แม้หอชั้นเลิศจะกว้างขวางมากถึงเพียงนั้น แต่การจับกุมตัวใครสักคนกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

มิหนำซ้ำคนที่องค์ชายสามหาตัวอยู่ก็มีแค่สาวใช้สองคนนั้นนั่นเอง นอกจากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือต่างก็สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น

ตอนนี้ทุกคนในหอชั้นเลิศตื่นแล้ว เด็กสาวจากตระกูลขุนนางหลายคนก็ถึงกับรีบคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม แล้วบอกให้สาวใช้ของตนไปหยิบร่มโดยเร็ว เพียงเพื่อจะออกมามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกนางพากันยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองสาวใช้ทั้งสองคนของตัวเอง สายตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ

ในเวลาเช่นนี้ จู่ๆ องค์ชายสามจะอยากเห็นสาวใช้ของนางไปทำไม เป็นไปได้หรือไม่ว่า…

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ครุ่นคิด พลางหันหน้าไปมองทั้งสอง นางกำลังจะยื่นมือออกไปกระชากผมของสาวใช้สองคนนั้นขึ้นมาเพื่อมองหน้าของพวกนางให้ชัดๆ …

“พี่รอง!”

น่าเสียดายที่เหตุการณ์นี้ถูกเฮ่อเหลียนเหมยซึ่งเพิ่งจะมาถึงขัดจังหวะไว้เสียก่อน

นางเดินเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงของนางฟังดูเหมือนคนที่กำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น “นังแพศยานั่นคงก่อเรื่องโง่เง่าอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะสิท่า องค์ชายสามถึงต้องลำบากมาตามจับตัวนางเช่นนี้”

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองบรรดาองครักษ์ที่หันหน้ามามองทางพวกนาง นางอยากจะเย็บปากของเฮ่อเหลียนเหมยเอาไว้เสียนี่กระไร!

เพื่อเลี่ยงไม่ให้ชื่อเสียงของตนต้องพลอยตกต่ำไปด้วย นางจึงไม่พูดอะไรกับเฮ่อเหลียนเหมยอีก

เฮ้อ ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงไม่รู้เลยว่า น้องสาวคนนี้ของนางช่างโง่เขลาเสียไม่มี ที่นี่มีคนอยู่กันตั้งมากมายขนาดนี้ แต่นางกลับกล้าเรียกเฮ่อเหลียนเวยเวยว่านังแพศยาอย่างโจ่งแจ้ง กลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือว่าตัวเองเป็นคนไร้การศึกษา

สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับบรรดาลูกคุณหนูในหอชั้นเลิศก็คือคนที่ทำตัวเสียงดังน่ารำคาญ และเฮ่อเหลียนเหมยก็เป็นคนประเภทนั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกนางเพิ่งเข้ามาในสำนัก นางจะบอกทุกคนว่าน้องสาวคนนี้ของนางแค่ยังเด็กและยังไม่รู้ความ

แต่หลังจากเจออะไรมามากมาย แน่นอนว่าสิ่งที่พวกนางสองคนพี่น้องควรทำที่สุดย่อมเป็นการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ของตนเองขึ้นใหม่ แต่เฮ่อเหลียนเหมยกลับยังมองสถานการณ์ปัจจุบันของพวกนางไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว นางนี่มันโง่จนเกินเยียวยา!

หลังจากนี้นางต้องไปพบท่านพ่อ แล้วพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง นางจะหาวิธีส่งเฮ่อเหลียนเหมยออกจากสำนักไท่ไป๋ และหลีกเลี่ยงไม่ให้นางประจานตัวเองต่อหน้าคนที่นี่อีก!

เฮ่อเหลียนเหมยไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เมื่อเห็นว่าตอนนี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจนางด้วยซ้ำ นางก็มองอีกฝ่ายพลางแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา

แต่เฮ่อเหลียนเหมยก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของนางจึงแข็งค้างอยู่อย่างนั้น แต่แค่นั้นก็นับว่าน่าขายหน้าสำหรับนางแล้ว

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ดังมาแต่ไกล

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หันไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยรอยยิ้มเอียงอาย

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกนางสองคนพี่น้องเสียด้วยซ้ำ ดวงตาของเขาจ้องตรงไปที่สาวใช้ทั้งสองคน สายตาคู่นั้นเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน ภายใต้ความสงบเยือกเย็นนั้นมีความกดดันอันยากเกินต้านทานแฝงอยู่

สาวใช้ทั้งสองก้มหน้าลงทีละคน อันที่จริง หนึ่งในพวกนางถึงกับตัวสั่นอย่างผิดปกติราวกับทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีเอาไว้ แม้แต่นิ้วของนางก็ยังสั่นไปด้วย

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาสะบัดมือเพียงครั้งเดียว เครื่องประดับรูปดอกไม้ที่นางสวมอยู่บนศีรษะก็ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น

เมื่อมองหน้าผู้หญิงคนนั้นดีๆ อีกครั้ง ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวย ยิ่งกว่านั้นนางยังไม่ใช่คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มาตลอดด้วย

“เจ้า เจ้าเป็นใครกัน” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ชี้นิ้วไปยังเด็กสาวแปลกหน้าที่ปลอมตัวเป็นหนึ่งในพวกนาง

เด็กสาวคนนั้นก้มศีรษะลงแนบพื้น พลางพูดตะกุกตะกักว่า “ฝ่า.. ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ มี มีคนให้เงินหม่อมฉันแล้วขอให้หม่อมฉันแลกเสื้อผ้ากับนาง ดังนั้นหม่อมฉัน.. หม่อมฉันจึงเปลี่ยนชุดกับนางเพคะ หม่อมฉัน.. หม่อมฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะเพคะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังสิ่งที่เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เจ้าแต่งชุดเช่นใดอยู่”

“ชุด ชุดสีเขียวเพคะ” เมื่อเด็กสาวได้กลิ่นไม้จันทน์จากชายหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวสมองของนางก็พลันว่างเปล่า

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้าม มุมปากของเขากลับค่อยๆ เหยียดออกเป็นรอยยิ้มบาง “ตรงข้ามกับที่ข้าคิดเอาไว้ นางถึงกับใช้เงินติดสินบนคนอื่นเชียวหรือ เงินสินะ ช่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ”

“ฝ่าบาท ให้ข้าน้อยนำคนออกตามหาผู้หญิงสวมชุดสีเขียวเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬสาวเท้าออกมาก้าวหนึ่งด้วยความตึงเครียด

ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้น เขายืดตัวขึ้นทีละน้อย พลางปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนชุดของตนออก “ไม่จำเป็น จากวิธีการของนาง นางคงไม่มีทางทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้แน่ ต่อให้มีร่องรอยเหลืออยู่ นั่นก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่นางจงใจทิ้งเอาไว้ ตัวนางในปัจจุบันจะสวมชุดสีใดก็ได้ แต่ไม่ใช่ชุดที่ทอมาจากผ้าสีเขียวแน่นอน”

เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ในกลุ่มบ่าวรับใช้ถึงกับอุทานในใจเงียบๆ ว่าบัดซบ องค์ชายสามรับมือยากเสียจนนางรู้สึกเข็ดฟันไปหมด

พ่อคุณเอ๊ย ฉลาดขนาดนี้จะดีหรือ

ระวังจะหาภรรยาไม่ได้ล่ะพ่อคุณ!

ถูกต้องตามที่เขาคิดเอาไว้ เมื่อครู่นี้เฮ่อเหลียนเวยเวยถอดชุดที่สวมออก แล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดบ่าวรับใช้แทนแล้ว

นางไม่มีทางแต่งชุดเดิมเกินครึ่งชั่วยาม

เพราะการทำเช่นนั้นก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการขอยอมแพ้

แต่ปัญหาใหญ่ในเวลานี้ก็คือ ครั้งนี้คงเป็นการปลอมตัวครั้งสุดท้ายของนาง

ยิ่งคนเราหัวหมุนเท่าใด ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น อีกทั้งโอกาสที่นางจะถูกเปิดโปงก็พลอยมากขึ้นไปด้วย ถึงตอนนั้นนางคงได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมืออันชั่วร้ายขององค์ชายสามเป็นแน่

จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ นางจะเอาแต่หลบไม่ได้แล้ว นางจะต้องออกไปจากสำนักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่การเดินทางบนพื้นดินย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เดิมทีนั้นนางไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันวุ่นวายถึงเพียงนี้เลยด้วยซ้ำ

