันมืดมิด

รอบตัวรายล้อมไปด้วยไออสูรสีดำ พลังชีวิตถูกแทนที่ด้วยไอมรณะ จากนั้นก็เริ่มไหลเวียนอยู่ในร่างอย่างแช่มช้า

เส้นชีพจรและตันเถียนถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่ วิธีนี้มีแต่ผู้ฝึกอสูรเท่านั้นที่สามารถ แต่ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะคาดคำนวณได้