เล่ม 1 ตอนที่ 11 ช่วยรักษาสำเร็จ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 11 ช่วยรักษาสำเร็จ
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ” หญิงรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง

เฉียวเวยพึมพำ “วิธีอื่น…ก็ไม่ใช่จะไม่มี”

หญิงรับใช้ตาเป็นประกาย “วิธีใด”

เฉียวเวยชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “กระทุ้งหน้าท้องแบบไฮม์ลิคช์”

หญิงรับใช้เบิกตาโต “อะไรนะ”

หรือเรียกอีกอย่างว่าวิธีปฐมพยาบาลแบบไฮม์ลิคช์

บีบอัดอากาศที่เหลืออยู่ในปอดให้อากาศที่ตกค้างในปอดพุ่งออกมาดันสิ่งแปลกปลอมที่ติดค้างอยู่ในหลอดลมให้หลุดออกมา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเรแกน อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเอ็ด นักแสดงสาวชื่อดังเอลิซาเบธ โรสมอนด์ เทย์เลอร์ล้วนเคยได้วิธีนี้ช่วยให้รอดชีวิตมาได้

แต่วิธีการนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย ตัวมันก็อาจนำอันตรายบางอย่างมาได้ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ เพราะความยืดหยุ่นของส่วนหน้าอกและช่องท้องกับความยืดหยุ่นของปอดของพวกเขาไม่ดี ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย

นี่ไม่ใช่คำขู่ให้กลัว แต่เฉียวเวยเคยประสบกับตนเอง

นั่นเป็นเรื่องในวันแรกที่เฉียวเวยฝึกปฏิบัติในแผนกฉุกเฉิน คุณยายที่พาหลานมาฉีดยากินพุทราแล้วติดคอ แพทย์ประจำไม่อยู่ เฉียวเวยจึงต้องช่วยเธอ เฉียวเวยใช้การกระทุ้งหน้าท้องแบบไฮม์ลิคช์ เธอกอดคุณยายจากด้านหลัง มือหนึ่งกำเป็นกำปั้น อีกมือหนึ่งแบกดไว้แล้วออกแรงกระทุ้งท้องส่วนบนของคุณยาย นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอช่วยชีวิตคนในฐานะหมอ มันไม่เหมือนกับการฝึกซ้อมที่เคยทำในอดีต เธอเกร็งไปทั้งตัว ไม่ทันระวังเพียงนิดเดียวก็ทำคุณยายบาดเจ็บเข้าจนได้

นั่นเป็นอดีตอันดำมืดครั้งหนึ่งในชีวิตการเป็นหมอของแพทย์หญิงเฉียว

ดังนั้นเมื่อเห็นเหล่าฮูหยินผู้นี้ นางจึงนึกถึงภาพวันนั้นขึ้นมาแทบจะโดยอัตโนมัติ ทั้งยังเสนอให้ผ่าตัดออกมาโดยสัญชาตญาณ

แน่นอนนางเองย่อมรู้ดีว่าความจริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

นางหลับตาลง “พวกเจ้าลงไปให้หมด”

สิ่งที่ต้องเอาชนะ วันหนึ่งก็ต้องเอาชนะ

หญิงรับใช้มองนางอย่างหวาดกลัว “เจ้า…เจ้าจะกรีดคอของเหล่าฮูหยินหรือ”

“ไม่กรีด” เห็นหญิงรับใช้ตั้งท่าจะถามต่อ เฉียวเวยก็เอ่ยว่า “เหล่าฮูหยินเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากสมองขาดอากาศเกินครึ่งเค่อ อวัยวะจะเสียหายเกินกว่าจะรักษากลับมาได้ หากไม่อยากให้เหล่าฮูหยินของเจ้าต้องใช้ชีวิตด้วยการนอนบนเตียงอีกหลายสิบปีก็รีบลงไปเสีย”

เสียงของเฉียวเวยไม่ดัง แต่ทำให้คนเชื่อถืออย่างไม่มีเหตุผล หญิงรับใช้ล้มลุกคลุกคลานลงจากรถไป

เฉียวเวยปิดม่านบนรถแล้วประคองหญิงชราขึ้นมา ข้อดีของรถม้าปรากฏให้เห็น นั่นก็คือกว้างพอและสูงพอ แม้เฉียวเวยจะยืนตัวตรงก็ยังไม่ชนเพดานรถ นางกอดหญิงชราจากด้านหลัง หาตำแหน่งระหว่างสะดือกับร่องซี่โครงแล้วเริ่มกระทุ้งอย่างแรง

ครั้งก่อนเพราะตื่นเต้นจึงพลั้งมือ ครั้งนี้เฉียวเวยจึงระวังเรี่ยวแรงเป็นพิเศษ

หลังจากกระทุ้งจากล่างขึ้นบนเช่นนี้ห้าครั้ง เฉียวเวยก็เหงื่อออก

หรือว่าวิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับเหล่าฮูหยิน

เฉียวเวยลองดูอีกสามครั้ง ตัดสินใจว่าหากในหนึ่งนาทียังไม่เห็นผลจะใช้วิธีผ่าตัดเปิดหลอดลมฉุกเฉิน