แต่องค์ชายสามกลับไล่ตามนางอย่างไม่ลดละ อีกทั้งยังไม่คิดที่จะรามืออีก นางจึงจำเป็นต้องงัดท่าไม้ตายออกมาใช้

“หยวนหมิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงลง น้ำเสียงของนางนั้นเบาแสนเบา “บอกให้เสี่ยวไป๋พาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาเพิ่ม องค์ชายสามอยากแสดงให้เห็นนักใช่ไหมว่าตัวเองมีคนมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็มาแสดงให้เขาเห็นบ้างดีกว่า”

หยวนหมิงไม่เคยตื่นเต้นเท่าวันนี้มาก่อน ปีศาจที่เคลื่อนไหวได้เพราะผู้ทำพันธสัญญาอย่างเขา ยิ่งผู้ทำพันธสัญญาถ่ายทอดความรู้สึกอยากเอาชนะออกมามากเท่าใด เลือดในกายของเขาก็ยิ่งเดือดพล่านมากขึ้นเท่านั้น

แต่…

“แม่นาง ข้าแทบไม่เคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียดมาก่อนเลย”

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ‘หึหึ’ ในลำคอ “เจ้าไม่เครียดหรือ ถ้าเจ้าไม่เครียด เช่นนั้นก็ลองไปประมือกับองค์ชายสามดูไหม นาทีแล้วนาทีเล่า เจ้าคงได้ถูกเขาเล่นด้วยจนกว่าจะตายนั่นล่ะ”

หยวนหมิงยอมรับในจุดนี้ หลังจากผ่านไปหลายรอบ สมองของเขาก็เริ่มไม่ตอบสนองแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นกลับยังนิ่งเฉยอยู่ได้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนที่มั่นใจว่าพวกเขาตกอยู่ในกำมือของตนเป็นที่เรียบร้อย ท่าทางก็ยังบอกชัดว่าตนเองมีอำนาจอยู่ในมือ

เขาไม่ได้เห็นมนุษย์แบบนี้มานานแล้ว นอกจาก… คนคนนั้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนคนนั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ในเวลานี้เขาน่าจะยังไม่ได้สติกลับมา

หยวนหมิงควบคุมความคิดของตนเอาไว้ ร่างของเขากะพริบเร็วๆ ก่อนจะเร้นกายอยู่ในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดในยามค่ำคืน

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ต้องเคลื่อนไหวให้ตรงกับบทบาทปัจจุบันของตน นางใช้นิ้วดันร่มให้กางออก แล้วกางร่มให้กับนายน้อยคนหนึ่ง

นางต้องบอกว่าตนเองช่างโชคดีจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะฝนที่ตกลงมาช่วยเปิดโอกาสให้นางใช้ร่มบดบังใบหน้าของตนเอาไว้ เช่นนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คงจะหาตัวนางเจอได้ง่ายกว่านี้แน่…

แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือประโยคถัดมาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “หุบร่มที่อยู่ในมือของพวกเจ้าลงให้หมด”

อะไรนะ

หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยแทบจะหยุดเต้นด้วยความตกใจ นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปลอบให้ตัวเองใจเย็นลง โดยรักษาท่าทางในตอนนี้ของตนเอาไว้

ทันใดนั้นนางก็ได้ยินขันทีซุนร้องเตือนว่า “ไม่ได้ ฝ่าบาท ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากไม่กางร่มเอาไว้ สุขภาพของท่าน…”

เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับตกใจ เพียงเพื่อที่จะจับนาง เขาถึงกับไม่ยอมให้คนกางร่มให้ตัวเองเชียวหรือ

ดูเหมือนว่าคราวนี้ องค์ชายสามคงคิดที่จะปิดเกมจริงๆ!

แม้แต่บรรดาองครักษ์ก็ยังสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกนั้นได้ พวกเขาไม่กล้ากางร่มเลยแม้แต่น้อย

หมอนี่…

เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดฟันกรอด รอจนกว่านางจะหนีรอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้ แล้วกลับมาจากงานประลองเจ้ายุทธ์ก่อนเถอะ นางจะต้องหาโอกาสถามองค์ชายสามให้ชัดๆ ว่าความแค้นระหว่างนางกับเขามันมีมากถึงเพียงใดกัน แล้วมันมีค่าพอที่เขาจะต้องทำให้ตัวเองทรมานถึงขนาดนั้นด้วยหรือ!