ในช่วงกลางดึกของคืนวันที่พวกนากาเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านของพวกเขามานั้น รถกระบะของพวกนากาก็ได้แล่นมาจนถึงประตูเมืองทิศตะวันตกของเมืองรีมินัสที่มีเด็กนักเรียนของกลุ่มดอว์นยืนเฝ้ายามกันอยู่สองคน
 

ซึ่งในทันทีที่เด็กนักเรียนคนนั้นได้เห็นรถกระบะของพวกนากากำลังแล่นตรงเข้ามาพวกเขาก็รีบแจ้งให้เด็กนักเรียนของกลุ่มดอว์นอีกส่วนหนึ่งที่นอนพักกันอยู่ด้านในห้องพักทราบกันในทันทีเพื่อให้ทุกคนได้มีเวลาเตรียมตัวต้อนรับการกลับมาของพวกนากา

 

และเมื่อรถกระบะแล่นผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้วเด็กนักเรียนชายจากกลุ่มคนที่เคยได้รับการทดสอบจากอลิซมาแล้วจนอดได้ฝึกใช้งานยูนิตในช่วงก่อนเกิดการโจมตีที่ประตูเมืองเมื่อตอนกลางวันคนนั้นก็ได้ชะโงกหน้าขึ้นมาด้านหลังรถกระบะและพบเข้ากับพรีมูล่าที่กำลังนอนนิ่งอยู่กับพื้นรถและนิลิมที่นั่งลูบหัวของพรีมูล่าอยู่อย่างแผ่วเบาโดยไม่ทันสังเกตเห็นโมโกะที่นอนอยู่ตรงมุมอับของสายตาเขาจนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถามขึ้นมา

 

“อ้าว… น้องสาวของนายหลับไปแล้วหรอนากา ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงมาตั้งเยอะก็เลยว่าจะลองชวนคุยดูสักหน่อยนึงแท้ๆ … ว่าแต่แล้วนี่ผู้หญิงคนนั้นนั่นใครน่ะ”

 

“…….”

 

“เอาเถอะ เอาเป็นว่าพวกนายกลับไปพักที่โรงเรียนกันก่อนดีกว่า เห็นท่านประธานเขาบอกว่าเขาขอให้คนมาประจำการที่ห้องพยาบาลในช่วงกลางคืนเผื่อเอาไว้ให้แล้วน่ะ แล้วก็เห็นบอกว่าถ้าพวกนายกลับมาเมื่อไหร่ก็ให้แวะไปตรวจดูอาการบาดเจ็บที่ก่อนจะกลับบ้านน่ะ”

 

เด็กหนุ่มที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นบาดแผลของพรีมูล่าเนื่องจากความมืดในยามค่ำคืนและคิดว่าคนที่ขับรถกลับมาก็คือโมโกะนั้นก็ไม่ได้ติดใจเรื่องของหญิงสาวร่างเล็กผมชมพูมากนัก ด้วยความที่เธอนั่งรถกลับมาพร้อมกับนากาที่กลับไปยังหมู่บ้านของตนเองมาจนทำให้คิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะเป็นคนรู้จักของนากานั่นเอง

 

ส่วนทางด้านอิกนิสที่เป็นคนขับรถที่ได้ยินทุกอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะพูดอะไรออกมาเนื่องจากความเหนื่อยอ่อนจากการขับรถและออกเคลื่อนรถกระบะให้มุ่งตรงไปตามถนนเส้นหลักของเมืองอีกสักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยชะโงกหน้าออกมาถามเส้นทางจากพวกนากาอีกครั้ง

 

และเมื่ออิกนิสขับรถเข้าไปภายในเขตโรงเรียนแล้วพวกเขาก็ได้พบเข้ากับคาร์เทียร์และไดเอน่าที่กำลังยืนรอพวกเขาอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องพยาบาลทางฝั่งสนามหญ้าเข้า ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะว่าเธอได้รับรายงานผ่านทางวิทยุว่าพวกนากาขับรถกลับมากันแล้วนั่นเอง

 

ซึ่งไดเอน่าก็ได้หันไปมองร่างของพรีมูล่าด้วยแววตาเศร้าหมองพร้อมกับกำมือแน่นจนเล็บของเธอจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค้อมหัวให้กับนิลิมเพื่อทำความเคารพแล้วจึงเอ่ยปากพูดกับนากาขึ้นมา

 

“ฉันขอโทษนะนากา… ถึงฉันจะเข้าใจว่านายคงจะยังไม่อยากไปที่ไหนตอนนี้แต่ถ้ายังไงก็ช่วยมาด้วยกันหน่อยนะ… พอดีว่าตอนนี้มีคนจากทางวังเขามารอพบพวกนายอยู่น่ะ…”

 

“…..”

 

“นายแค่เข้าไปนั่งเฉยๆ ก็ได้ไม่ต้องพูดตอบอะไรเขาไปหรอก เดี๋ยวฉันกับคุณเอริกะจะจัดการเรื่องที่เหลือให้เอง…”

 

ไดเอน่าพูดตอบนากาที่หันมาจ้องมองเธออย่างเงียบๆ กลับไปเบาๆ จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้ก้มหน้าลงไปลูบหัวร่างของพรีมูล่าเบาๆ ทีหนึ่งแล้วจึงปีนลงมาจากหลังรถกระบะเพื่อเดินตามหลังไดเอน่าไป ในขณะที่ทางด้านนิลิม โมโกะ และอลิซก็ได้คาร์เทียร์ที่ดูเหมือนว่าจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าเด็กธรรมดาทั่วไปอยู่บ้างช่วยอุ้มเข้าห้องพยาบาลไปกันทีละคน

 

ซึ่งไดเอน่าก็ได้เดินนำนากาไปยังห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการที่อยู่ที่ชั้นห้าของอาคารเรียน และในทันทีที่ไดเอน่าเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น พวกเขาก็ได้พบกับ เอริกะที่กำลังนั่งกอดอกจ้องมองชายหนุ่มในชุดขุนนางเต็มยศคนหนึ่งอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

และเมื่อขุนนางหนุ่มคนนั้นได้หันมาเห็นนากาที่ถูกไดเอน่าพาตัวมาเข้า เขาก็ได้ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าของนากาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดัง

 

“เด็กคนนี้กับเพื่อนๆ ของเขารวมถึงอาจารย์คนที่ชื่อว่าอลิซแล้วก็พวกเด็กนักเรียนที่ได้รับหน้าที่ให้เฝ้าประตูเมืองจะต้องถูกลงโทษ!!”

 

ตึ้ง!!

 

“ลงโทษบ้าบออะไรกันล่ะ!! นี่พวกคุณยังมีหน้าจะมาลงโทษพวกเด็กๆ ที่ยอมเสี่ยงอันตรายออกไปช่วยหมู่บ้านของตัวเองที่พวกคุณทอดทิ้งอีกหรือไงกันคะคุณสารวัตร!?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของสารวัตรทหารได้ทุบลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรงและพูดขึ้นมาเสียงดังแบบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งถึงแม้ว่าสารวัตรทหารคนนั้นจะผงะไปเล็กน้อยกับท่าทีของเอริกะแต่ว่าเขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมอยู่ดี

 

“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วสิครับ! เด็กคนนี้กับเพื่อนของเขาขโมยยุทโธปกรณ์ทางการทหารไปใช้ในเรื่องส่วนตัวแถมพวกเด็กนักเรียนคนอื่นๆ เองก็ยังขัดคำสั่งห้ามคนเข้าออกประตูเมืองอีก! แล้วนี่ยังไม่รวมไปถึงอาจารย์บรรจุใหม่ที่ชื่อว่าอลิซที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำผิดกฎของพวกเด็กนักเรียนอีกด้วย!! ถ้าเกิดว่าคนที่กระทำความผิดในครั้งนี้ไม่ได้รับการลงโทษล่ะก็มันจะให้ระเบียบวินัยของทางกองทัพเสื่อมเสียนะครับ!!”

 

คำพูดของสารวัตรทหารได้ทำให้เอริกะกลอกตาหลบไปอีกทางและเอนหลังของเธอพิงไปกับพนักโซฟาด้วยความเหนื่อยหน่าย ในขณะที่ทางด้านไดเอน่านั้นก็ได้เอื้อมมือของเธอไปบีบมือของนากาเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดกับสารวัตรทหารคนนั้นขึ้นมา

 

“แล้วที่ผ่านมาคำว่าระเบียบวินัยของพวกคุณมันทำอะไรได้บ้างล่ะคะ?”

 

“หมายความว่ายังไงครับคุณหนูเซมฟิร่า?”

 

“ก็ถ้าเกิดดูจากความเสียหายของกำแพงเมืองและความสูญเสียของพวกทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองทิศอื่นๆ ที่เชื่อมั่นในระเบียบวินัยนั่นจนเอาแต่หลบอยู่ภายในตัวกำแพงตามคำสั่งแล้วก็ไม่ได้ออกไปหยุดยั้งศัตรูที่ยิงลูกระเบิดเข้าใส่นั่นแล้วฉันก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้างไม่ได้น่ะค่ะ…”

 

“นี่คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ครับ…?”

 

“อ๋อ… ดิฉันคงจะใช้คำพูดซับซ้อนเกินไปจนทหารอย่างคุณฟังไม่เข้าใจสินะคะ… ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ เลยก็คือดิฉันต้องการจะถามว่ากฎระเบียบต่างๆ และคำสั่งของพวกคุณมันมีประโยชน์ต่อเมืองนี้จริงๆ แน่หรือเปล่าน่ะค่ะ เพราะว่าหลังจากการโจมตีครั้งแรกที่ถล่มประตูเมืองจนยับเยินแล้วมันก็ไม่ได้มีการโจมตีเกิดขึ้นที่ตัวเมืองชั้นในอย่างที่พวกคุณกลัวกันเลยแม้แต่น้อย… พอดิฉันได้เห็นแบบนั้นก็เลยอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดมีทหารสักกลุ่มนึงขัดคำสั่งของพวกคุณเพื่อออกไปหยุดยั้งการยิงถล่มจากในป่าหรือว่าขัดคำสั่งเพื่อออกไปช่วยเหลือหมู่บ้านใกล้เคียงมันก็คงจะไม่เกิดความสูญเสียมากมายขนาดนี้หรอกค่ะ”

 

“—–!?”

 

คำพูดของไดเอน่าเหมือนจะแทงใจดำของสารวัตรทหารหนุ่มคนนั้นเข้าจังๆ เมื่อเขาได้ชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับกำหมัดแน่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดเถียงอะไรกลับไปเพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสาเหตุที่เกิดความสูญเสียมากมายขนาดนี้มันก็เป็นเพราะคำสั่งที่ถูกสั่งตรงลงมาจากเบื้องบนจริงๆ จนทำให้เขาได้แต่ต้องหันกลับไปชี้หน้าของนากาที่เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาและตวาดขึ้นมาเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์

 

“แต่ถึงยังไงเรื่องระเบียบวินัยของทางกองทัพมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่แล้วนะครับ!! แล้วถ้าจะให้พูดกันจริงๆ ล่ะก็พวกคุณก็เห็นอยู่แล้วว่าผลของการขัดคำสั่งมันเป็นยังไง! สุดท้ายแล้วชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะอะไรนั่นที่เด็กคนนี้ขโมยรถเพื่อออกไปช่วยเหลือก็ต้องหนีตายกันออกมาจากหมู่บ้านด้วยจำนวนที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งนึงอยู่ดีไม่ใช่หรือยังไงกัน!?”

 

“แก…”

 

กรึก…

 

คำพูดของสารวัตรทหารได้ทำให้นากาที่ยอมอดทนนั่งฟังเขามาตั้งแต่แรกอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อพุ่งเข้าไปต่อยหน้าของสารวัตรทหารคนนั้นก็กลับมีคนที่ไวกว่าเขาอยู่หนึ่งก้าวชิงตัดหน้าทำมันไปก่อนแล้ว

 

ฟุ๊บ—ผลั๊ก!!

 

“อั๊ก—!?”

 

“สิ่งที่แกสมควรจะพูดออกมาน่ะก็คือคำชมสำหรับเด็กคนนี้ที่ทำให้พวกชาวบ้านรอดชีวิตออกมากันได้ตั้งเกือบครึ่งนึงต่างหากเล่า!! นี่แกคิดจริงๆ หรือไงว่าการกระทำของเด็กคนนี้มันจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่หมู่บ้านโมริโกะมีผู้รอดชีวิตตั้งเยอะขนาดนั้นทั้งๆ ที่หมู่บ้านอื่นๆ มีคนหนีตายออกมาได้แค่ไม่ถึงสิบคนน่ะหะ!?”

 

“—-!?”

 

“เอริกะ…”

 

ในขณะที่สารวัตรทหารคนนั้นกำลังตื่นตระหนกอยู่กับความโกรธเกรี้ยวของเอริกะที่เขาเคยถูกเตือนเอาไว้ว่าอย่าให้มันเกิดขึ้นมาอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้แต่เอ่ยปากเรียกชื่อของเอริกะขึ้นมาเบาๆ ด้วยความตื้นตัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลามาให้ความสนใจกับนากาเมื่อเธอได้หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์พร้อมกับใช้มันเช็ดมือข้างที่ใช้ต่อยหน้าสารวัตรทหารคนนั้นอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วจึงโยนมันทิ้งไปด้วยความรังเกียจก่อนจะชี้ไปที่ใบหน้าของเขาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีที่ใจเย็นลงมาก

 

“รบกวนคุณช่วยถอนคำพูดของคุณเมื่อสักครู่ด้วยค่ะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นฉันคงจะทนอยู่ในเมืองที่มีคนน่ารังเกียจแบบคุณอยู่ด้วยต่อไปอีกไม่ไหว… แล้วถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้นตัวคุณเองก็คงจะรู้ดีใช่มั้ยล่ะคะว่าโทษของการที่เป็นคนที่ทำให้ฉันตัดสินใจย้ายออกจากเมืองมันหนักหนาขนาดไหนน่ะ…”

 

คำพูดของเอริกะถึงกับทำให้สีหน้าของสารวัตรหนุ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อเขานึกถึงคำเตือนที่เบื้องบนได้กล่าวเอาไว้ก่อนจะส่งเขามาเป็นคนเจรจากับเอริกะขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยคำขอโทษออกไปในทันที

 

“ผ—ผม… ผมขอโทษครับ…”

 

“ถ้ายังรู้จักขอโทษอยู่ก็แล้วไป… ส่วนเรื่องบทลงโทษของพวกเด็กๆ นั่น—”

 

“ร—เรื่องนั้นไม่ว่ายังไงก็—”

 

สารวัตรทหารหนุ่มได้แต่ต้องชะงักไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อสายตาของเอริกะที่ผ่อนคลายลงไปแล้วได้กลับมาฉายแววเคร่งเครียดอีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นด้วยภาระหน้าที่ในตำแหน่งของเขามันก็ได้ทำให้เขาได้แต่ต้องกัดฟันแน่นแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อจนจบ

 

“ร—เรื่องนั้นต่อให้เด็กคนนี้จะมีคุณเอริกะเป็นผู้ปกครองก็เถอะแต่ว่าเขาก็ต้องได้รับโทษอยู่ดีครับ… พ–เพราะว่าเรื่องของการขโมยยุทโธปกรณ์ทางการทหารมันเป็นเรื่องใหญ่… ต่อให้มันจะเป็นการขโมยไปเพื่อช่วยเหลือคนอื่นก็เถอะ…”

 

“นี่นายยังจะ—”

 

“เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ครับ! เพราะผมเองก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณเอริกะรู้สึกไม่พอใจก็ตามทีครับ!”

 

คำพูดของสารวัตรทหารหนุ่มได้ทำให้ความหงุดหงิดของเอริกะแปรเปลี่ยนไปเป็นความเหนื่อยหน่ายและลำบากใจแทน เพราะถึงแม้ว่าเธอจะคิดอยากให้มีคนที่ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่แบบสารวัตรทหารหนุ่มคนนี้อยู่ภายในวังหลวงเยอะๆ ก็ตาม แต่ว่าในขณะนี้เธอไม่คิดอยากจะเจอคนที่มีความมุ่งมั่นแบบเดียวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งท่าทางลำบากใจของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าตัดสินใจที่จะพูดโพล่งขึ้นมาในทันที

 

“ถ้าเกิดว่าทางการต้องการที่จะหาตัวคนผิดมาลงโทษจริงๆ ล่ะก็จับฉันที่เป็นหัวหน้าของเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นไปเลยสิคะ”

 

“ไดเอน่าจัง!?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าถึงกับหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาในทันที ในขณะที่ทางด้านนายสารวัตรทหารคนนั้นก็กลับเป็นคนที่ต้องเผยสีหน้าลำบากใจออกมาแทน

 

“ถึงคุณหนูเซมฟีร่าจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เกิดว่าคุณหนูถูกจับตัวไปจริงๆ ผมเองก็คงจะลดโทษให้เพราะว่าคุณหนูเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลเซมฟิร่าไม่ได้หรอกนะครับ…”

 

“ฉันไม่กังวลเรื่องนั้นหรอกค่ะ เพราะฉันเชื่อว่าถ้าเกิดเป็นคุณล่ะก็คงจะสืบสวนอย่างโปร่งใสแล้วก็มอบบทลงโทษอย่างเหมาะสมได้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ”

 

สารวัตรทหารหนุ่มที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่าได้หลุบตาลงต่ำเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ เพราะเขาเองก็รู้ตัวดีว่าระบบการตัดสินของศาลทหารนั้นเต็มไปด้วยเส้นสายและสินบนต่างๆ มากมาย อีกทั้งถ้าเกิดว่าพวกเขาจับตัวไดเอน่าที่เป็นลูกสาวเพียงแค่คนเดียวของตระกูลเซมฟิร่าไปจริงๆ ล่ะก็ตระกูลขุนนางตระกูลอื่นๆ ที่ไม่ถูกกับตระกูลของเธอก็คงจะลงมือทำอะไรบางอย่างจนเกิดความวุ่นวายขึ้นมาในหมู่ขุนนางอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่เขาได้เห็นสายตาของไดเอน่าที่ดูเหมือนจะมีความเชื่อมั่นในตัวเขานั้น เขาก็ได้แต่ต้องพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจนัก

 

“เรื่องนั้น… ถึงผมจะรับประกันให้ไม่ได้ แต่ผมก็จะพยายามช่วยเหลือให้บทลงโทษมันยุติธรรมที่สุดเองครับ”

 

“ได้ยินแบบนั้นฉันก็คงจะวางใจได้แล้วล่ะมั้งคะนั่น”

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าผมขอตัวกลับไปจัดการเอกสารก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าน่าจะมีหมายเรียกตัวถูกส่งไปที่คฤหาสน์เซมฟิร่า… ส่วนตอนนี้ผมขอตัวก่อนก็แล้วกันครับ…”

 

สารวัตรทหารหนุ่มได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะคว้าเอาหมวกของตัวเองที่ร่วงหล่นลงไปหลังจากที่เขารับหมัดของเอริกะเข้าไปจังๆ ขึ้นมาสวมเอาไว้แล้วจึงรีบเดินตรงออกไปจากห้องในทันที

 

แต่ว่าในขณะที่เขากำลังจะปิดประตูห้องกลับลงไปนั้นเขาก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะชำเลืองมองไปทางนากาและนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ขอโทษที่ฉันพูดจาไม่ดีใส่เมื่อกี้ด้วยนะเจ้าหนู… แล้ววันหน้าวันหลังก็อย่าออกไปทำอะไรเสี่ยงตายแบบนั้นอีกก็แล้วกัน”

 

ปึ้ง—ปั้ง!!