เมื่อมาถึงครั้งที่สิบ เหล่าฮูหยินก็ไอเอาสิ่งที่อยู่ในหลอดลมออกมา

เฉียวเวยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

ชั่วเวลาที่สำลักในรถม้า เหล่าฮูหยินคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว คู่ชีวิตของนางก็จากไปเช่นนี้ ยามนั้นนางนั่งอยู่ข้างกายตาเฒ่า แต่กลับจนปัญญาช่วย คนเรา ‘จากไป’ รวดเร็วยิ่งนัก นางรู้ว่าตนทนจนพวกเขาไปเชิญท่านหมอในเมืองกลับมาไม่ทันแน่…

แต่สวรรค์ช่างเมตตา ทำให้นางพบหมอเทวดาเข้ากลางทาง!

เหล่าฮูหยินกุมมือของเฉียวเวยแล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “แม่นาง เจ้าแซ่อะไร บ้านอยู่ที่ใด เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าสมควรต้องไปขอบคุณถึงบ้านด้วยตนเอง”

หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านนอกเห็นเหล่าฮูหยินของตนกุมมือหมอหญิงเอาไว้ ก็ตกใจจนพูดไม่ออก เหล่าฮูหยินของนางมิใช่ใครก็จะมาตีสนิทได้ ไม่ต้องพูดถึงหมอเถื่อนในชนบท ต่อให้เป็นหมอหลวงตัวจริงเสียงจริง นายของนางก็ไม่เคยชายตาแล

เฉียวเวยคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างนิ่งสงบ “มาเยือนบ้านคงมิจำเป็น ข้าเป็นหมอ ตรวจรักษาอาการป่วยเป็นสิ่งสมควร หากเหล่าฮูหยินต้องการขอบคุณข้าจริงก็จ่ายค่ารักษาให้ข้าเล็กน้อยเถิด”

หญิงรับใช้บื้อใบ้ สาวน้อยหนอสาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าฮูหยินของข้าคือผู้ใด ผู้ที่คิดจะตีสนิทกับเหล่าฮูหยินของข้าต่อแถวยาวตั้งแต่เมืองหลวงไปจรดเผ่าซยงหนีว์ แต่เจ้าเปิดปากก็ปฏิเสธเหล่าฮูหยิน เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กัน ไม่เห็นความหรูหราในรถม้าหรือไร

เห็นชัดว่าหญิงชราก็ตกตะลึงเช่นกัน “เจ้าจะรับเพียงค่ารักษาจริงหรือ”

เฉียวเวยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

เหล่าฮูหยินมองสำรวจเฉียวเวยด้วยสีหน้าสับสน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จ่ายค่ารักษาให้เจ้าก็แล้วกัน”

“เหล่าฮูหยินโปรดรอประเดี๋ยว” เฉียวเวยเดินลงจากรถไปสนทนากับตาเฒ่าซวนจื่อที่รออยู่หน้ารถม้าของตนเองไม่ไกลแล้วกลับมาบอกหญิงชราว่า “หนึ่งตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

เหล่าฮูหยินควักก้อนเงินหนักสิบตำลึงออกมาก้อนหนึ่ง เฉียวเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามิมีทอน”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องทอน”

“เจ้าค่ะ”

เฉียวเวยเองก็ไม่โต้แย้ง รับค่ารักษาราคาสูงเทียมฟ้าก้อนนี้มา

แววตาที่เหล่าฮูหยินมองเฉียวเวยยิ่งทอประกายสนใจ จะบอกว่านางโลภ ก็ไม่เห็นนางเข้ามาตีสนิท จะบอกว่านางไม่โลภ นางก็รับค่ารักษาก้อนนี้ไปอย่างหน้าตาเฉย ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าค้นหาจริงๆ “แม่นางขอทราบแซ่ของเจ้าได้หรือไม่”

“ผู้น้อยแซ่เฉียว”

เหล่าฮูหยินเรียกคนให้หลบทางรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ ทั่วใต้หล้าผู้ที่ทำให้เหล่าฮูหยินหลบรถให้ได้ นอกเสียจากเชื้อพระวงศ์ก็มีเฉียวเวยเป็นคนแรก

หญิงรับใช้ถอนหายใจรำพึงว่าแม่นางผู้นี้โชคดีนักที่พบพานกับเหล่าฮูหยินของตน

เหล่าฮูหยินกลับเอ่ยว่า “ข้าต่างหากโชคดีที่พบนาง”

รถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อส่ายโคลงเคลงเข้ามาในหมู่บ้าน

