ตอนที่ 68 เชือดแกะอ้วน

ยิ่นอ๋องมองแผ่นหลังของเด็กน้อยหายลับไป หัวใจเกิดความรู้สึกประหลาดเบาบาง ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็หันศีรษะไปจ้องขันทีหลิวอย่างเย็นชา

ขันทีหลิวหดคออย่างคับแค้นใจ “บ่าววู่วามแล้ว”

ยิ่นอ๋องหันไปมองเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง แต่น่าเสียดายมองไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

จิ่งอวิ๋นพาน้องสาวเข้ามาในตรอกเล็กๆ ระหว่างบ้านสองหลัง แล้วเก็บหนังสติ๊ก “น้องไม่ต้องร้องแล้ว พี่ไล่คนไม่ดีไปแล้ว”

วั่งซูพยักหน้าพร้อมกับสูดน้ำมูก

จิ่งอวิ๋นหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มารดาเตรียมไว้ให้ออกมาช่วยน้องสาวเช็ดน้ำมูก “ยังเจ็บอยู่หรือไม่”

“ไม่เจ็บแล้ว” วั่งซูสะอื้น

จิ่งอวิ๋นกำชับว่า “เรื่องนี้อย่าบอกท่านแม่ ท่านแม่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พวกเราอย่าทำให้นางต้องเป็นห่วงเพิ่ม พี่จะปกป้องเจ้าเอง”

วั่งซูพยักหน้า

“ไปกันเถิด ไปทานอาหารเย็นที่บ้านท่านยาย” จิ่งอวิ๋นจูงมือน้องสาว มือน้อยจูงมือกันเดินไปยังบ้านของป้าหลัว

ในแต่ละวันเฉียวเวยยุ่งมาก นางต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนม จากนั้นต้องไปส่งขนมในตัวเมือง กลับมาแล้วก็ต้องทำนา ทำไข่เยี่ยวม้า ยุ่งมากจนเท้าแทบไม่ได้อยู่ติดพื้น ดังนั้นมื้อเที่ยงลูกๆ จึงต้องไปทานอาหารที่บ้านสกุลหลัว

ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาวุ่นวายของการทำนา ตามหลักแล้วป้าหลัวก็น่าจะไม่ว่างเช่นกัน แต่บังเอิญบ้านสกุลหลัวไม่ได้ทำนามากมายนัก ร่างกายของลุงหลัวไม่แข็งแรง ทำนาไม่ไหวจึงไปทำงานให้ที่ว่าการอำเภอ แม้งานนั่นจะไม่นับว่ากอบโกยเงินได้มาก แต่หลายปีที่ผ่านมาหาเศษหาเลยจากทั้งในที่ลับและที่แจ้งก็ยังมีรายได้ดีกว่าการทำนาอยู่มาก

ในสมัยราชวงศ์ต้าเหลียง ผู้ชายที่อายุสิบแปดปีทุกคนจะได้รับที่ดินสี่สิบหมู่ ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนไม่สามารถรับที่ดินได้ หลังจากออกเรือนแล้วจึงจะได้รับที่ดินยี่สิบหมู่ มิน่าจึงกล่าวกันว่าลูกสาวออกเรือนก็เหมือนสาดน้ำทิ้ง คลอดลูกสาวออกมาแทบไม่มีประโยชน์อันใด ที่ดินอันใดล้วนมิได้รับจัดสรร รอออกเรือนแล้วก็เท่ากับมอบส่วนที่จัดสรรให้ผู้อื่น

น่าเศร้า น่าเศร้า!

ในครอบครัวสกุลหลัว ลุงหลัวมีที่ดินสี่สิบหมู่ หลัวหย่งจื้อมีสี่สิบหมู่ ป้าหลัวมียี่สิบหมู่ ชุ่ยอวิ๋นยี่สิบหมู่ เป็นจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบหมู่ แต่พื้นที่ปลูกจริงกลับไม่ถึงยี่สิบหมู่ ที่เหลือล้วนให้ผู้อื่นปลูก ส่วนพวกเขาเก็บค่าเช่าเพียงเล็กน้อย