 

หลังจากที่สารวัตรทหารหนุ่มพูดจบเขาก็รีบปิดประตูหนีไปในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้นากาพูดอะไรตอบกลับไปก่อนที่ทันใดนั้นเองประตูห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการจะถูกเปิดออกอีกครั้งอย่างรุนแรงโดยฝีมือของมายะที่รีบพุ่งเข้าไปสอบถามไดเอน่าอย่างรวดเร็ว

 

“ด—ไดเอน่าจังแน่ใจแล้วหรอคะว่าจะรับโทษแทนพวกฉันน่ะ!?”

 

“นั่นสิไดเอน่าจัง… ต่อให้เธอจะเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่จนร่างกายน่าจะปลอดภัยก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าพวกนั้นหรือว่าพวกขุนนางตระกูลอื่นๆ คิดจะเรียกร้องอะไรจากตระกูลของเธอบ้างน่ะ”

 

คำถามของมายะที่รีบวิ่งเข้ามาในห้องราวกับว่ารู้เรื่องราวที่เกิดในห้องเมื่อขึ้นเมื่อสักครู่นี้ได้ทำให้เอริกะพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นกังวลเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางด้านไดเอน่าที่เพิ่งจะเสนอตัวรับโทษแทนนากาและเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ก็กลับไม่มีท่าทีกังวลใจเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับหยิบเอาถ้วยชาของเธอที่เย็นชืดไปแล้วขึ้นมาจิบกินก่อนจะพูดตอบคำถามของทั้งสองคนกลับไป

 

“แต่ว่าถ้าฉันไม่ทำแบบนั้นคุณสารวัตรทหารคนนั้นก็คงจะไม่ยอมกลับไปง่ายๆ หรอกใช่มั้ยล่ะคะ แล้วในเมื่อขนาดคำขู่ของคุณเอริกะก็ยังไม่ได้ผลแบบนั้นฉันว่าทางเลือกนี้น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วนะคะ”

 

“เรื่องนั้นมันก็จริงนั่นล่ะ… แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่จะจำเป็นต้องเสนอตัวขึ้นมารับโทษแทนพวกฉันเลยนี่”

 

คำตอบของไดเอน่าได้ทำให้นากาได้แต่เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้ไดเอน่าตัดสินใจที่จะลดแก้วชาที่เย็นชืดลงเพื่อที่จะได้จ้องมองตรงไปยังนากาด้วยสายตาเป็นมิตรเหมือนกับทุกครั้งที่เธอจ้องมองเขา

 

“ฉันก็แค่คิดว่าคนที่อุตส่าห์ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อออกไปช่วยชีวิตคนอื่นอย่างนายไม่สมควรที่จะโดนคนที่มัวแต่หดหัวอยู่ในเมืองอย่างทหารพวกนั้นมอบบทลงโทษให้เลยแม้แต่น้อยน่ะ”

 

“แต่ว่า…”

 

“ชู่ว….”

 

ในขณะที่นากากำลังจะพูดเถียงไดเอน่ากลับไปนั้น เด็กสาวผมสีทองผู้ที่เป็นประธานนักเรียนก็ได้ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของเธอพร้อมกับทำเสียงเป็นสัญญาณบอกให้เขาเงียบลงก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“ฉันรู้ดีว่านายกำลังจะบอกว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะคนในกลุ่มของนายเป็นคนขโมยรถออกไปเอง… แต่ว่าตัวนายในตอนนี้น่ะควรจะได้ใช้เวลาไปกับการพักผ่อนจิตใจมากกว่าจะต้องไปปวดหัวกับเรื่องพวกนั้นนะนากาคุง… แล้วอีกอย่างนึงฉันเองก็บอกเอาไว้ก่อนที่นายจะไปแล้วนี่ว่าปล่อยให้พวกฉันจัดการเรื่องทางด้านนี้เองน่ะ”

 

“อือ… ถ้าเธอว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ…”

 

“ดีมากจ๊ะ~ ถ้าอย่างงั้นฉันขอกลับไปเตรียมตัวเตรียมรับบทลงโทษที่บ้านก่อนก็แล้วกันนะ~”

 

ไดเอน่าที่เห็นว่านากาไม่ได้เผยรอยยิ้มหรือว่าแสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยกับคำพูดหยอกล้อของเธอเหมือนกับทุกทีนั้นได้มีสีหน้าเศร้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรีมูล่าผู้ที่เป็นน้องสาวของเขา

 

แต่ว่าในเมื่อนากายังไม่ได้พูดอะไรออกมาเธอจึงได้แต่ทำเป็นยังไม่รู้เรื่องและเอ่ยปากชวนมายะให้ตามเธอไปด้วยเพื่อที่จะได้ให้นากาได้มีเวลาอยู่กับเอริกะที่เปรียบเสมือนกับผู้ปกครองของเขาเพียงแค่สองคน

 

“มายะจังวันนี้จะไปค้างที่บ้านฉันสักวันนึงจะได้หรือเปล่าเอ่ย? พอรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีหมายเรียกตัวมาหาฉันก็เลยไม่อยากจะอยู่ทำใจคนเดียวสักเท่าไหร่เลยน่ะ”

 

“ถ—ถ้าไดเอน่าจังพูดอย่างงั้นล่ะก็ต้องได้อยู่แล้วล่ะค่ะ! เดี๋ยวขอฉันไปจัดการเตรียมเสื้อผ้าแป๊บนึงนะคะ!!”

 

“อื้อ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปรออยู่ที่ด้านหน้าอาคารเรียนก็แล้วกันนะจ๊ะ”

 

ไดเอน่าพูดตอบมายะกลับไปก่อนที่พวกเธอทั้งสองคนจะพากันเดินออกจากห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการไปและทิ้งเอาไว้เพียงแค่ความเงียบในห้องทำงานที่เหลืออยู่เพียงแค่นากาและเอริกะเพียงสองคน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อเดินไปนั่งลงที่ข้างๆ ตัวของนากาเละเอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มผมดำพูดคุยขึ้นมา

 

“นิลิมเขาเพิ่งแจ้งมาว่าที่ห้องพยาบาลมีอุปกรณ์ไม่พอก็เลยคาร์เทียร์ก็เลยพาตัวทุกคนไปรักษากันต่อที่คลินิกของอารอนแล้วน่ะ นายจะไปดูอาการของพวกเขากันก่อนหรือเปล่า…?”