“เสี่ยวเฉียว เจ้ารักษาคนเป็นด้วยหรือ” ตาเฒ่าซวนจื่อถามอย่างสงสัยใคร่รู้

เสี่ยวเฉียวยิ้มแย้ม เมื่อนึกอันใดขึ้นได้จึงถามว่า “เพียงรู้ผิวเผินเท่านั้น อะไรกันก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยบอกทุกคนหรือ”

ตาเฒ่าซวนจื่อตอบว่า “ก็ไม่เคยน่ะสิ ถ้าเคยพูด ผู้ใดจะกล้าดูแคลนเจ้าอีก ข้าเพิ่งจะเคยเห็นหญิงสาวรักษาคนป่วยเป็นครั้งแรก ว่าก็ว่าเถอะนะ เจ้าเก่งกาจเช่นนี้ ทั้งล่าสัตว์ได้ ทั้งรักษาคนได้ คนที่บ้านเจ้าทำไมไม่ต้องการเจ้าแล้วขับไล่เจ้าออกมาเล่า”

เสี่ยวเฉียวตกตะลึง “ท่านฟังใครพูดมา”

“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ!” ตาเฒ่าซวนจื่อตอบ

ดูท่าเจ้าของร่างจะเป็นคนเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้ยินใครเอ่ยถึงความเป็นมาของ ‘นาง’ อย่างชัดๆ คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนขับไล่ออกมา

ตาเฒ่าซวนจื่อถาม “ทำไมเจ้าถูกไล่ออกมาเล่า เสี่ยวเฉียว”

ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน!

เฉียวเวยกุมหน้าผาก

ถึงอย่างไรตาเฒ่าซวนจื่อก็เป็นผู้ชาย นี่จึงไม่เหมือนการนินทาระหว่างพวกผู้หญิง เขาถามเรื่องเหล่านี้ด้วยความเป็นห่วงเสี่ยวเฉียวอย่างบริสุทธิ์ใจ

ได้อยู่ด้วยกันมาครึ่งวัน เขาพบว่าหญิงสาวผู้นี้ต่างจากที่ทุกคนลือกันอยู่มาก นางไม่ได้อ่อนแอไร้ความสามารถหรือทำตัวชั่วช้าแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าตนช่างเลวนักที่ก่อนหน้านี้ดันเข้าใจเสี่ยวเฉียวผิดแบบนั้น ตอนนี้เขาคิดจะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อแสดงความรู้สึกผิด แต่เสี่ยวเฉียวเงียบงันไม่ตอบ คิดว่าคงไม่ต้องการพูด ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะไม่บังคับคนให้ลำบากใจ

จิ่งอวิ๋นกับน้องสาวตื่นแล้ว พวกเขาคว้าถังหูลู่ไปหาสหายตัวน้อยในหมู่บ้าน ตาเฒ่าซวนจื่อขับรถม้าขึ้นไปบนเขาแล้วช่วยเสี่ยวเฉียวขนข้าวของลงจากรถ ป้าหลัวรีบเข้ามาช่วย คนมากแรงมาก ประเดี๋ยวเดียวก็ขนของจนหมด

เฉียวเวยมอบสองร้อยอีแปะให้ตาเฒ่าซวนจื่อ แต่ตอนเที่ยงตาเฒ่าซวนจื่อได้ผู้อื่นเลี้ยงจนอิ่มหนำหนึ่งมื้อจึงไม่สะดวกใจจะรับเงินมากเช่นนี้

ป้าหลัวกลับยัดใส่มือเขาแล้วว่า “เจ้าก็รับไปเถอะ ลูกสาวข้าหาเงินเก่ง ไม่ขาดเงินเพราะให้เจ้าเท่านี้หรอก”

“ลูกสาว…ของเจ้าหรือ” ตาเฒ่าซวนจื่อทำหน้าตกตะลึง

ป้าหลัวคว้ามือของเฉียวเวยมา “ใช่ เสี่ยวเฉียวยอมรับข้าเป็นแม่บุญธรรมแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสี่ยวเฉียวก็คือลูกสาวบุญธรรมของข้า เจ้ากลับไปบอกคนพวกนั้น อย่ามารังแกลูกสาวข้าอีก”

หากป้าหลัวรู้ว่าระหว่างทางนางช่วยคนสูงศักดิ์ไว้คนหนึ่ง เฉียวเวยอาจคิดว่าอีกฝ่ายต้องการหาผลประโยชน์จากตน แต่ป้าหลัวไม่รู้เรื่องสักนิด ป้าหลัวเป็นห่วงนางจริงๆ อีกฝ่ายกลัวว่าจิ่งอวิ๋นจะทะเลาะกับผู้อื่นเพราะเรื่องของนางอีกจึงคิดวิธีนี้ออกมาเพื่อปกป้องนาง

หลังจากนี้หากใครกล้าเอานางไปพูดพล่อยๆ อีกก็ต้องคิดดูว่าจะล่วงเกินป้าหลัวหรือไม่