การทำนาเป็นงานหนักมาก สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือทำการเกษตร อาศัยเพียงแรงงานคนกับโค กำลังการผลิตจึงเพิ่มได้ไม่เท่าไร ยกตัวอย่างการปลูกข้าวนาดำ ข้าวในสมัยปัจจุบันได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนสามารถสร้างผลผลิตได้มากกว่าหนึ่งพันกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ แต่ในราชวงศ์ถัง ข้าวแถบลุ่มน้ำทะเลสาบไท่หูมีผลผลิตเพียงหนึ่งร้อยสามสิบแปดกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ ขณะที่สมัยราชวงศ์ซ่งได้สองร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ ส่วนราชวงศ์หมิงผลิตได้สามร้อยสามสิบสามกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ และในราชวงศ์ชิงปลูกได้สองร้อยเจ็ดสิบแปดกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่

ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีบันทึกเกี่ยวกับระดับผลผลิตของราชวงศ์ต้าเหลียง คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง ปีที่เก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์สามารถเก็บเกี่ยวได้หนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ แต่ในปีน้ำแล้งเก็บเกี่ยวได้ห้าสิบกิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ก็นับว่าดีมากโขแล้ว บางทีอาจไม่ได้ผลผลิตเลยก็เป็นไปได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกกับทุ่งข้าวฟ่างสิบหมู่ของนาง ข้าวฟ่างหนอข้าวฟ่าง เจ้าต้องสู้นะ ช่วยให้ผลผลิตสักหลายร้อยชั่งกับข้าด้วย

วันที่สิบห้าเดือนสามเป็นวันครบกำหนดการหมักไข่เยี่ยวม้าชุดแรก และวันนี้ก็ ‘บังเอิญ’ เป็นวันหยุดของสำนักศึกษา ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้บอกคุณหนูของตนว่าที่เขาหยุดการเรียนการสอนทั้งหมดก็เพราะว่าคุณหนูน้อยกับคุณชายน้อยลาหยุด!

ด้วยเหตุนี้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยจึงไม่ต้องขาดเรียน ตัวเขาช่างมีไหวพริบเกินไปแล้ว!

เฉียวเวยขนไข่เยี่ยวม้านั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไปโรงน้ำชาหรงจี้พร้อมกับลูกๆ

เถ้าแก่หรงแทบรอไม่ไหวแล้ว ทันทีที่รถม้าหยุด เขาก็สาวเท้าเดินเข้ามาหา “เสี่ยวเฉียว! ไข่ของข้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง เอาให้ข้าเร็วเข้า! ถ้าไม่มีมันข้าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!”

เฉียวเวยขนลุกซู่ ท่านช่วยหยุดพูดจาคลุมเครือได้หรือไม่…

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกระโดดลงจากรถม้าแล้วทักทายลุงหรงอย่างสุภาพ เถ้าแก่หรงชอบเด็กน่ารักและมีเหตุผลเช่นนี้ พวกเขาดีกว่าพวกเด็กดื้อที่ซนเป็นลิงทั้งหลายในบ้านเขามากนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเด็กๆ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู!

เขาบีบพวงแก้มของเด็กทั้งสองคนอย่างมีความสุข “เป็นเด็กดีนักเชียว! มีปาท่องโก๋อยู่บนโต๊ะ ไปกินสิ!”

ดวงตากลมโตของทั้งสองมองมาหาเฉียวเวย เมื่อเฉียวเวยพยักหน้า พวกเขาจึงเดินไปอย่างดีอกดีใจ

เฉียวเวยเอาไข่เยี่ยวม้าให้เถ้าแก่หรงหนึ่งโถ

เฉียวเวยทำความสะอาด ‘แกลบ’ ที่หุ้มเปลือกไข่เยี่ยวม้าแล้วทาด้วยขี้ผึ้งทีละฟอง ทำเช่นนี้จะช่วยถนอมอาหารได้นานขึ้น

หลังจากเถ้าแก่หรงตรวจนับด้วยตัวเองเสร็จ เขาก็ทำปากมุ่ย พูดอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดจึงมีเพียงห้าสิบฟอง ข้ารอเจ้ามาหนึ่งเดือนเต็มๆ เจ้ากลับส่งให้ข้าแค่นี้ จะแกล้งข้าหรือไร”

เฉียวเวยยิ้ม “นี่เป็นชุดแรก ท่านเอาไปลองขายดูก่อนว่าขายดีหรือไม่ ข้ายังมีเก็บเอาไว้อีกมาก”

เถ้าแก่หรงกล่าวว่า “ต้องขายดีแน่นอน! สินค้าของเจ้าที่นำมาขายกับข้า มีอะไรบ้างที่ขายไม่ดี เจ้าทำให้เยอะขึ้นก็พอ ทำมากเท่าใดข้าก็ซื้อเท่านั้น ข้าจะช่วยเจ้าขายไม่ให้เหลือสักชิ้น!”