 

“อืม…”

 

“หรือถ้านายอยากจะกลับไปนอนพักที่คฤหาสน์ก่อนก็บอกมาได้เลยนะ เดี๋ยวฉันจะพาไปส่งเอง…”

 

“……”

 

เอริกะที่พอจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้างในตอนที่นากากลับไปยังหมู่บ้านของพวกเขาจากการรายงานของนิลิมในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับมาที่เมืองรีมินัสนั้นได้พยายามที่จะช่วยพูดปลอบใจนากาขึ้นมา แต่ว่าเธอเองก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่ใช่คนที่มีความสามารถในด้านนี้มากนักจนทำให้เธอได้แต่ต้องตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวของนากาเบาๆ แทน

 

ซึ่งการกระทำของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้นากาชะงักนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่ดวงตาของเขาจะมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและพยายามที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

“เอริกะ… นี่เธอรู้เรื่อง…”

 

“รู้สิ… ตอนที่พวกนายกำลังนั่งรถกลับมานิลิมรายงานให้ฉันฟังหมดแล้ว… ทั้งเรื่องคนในหมู่บ้านที่ตายกันไปเกินครึ่ง… ทั้งเรื่องศัตรูที่พวกเธอได้ไปเจอมา… รวมถึงเรื่องของพรีมูล่าจังกับคุณพ่อของโมโกะจังด้วย… ทั้งฉันทั้งไดเอน่าจังนั่งฟังมันอยู่พร้อมๆ กันน่ะ…”

 

นากาที่ได้ยินชื่อของน้องสาวของตนเองดังขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้ปล่อยให้น้ำตาของตนเองไหลพรากออกมาพร้อมกับเอ่ยปากถามเอริกะที่ยังคงมีท่าทีปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความสงสัย

 

“แล้ว… แล้วทั้งๆ ที่เธอรู้แบบนั้น… ทำไมทั้งเธอทั้งไดเอน่าถึงยังมีท่าทีปกติอย่างนี้ได้อยู่อีกกันล่ะ…”

 

“เรื่องนั้น… สำหรับไดเอน่าจังน่ะเธออยู่ในตำแหน่งที่เธอไม่สามารถแสดงความเสียใจหรือว่าอารมณ์ความรู้สึกออกมาต่อหน้าคนอื่นได้… เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำให้คนที่ต้องการจะหยิบฉวยผลประโยชน์จากตระกูลของเธอเอามันมาใช้ประโยชน์เอาได้น่ะ… นายอาจจะคิดว่ามันฟังดูไม่มีค่อยเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าการที่เกิดมาในตระกูลขุนนางใหญ่ที่พยายามทำหน้าที่ที่คู่ควรของพวกเขาแบบนั้นน่ะมันไม่ได้นับว่าเป็นโชคที่ดีแบบที่นายคิดหรอกนะ…”

 

“งั้นหรอ…”

 

นากาพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ พลางนึกถึงสีหน้าเศร้าๆ ของไดเอน่าในช่วงแรกๆ ที่เขาทำตัวสุภาพกับเธอได้ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าอีกผืนหนึ่งออกมาเพื่อใช้มันซับน้ำตาให้กับนากาจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมา

 

“แล้วเธอล่ะ…?”

 

“ฉันหรอ…? ถ้าเป็นไดเอน่าจังล่ะก็คงจะต้องเรียกว่าเธอมีวุฒิภาวะมากกว่าที่เห็น… ส่วนทางด้านฉันนี่คงจะต้องบอกว่าฉันเจอเรื่องแบบนี้มามากมายจนต่อมน้ำตาของฉันมันเหือดแห้งไปหมดแล้วล่ะ…”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับละสายตาจากนากาเพื่อมองไปยังท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยดวงดาวมากมายเหลือคณานับด้วยแววตาเศร้าๆ ก่อนที่เธอจะยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับนากาแล้วจึงลุกยืนขึ้นเพื่อเดินนำออกไปจากห้องก่อน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันออกจะไปรออยู่ที่ด้านหน้าห้องก็แล้วกันนะ เอาไว้นายพร้อมจะไปที่คลินิกของอารอนเมื่อไหร่ก็ค่อยตามออกมาก็แล้วกันเดี๋ยวฉันจะเดินไปส่งให้เอง…”

 

หลังจากที่เอริกะเอ่ยปากพูดจนจบเธอก็ปิดประตูห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการลงเพื่อปล่อยให้นากาได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาถอดแว่นตาของตัวเองออกและยกมืออีกข้างขึ้นมาปาดหยาดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาและทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้นพร้อมกับปล่อยให้หยดน้ำตาของเธอร่วงหล่นออกมา

 

“เรานี่ก็พูดไปได้นะ… ฮึก…. พรีมจัง…”

 

เอริกะที่เมื่อสักครู่นี้ยังมีท่าทีปกติดีอยู่ได้ร้องเรียกชื่อเล่นของพรีมูล่าที่เธอเป็นคนตั้งให้ขึ้นมาพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาของเธอหลั่งไหล่ออกมาอย่างไม่ขาดสายก่อนที่เธอจะทุบกำปั้นของเธอลงกับพื้นเบาๆ เพื่อระบายอารมณ์โดยระวังไม่ให้นากาที่นั่งอยู่ภายในห้องได้ยิน

 

“ถ้าเกิดว่าตอนนั้นฉันห้ามพวกเธอเอาไว้ไม่ให้กลับไปที่นั่นล่ะก็…”

 

ตึกตึกตึก…

 

ในขณะที่เอริกะกำลังปลดปล่อยอารมณ์โศกเศร้าของตนเองออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของนากาดังขึ้นมาจากภายในห้องทำงานจนทำให้เธอต้องรีบลุกกลับขึ้นมาอีกครั้งและรีบปาดน้ำตาของตนทิ้งไปเพื่อที่จะได้พยายามแสดงท่าทีให้เป็นปกติที่สุดในทันที ซึ่งนากาที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องนั้นก็ได้ยื่นผ้าเช็ดหน้ากลับคืนมาให้กับเธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ผ้าเช็ดหน้าของเธอน่ะเอริกะ พวกเราไปที่คลินิกของอารอนกันเถอะ…”

 

“อื้ม…”

 

“เธอ…ร้องไห้หรอเอริกะ…?”

 

“ฮึก… ฉ—ฉันก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่ แค่ว่าฉันง่วงนิดหน่อยก็เลยเผลอหาวจนน้ำตาไหลแค่นั้นเอง—”

 

“ง…งั้นเองหรอ เอาเถอะ ถ้ายังไงตอนนี้พวกเราก็ไปที่คลินิกของอารอนกันก่อนดีกว่า… แล้วก็นี่ผ้าเช็ดหน้าของเธอน่ะ”

 

“ผ้าเช็ดหน้านั่นนายเก็บเอาไว้เถอะ คิดซะว่ามันเป็นของขวัญจากฉันก็แล้วกัน”

 

“อ-–อ่า”

 

นากาที่ถูกเอริกะพูดตัดบทขึ้นมาก่อนจะรีบเดินนำไปนั้นได้แต่พูดตอบเธอกลับไปด้วยความงงงวยก่อนที่เขาจะเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามหลังเธอไปยังคลินิกของอารอนในทันที

 

 

หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก เอริกะก็ได้เดินนำนากามาจนถึงหน้าคลินิกของอารอนและเปิดประตูเข้าไปภายใน ซึ่งในขณะนี้ตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับที่ปกติแล้วจะมีนางพยาบาลผมบลอนด์คอยส่งรอยยิ้มต้อนรับคนไข้อยู่เสมอนั้นก็ได้มีเด็กหนุ่มผมแดงที่ชื่อว่าอิกนิสกำลังนั่งฟุบหน้านอนหลับอยู่แทน

 

ซึ่งเอริกะก็ได้ทำเป็นเมินเด็กหนุ่มผมแดงไปก่อนและเดินเข้าไปมองดูเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกหน้าต่างอยู่สักพักหนึ่งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปหาอิกนิสและเอ่ยปากทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใสแบบที่เธอทำเป็นประจำ

 

“อิกนิสคุง มาหลับอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็ตกเก้าอี้เอาหรอก~”

 

“ห— อืมม… อ่ะ คุณเอริกะเองหรอครับ”

 

“อื้อ ว่าแต่เธอเอารถกลับไปจอดที่โรงเรียนแล้วหรือยังน่ะ?”

 

“ก็หลังจากที่ขับรถพาคนอื่นๆ มาส่งที่นี่แล้วผมก็ขับรถกลับไปจอดที่โรงเรียนแล้วก็เพิ่งจะเดินกลับมาถึงแล้วก็เพิ่งจะได้งีบไปเมื่อกี้นี้นี่ล่ะครับ”

 

อิกนิสพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงเพลียๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่นักเพราะตลอดช่วงเย็นจนถึงช่วงค่ำที่ผ่านมาเขาเพิ่งจะต้องขับรถเป็นมาระยะเวลานานหลายชั่วโมงทั้งๆ ที่เพิ่งจะกลับออกมาจากทะเลมรกตซะด้วยซ้ำ

 

“อื้มๆ ดีแล้วล่ะ แล้วนี่คนอื่นๆ เขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

 

“ตอนที่มาที่นี่ผมช่วยน้องผมเทาเขาพาคนเจ็บเข้าไปรักษาด้านในห้องตรงนู้นน่ะครับ ตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่ข้างในนั้นกันล่ะมั้งครับ”

 

“งั้นเองสินะ ถ้างั้นนายนอนต่อก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้าพวกเรสเนอร์เขามาถึงเมืองแล้วฉันจะบอกพวกเขาให้เองว่านายพักอยู่ที่นี่น่ะ”

 

“ถ้างั้นผมขอรบกวนคุณเอริกะด้วยนะครับ แล้วถ้ามีธุระอะไรก็ปลุกผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”

 

อิกนิสพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเดินไปนอนลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ดูแล้วน่าจะนอนสบายกว่าแทนและผล็อยหลับไปในทันที

 

ส่วนทางด้านเอริกะก็ได้เดินนำนากาตรงไปตามโถงทางเดินไปจนถึงห้องตรวจคนไข้ห้องที่อิกนิสพูดถึงและค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปเบาๆ จนได้พบเข้ากับคาร์เทียร์ที่กำลังพันผ้าพันแผลที่หัวของอลิซอยู่โดยที่มีซึบากิกำลังจัดเก็บขวดยาจำนวนหนึ่งลงใส่ถาดเหล็กอยู่ข้างๆ เธอ

 

“คาร์เทียร์จัง ซึบากิจัง ทุกคนเป็นยังไงบ้างเอ่ย?”

 

“อ่ะพี่เอริกะมาแล้วหรอคะ คือพอดีว่าพี่โมโกะเขามีอาการเหนื่อยล้าจากการฝืนใช้วิซมากเกินไปแถมยังมีแผลไฟไหม้เต็มไปหมดจนหนูไม่กล้ารักษาให้ หนูก็เลยให้ยาแก้ปวดพี่โมโกะเขาไปแล้วให้พี่คนแนลพากลับไปพักที่บ้านแล้วน่ะค่ะ… อ่ะ—แต่ว่าหนูให้ซึบากิจังไปตามพี่พยาบาลที่ชื่อมีอาที่คุณนิลิมแนะนำมาให้ไปดูอาการของพี่โมโกะที่บ้านให้แล้วนะคะ”

 

“ถึงขั้นที่เธอไม่กล้ารักษาให้เลยงั้นหรอ…?”

 

“ก็คือแบบว่ามัน…. แผลไฟไหม้ระดับนั้นพี่อารอนเคยบอกว่ามันต้องใช้วิธีที่เรียกว่าการผ่าตัดในการรักษาน่ะค่ะ แต่ว่าพี่อารอนเขายังไม่เคยสอนหนูเกี่ยวกับเรื่องการผ่าตัดเลย หนูก็เลยกลัวว่าอาจจะเผลอทำพลาดอะไรไปก็ได้น่ะค่ะ…”

 

“งั้นเองสินะ แล้วอลิซเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของคาร์เทียร์ได้พยักหน้าตอบเธอกลับไปด้วยความเข้าใจ เพราะถึงยังไงแรกเริ่มแล้วคาร์เทียร์ก็เป็นแค่เด็กอายุแปดขวบที่ร่างกายโตเกินวัยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่แล้วเพราะฉะนั้นการที่เธอจะกลัวในเรื่องที่เธอไม่เคยทำมาก่อนมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่นัก

 

“ถ้าพี่อลิซก็มีแค่แผลเก่าที่เปิดออกกับแผลใหม่อีกสองสามจุดน่ะค่ะ ถึงแผลที่หัวของพี่อลิซนี่จะดูน่ากลัวหน่อยนึงก็เถอะแต่ว่าหนูทำแผลให้แล้วล่ะค่ะ ที่เหลือก็แค่รอดูหลังจากที่พี่อลิซฟื้นแล้วว่าจะมีอาการอะไรตามมาหรือเปล่าน่ะ”

 

“ดูเหมือนว่าอารอนเขาจะสอนอะไรเธอเอาไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

 

“ค่ะ…”

 

“นี่คาร์เทียร์! ไอ้ยาแก้ปวดกับยาชานี่มันต้องเก็บเข้าห้องแช่ด้วยหรือเปล่าเนี่ย!?”