เฉียวเวยกล่าวยิ้มๆ “ได้ยินเถ้าแก่หรงกล่าวเช่นนี้ข้าก็วางใจ”

เถ้าแก่หรงให้เสี่ยวลิ่วนำไข่เยี่ยวม้าไปเก็บและกำชับให้เก็บอย่างดี ห้ามทำแตกแม้แต่ฟองเดียว จากนั้นก็นั่งอยู่กับเฉียวเวยอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นว่า “จริงสิเสี่ยวเฉียว เจ้ายังจำสาวใช้จากเมืองหลวงที่มักจะมาสั่งขนมเจ้ากับที่ร้านบ่อยๆ ได้หรือไม่”

“ท่านหมายถึงซิ่งจู๋หรือ” ในความทรงจำของเฉียวเวย มีสาวใช้เพียงคนเดียวที่มาซื้อขนม ‘โดยไม่ย่อท้อต่อระยะทาง’

เถ้าแก่หรงประหลาดใจ “เจ้ารู้จักชื่อของนางด้วยหรือ”

เฉียวเวยตอบอย่างนิ่งเฉย “เคยได้ยินนางบอก นางทำไมหรือ”

เถ้าแก่หรงหัวเราะแหะๆ “ช่วงนี้นางไม่ต้องการขนมแล้ว แต่จะเอาไข่เยี่ยวม้า!”

“เหตุใดนางจึงรู้จักไข่เยี่ยวม้า” ทันทีที่พูดจบ เฉียวเวยก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางเคยมอบไข่เยี่ยวม้าให้หมิงซิวหนึ่งตะกร้า ท่านย่าของเขาคงจะชอบมันมาก คุณหนูจวนเอินปั๋วจึงต้องการจะเอาใจ มาหาซื้อจากข้างนอกไปมอบให้

เถ้าแก่หรงยักไหล่ “ข้าไม่รู้ว่านางทราบได้อย่างไร แต่ในเมื่อนางต้องการ ข้าจึงรับปากนางไปแล้ว”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ท่านบอกนางว่าขายเท่าไร”

“ข้ายังไม่ได้บอก แต่ข้าว่าจะขายนางฟองละสองร้อยอีแปะ! เป็นเช่นไร เก่งหรือไม่” เถ้าแก่หรงขยิบตาอย่างพึงพอใจ

เฉียวเวยยิ้มเยาะ “สองร้อยอีแปะจะไปพอได้เช่นไร อย่างน้อยก็ต้องห้าร้อยสิ”

เถ้าแก่หรงสำลักน้ำชา เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ ห้าร้อยอีแปะ? ต้นทุนของไข่เป็ดราคาฟองละสองอีแปะเท่านั้น! ไข่นี่ฝังเงินฝังทองหรือไร ไยจึงมีราคาสูงเพียงนี้!

เฉียวเวยพูดต่ออย่างไม่อินังขังขอบ “เจ้านายของนางรวยมาก อย่าว่าแต่ห้าร้อยอีแปะเลย ต่อให้ราคาห้าร้อยตำลึงก็ไม่ใช่ปัญหา แกะอ้วนเช่นนี้ ท่านไม่เชือดจะเก็บไว้ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างหรือ”

เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุณหนูจวนเอินปั๋วจะเอาทองคำมาซื้อนาง นางก็รู้สึกโกรธ

ในที่สุดเถ้าแก่หรงก็มองบางสิ่งออก เขามองเฉียวเวยอย่างมีเลศนัยแล้วขยับเข้าไปกระซิบตรงหน้า “แม่นางเฉียว เจ้าคงไม่ได้มีความแค้นกับพวกนางกระมัง ข้าว่าเจ้านี่ก็ช่าง…ช่างใช้ไม่ได้ จะเอาคืนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นได้เช่นไร ห้าร้อยอีแปะใช้ได้ที่ไหน อย่างน้อยก็ต้องห้าตำลึงสิ!”