 

ทันใดนั้นเองซึบากิที่หยิบขวดยาจำนวนหนึ่งขึ้นมาดูสลับไปสลับมาก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวและร้องถามคาร์เทียร์ขึ้นมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด เพราะคำอธิบายที่ถูกเขียนเอาไว้ข้างขวดมันก็ค่อนข้างจะเป็นคำศัพท์เฉพาะที่เข้าใจยากซะเหลือเกินจนทำให้คาร์เทียร์ต้องรีบพูดตอบกลับไปก่อนที่ซึบากิจะได้มีโอกาสเขวี้ยงมันทิ้งด้วยความหงุดหงิด

 

“อ่ะ— อย่าเพิ่งเก็บพวกนั้นไปสิ! เดี๋ยวหนูอาจจะต้องใช้มันอีกทีหลังจากที่พี่อลิซเขาตื่นแล้วนะ!”

 

“หืมมม…”

 

คำพูดและน้ำเสียงของคาร์เทียร์ที่พูดตอบซึบากิกลับไปโดยไม่มีความสุภาพเจือปนอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเธอกำลังพูดคุยอยู่กับเพื่อนสนิทได้ทำให้เอริกะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าปกติแล้วคาร์เทียร์จะมีท่าทีสุภาพกับคนที่ดูแล้วมีอายุทางด้านร่างกายพอๆ กับเธอทุกคนอย่างเช่นกลุ่มของพวกนากาที่เธอมักจะเรียกทุกคนนำหน้าด้วยคำว่าพี่และลงท้ายด้วยคำสุภาพเสมอไม่เว้นแม้แต่กระทั่งกับพรีมูล่าที่ดูเหมือนว่าจะมีอายุสมองน้อยกว่าเธอก็ตาม

 

อีกทั้งท่าทีของซึบากิที่ดูเหมือนว่าจะดูหงุดหงิดเสมอเวลาที่อยู่ใกล้กับคาร์เทียร์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยอมช่วยกันทำงานแบบไม่ก่ายเกี่ยงและท่าทีสนิทสนมของคาร์เทียร์ที่ดูเหมือนจะชอบหยอกล้อซึบากิเป็นพิเศษนั้นก็ทำให้เอริกะอดไม่ได้ที่จะทำเป็นพูดขึ้นมาลอยๆ

 

“สองคนนี้นี่ดูสนิทกันดีเนอะนากาคุง~”

 

“อื้ม…”

 

“ฉันไม่ได้สนิทกับยัยนี่นะ!! / พวกหนูไม่ได้สนิทกันสักหน่อยค่ะ!!”

 

“ฮะฮะ จ้าๆ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำตอบประสานเสียงของเด็กสาวทั้งสองคนได้เผยรอยยิ้มแพรวพราวออกมา ในขณะที่ทางด้านนากาก็ได้ละความสนใจไปจากเหล่าสาวๆ ในห้องเพื่อมองหาคนอีกหนึ่งคนและร่างอีกหนึ่งร่างที่ควรจะอยู่ในห้องตรวจนี้ขึ้นมา

 

“แล้วคุณแม่กับพรีมูล่าล่ะ…?”

 

“อ่ะ… / ….”

 

คำถามของนากาได้ทำให้เสียงหัวเราะของเอริกะและเสียงโต้เถียงกันของเด็กสาวทั้งสองคนเงียบไปในทันทีก่อนที่ซึบากิจะหันกลับไปจัดเก็บขวดยาจำนวนมากต่อไปโดยปล่อยให้คนอื่นเป็นคนตอบคำถามของนากาแทน

 

ซึ่งการกระทำของซึบากินั้นก็ได้ทำให้คาร์เทียร์ที่เป็นคนเดียวในห้องที่รู้เรื่องนี้นอกจากซึบากิเผยสีหน้าเศร้าๆ ออกมาก่อนที่เธอจะชี้ไปทางประตูด้านหลังห้องที่มีเส้นทางเชื่อมไปยังห้องใต้ดินและเอ่ยปากพูดตอบนากากลับไป

 

“ถ้าคุณนิลิมล่ะก็เพิ่งจะพาพี่พรีมูล่าลงไปในห้องเย็นด้านล่างเมื่อกี้นี้เองน่ะค่ะ”

 

“ฉันขอลงไปหาได้มั้ย…?”

 

“ค่ะ… ได้อยู่แล้วสิคะ…”

 

นากาที่ได้รับคำอนุญาตมาจากคาร์เทียร์นั้นไม่รอช้าที่จะเปิดประตูด้านหลังห้องตรวจและเดินตรงไปตามโถงทางเดินแคบๆ เพื่อเดินลงบันไดไปยังห้องใต้ดิน

 

และเมื่อนากาผลักบานประตูโลหะที่หนาและหนักว่าปกติมากให้เปิดออกเขาก็ได้พบกับหญิงสาวผมสีชมพูที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของโลงศพที่ทำจากน้ำแข็งที่บรรจุร่างของเด็กสาวผมชมพูที่นอนนิ่งเอาไว้

 

“คุณแม่…?”

 

นากาเอ่ยปากเรียกคุณแม่ของเขาขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เธอเพื่อมองลอดผ่านหีบศพน้ำแข็งเข้าไปยังใบหน้าของพรีมูล่าที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับเอาไว้อยู่บนใบหน้าเหมือนกับในช่วงเวลาที่เธอจากพวกเขาไปอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก่อนที่นิลิมจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“ลูกหนาวหรือเปล่า…? จะให้แม่ลดความเย็นลงให้มั้ย…?”

 

“ไม่เป็นไรครับ…”

 

“งั้นหรอ…”

 

นิลิมพูดตอบนากากลับไปเบาๆ และลูบไปตามหีบน้ำแข็งบริเวณเหนือศีรษะของพรีมูล่าอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยปากถามลูกชายของเธอที่เป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพรีมูล่ามากที่สุดขึ้นมา

 

“ที่ผ่านมาเขาดื้อมากเลยใช่มั้ย พรีมูล่าจังน่ะ…”

 

“ครับ… ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ตั้งแต่คุณแม่ออกไปทำงานพรีมูล่าก็ยังดื้อแบบเดิมมาตลอดเลย”

 

“ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ สินะ…”

 

นิลิมที่ได้ยินแบบนั้นได้เผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดตอบลูกชายของเธอกลับไปเบาๆ ซึ่งน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยนของนิลิมและภาพของพรีมูล่าที่นอนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของเขานั้นก็ได้ทำให้น้ำตาของนากาที่หยุดไหลไปนานได้ไหลรินออกมาอีกครั้ง

 

“ฮึก…ผ…ผมขอโทษ…ถ…ถ้าเกิดผมห้ามพวกพรีมูล่าเอาไว้ไม่ให้ออกมาจากเมืองซะตั้งแต่แรกล่ะก็…”

 

“นากาคุง…”

 

“ถ้าเกิดผมบอกห้ามหรือพยายามหยุดทุกคนเอาไว้สักนิดล่ะก็… ถ้าเกิดตอนนั้นผมยอมฟังคำเตือนล่ะก็…เรื่องมันก็คงจะไม่—”

 

หมับ—

 

ในขณะที่คำพูดต่างๆ กำลังพรั่งพรูออกมาจากปากของนากาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอยู่นั้น นิลิมก็ได้ยื่นมือสีขาวซีดทั้งสองข้างของเธอออกมาจากแขนเสื้อของเธอและโอบกอดนากาเอาไว้จนทำให้เขาหยุดชะงักไป

 

“ลูกอย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลยนะ…แม่ขอล่ะ…”

 

“ต…แต่ว่า…”

 

“แม่ขอร้องล่ะ…”

 

“…..”

 

น้ำเสียงที่สั่นคลอของนิลิมได้ทำให้นากาเงียบเสียงลงไปก่อนที่เธอจะลูบศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยนและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“ถึงตอนนี้ลูกจะร้องไห้… แต่ว่าแม่ขอให้ลูกเข้มแข็งเอาไว้… ไม่ใช่เพื่อแม่ แต่เพื่อตัวลูกเอง… ลูกน่ะยังมีอนาคตเบื้องหน้าให้เฝ้ารอไขว่คว้า… แม่ยังไม่อยากให้ลูกต้องมาล้มลงตรงนี้… อย่าให้แม่และพรีมูล่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของลูกต้องพังทลายลงมาเลยนะ…”

 

คำพูดของนิลิมได้ทำให้นากาสามารถรับรู้ได้ว่าถึงแม้นิลิมจะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายออกมา แต่ว่าเธอเองก็รู้สึกเสียใจจากการสูญเสียไปไม่ยิ่งหย่อนกว่าเขาอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมาโอบกอดคุณแม่ของเขากลับไป

 

“แต่ถ้าเกิดว่าพวกผมไม่เข้าไปข้างในหมู่บ้านจนเกะกะงานของคุณแม่ล่ะก็…”

 

“มันไม่ใช่การตัดสินใจที่วู่วามไร้ความรอบคอบหรอกนะ… แต่ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ลูกตั้งใจจะเลือกมันเอง… เพื่อปกป้องทุกๆ คน… เพื่อปกป้องคุณพ่อของโมโกะจัง… เพื่อปกป้องชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะที่ลูกรู้จัก… ไหนลองบอกแม่หน่อยสิ… ถ้าเกิดว่าลูกย้อนเวลากลับไปได้… การตัดสินใจของลูกจะเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่าล่ะ…”

 

“ผม… ก็คงจะกลับไปที่หมู่บ้านและพยายามช่วยทุกคนอีกครั้งหนึ่งอยู่ดีครับ…”

 

นากาที่ได้ยินคำถามของนิลิมได้นิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดตอบเธอกลับไปเบาๆ เพราะต่อให้เขาจะรู้ว่าพรีมูล่าจะต้องตายถ้าหากกลับไปที่หมู่บ้าน พวกเขาก็จะยังคงตัดสินใจจะกลับไปที่นั่นเพื่อช่วยเหลือคุณพ่อของโมโกะ หรือว่าต่อให้คุณพ่อของโมโกะจะไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านในเวลานั้น ตัวเขาเองและเพื่อนๆ ก็คงจะยังตัดสินใจที่จะกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เขารู้จักโดยทำเพียงแค่พยายามระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอยู่ดี

 

ซึ่งคำตอบของนากาก็ได้ทำให้นิลิมเผยรอยยิ้มที่แลดูอบอุ่นออกมาก่อนที่เธอจะลูบหัวของเขาอย่างอ่อนโยน

 

“เห็นมั้ยล่ะจ๊ะ… การกระทำของพวกลูกน่ะช่วยชีวิตของคนอื่นๆ เอาไว้ได้อีกตั้งหลายสิบคนเลยนะจ๊ะ… เพราะงั้นหนูอย่าโทษตัวเองเลย… ไหนลองนึกดูสิว่าก่อนที่พรีมูล่าจะจากไปเขาได้พูดอะไรเอาไว้น่ะ…”

 

พี่นากา…อย่าร้องไห้สิ… หนูชอบตอน…ที่พี่นากา…ยิ้ม…มากกว่านะ…

 

“…….!!”

 

คำพูดของนิลิมได้ทำให้คำพูดสุดท้ายของพรีมูล่าที่ฟังดูอ่อนแรงและภาพรอยยิ้มขี้เล่นของเธอผุดขึ้นมาในหัวของนากาอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ได้ต่างอะไรไปจากรอยยิ้มที่กำลังประดับอยู่บนใบหน้าของพรีมูล่าที่กำลังนอนอยู่ในหีบน้ำแข็งในตอนนี้เลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“เธอบอกว่าให้ผมอย่าร้องไห้แล้วก็ให้ยิ้มเข้าไว้… เสร็จแล้วก็ดันมาบอกว่ารอยยิ้มผมดูไม่ได้เลยซะอย่างนั้นล่ะ… ยัยตัวแสบเอ๊ย…”

 

“ก็สมกับเป็นพรีมูล่าที่แม่จำได้ดีนะจ๊ะนั่น… แต่ลูกเข้าใจแล้วใช่มั้ย… ต่อให้ตอนนี้ลูกจะร้องไห้สักแค่ไหน… แต่แม่ขอให้หลังจากนั้นลูกจะยังเข้มแข็งเอาไว้และยืนหยัดกลับขึ้นมา… เพื่อตัวลูกเอง เพื่อเพื่อนๆ ของลูก… แล้วก็เพื่อพรีมูล่าเขาด้วยนะ…”

 

“…ครับ!!”

 

นากาพูดตอบนิลิมกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะซุกหน้าของตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของนิลิมอีกครั้ง โดยที่นิลิมเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและทำเพียงแค่ลูบศีรษะของเขาเบาๆ พร้อมกับจ้องมองไปยังพรีมูล่าที่นอนหลับอยู่อย่างสงบในหีบน้ำของไปด้วยแววตาอ่อนโยน