บทที่ 3 เรียกอสูรกายมาโจมตี

บัลลังก์ชายาหมอเทวดา

บทที่ 3 เรียกอสูรกายมาโจมตี

เจ้าพระยาเซี่ยลงมืออย่างไม่ยั้งมือและเคลื่อนที่อย่างว่องไว ราวกับต้องการจะปลิดชีพเย่จายซิงให้ได้ ณ ตรงนั้น ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พากันเดาว่าพวกตนจะต้องได้เห็นการต่อสู้ที่มีโลหิตสาดกระเซ็นอย่างแน่นอน
คนที่ขี้ขลาดก็ยกมือขึ้นมาปิดดวงตาเอาไว้ เพราะไม่กล้ามองเหตุการณ์เลือดสาดที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทว่าภาพที่จินตนาการเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น เย่จายซิงขยับร่างกายด้วยฝีเท้าอันว่องไวราวกับวิญญาณ เร็วจนชาวบ้านมองไม่ทันว่าเขาได้พาเย่ยู่หยางหลบไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว
นางเคลื่อนที่เร็วเกินไป เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทำให้กระบี่ของเจ้าพระยาเซี่ยฟันโดนเพียงอากาศ หินสีเขียวที่อยู่ด้านล่างถูกฟันจนเกิดเป็นรอยกระบี่ขึ้น
“คนซื่อบื้ออย่างเจ้าหลบไปได้อย่างไร!”
แววตาอำมหิตของเจ้าพระยาเซี่ยปรากฏความตกใจ
เย่เจียหยูตกใจจนอ้าปากค้าง ทำไมนางถึงไม่รู้ว่าเย่จายซิงมีฝีเท้าที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย?
ทั้งๆ ที่ไม่อาจสัมผัสพลังทิพย์จากตัวนางได้ แต่นางกลับรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
เย่ยู่หยางประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อครู่นี้เขากำลังเตรียมจะช่วยปกป้องพี่สาวของตน คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวจะเข้ามาขวางการโจมตีของเจ้าพระยาเซี่ยได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
“เจ้าพระยาเซี่ยมีความสามารถแค่นี้เองหรือ ดูท่าเจ้าพระยาเซี่ยที่ได้สมญาว่าปรมาจารย์เคนโด้มีฝีมือเพียงเท่านี้หรือ ไม่ได้แข็งแกร่งดังชื่อเลย”
เย่จายซิงถูกไอกระบี่จนสัมผัสได้ถึงรสคาวที่ปะทุขึ้นมาจากในอก นางจึงกลืนลงไปโดยไม่มีใครรู้ และมองไปที่เจ้าพระยาเซี่ย และตั้งใจฉีกรอยยิ้มดูแคลนออกไปเพื่อยั่วโมโหเขา
ตอนนี้เขาอารมณ์เดือดพล่านและยิ่งรู้สึกอย่างจะสังหารนางมากขึ้นไปอีก ยอดฝีมือที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบจึงยังไม่กล้าลงมือกับนาง นางทำเช่นนี้เพื่อเป็นการยืดเวลาออกไป
ระหว่างที่กล่าว มือของนางที่อยู่ในแขนเสื้อปรากฏขลุ่ยหยกขาวขึ้นมา นางจึงเคาะเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณเสียงต่ำที่หูของคนไม่สามารถได้ยินได้ออกไป
เจ้าพระยาเซี่ยถูกเยาะเย้ย แถมคนที่เยาะเย้ยเขายังเป็นผู้หญิงที่เขารังเกียจมากที่สุดอีกด้วย เขาจึงยิ่งพลุ่งพล่าน กระบี่ของเขาส่องประกายราวสายรุ้งเคลือบไปด้วยแรงพยาบาท ที่ต้องการจะตัดคอของเย่จายซิงมาให้ได้
เย่จายซิงก้าวหนี ฝีเท้าของนางทำให้คนนึกไปว่านางล่องลอยอยู่บนกลีบเมฆ
เจ้าพระยาเซี่ยยังคงทำอะไรนางไม่ได้ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งตอนนี้ ราวกับว่ากระบี่ของเขาฟาดฟันลงบนปุยนุ่น เขาจึงรู้สึกชะงักด้วยความโกรธ ก่อนจะแผดเสียงออกไปด้วยความกราดเกรี้ยว:
“ยืนงงอะไรกันอยู่ เย่จายซิงทำผิดในโทษฐานลักทรัพย์ ทุกคนเข้าไปจัดการนางเดี๋ยวนี้ จับตายนางมาให้ได้!”
เมื่อเหล่าองครักษ์ได้ยินคำสั่ง ต่างรีบหยิบอาวุธออกมาแล้ววิ่งกระโจนเข้าใส่เย่จายซิงทันที
“หาว่าข้าลักทรัพย์ ทั้งๆ ที่พวกเจ้าไม่มีหลักฐาน ใช้คำพูดโยนความผิดให้กับข้า น่าตลกยิ่ง!”
เย่จายซิงนำตัวน้องชายหน้าละอ่อนไปไว้ด้านหลังตน เมื่อเห็นแววตาของชาวบ้านที่เย็นชาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน นางจึงยิ้มเย้ยหยันออกมา
“นางอัปลักษณ์ ต่อให้เจ้าจะกลับกลอกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
สีหน้าของเจ้าพระยาเซี่ยเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เขาโบกมือให้ทุกคนรีบจัดการนางโดยเร็วที่สุด เขาอยากจะฆ่าเย่จายซิงให้ตายตั้งนานแล้ว วันนี้จะต้องใช้โอกาสนี้จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน
“ท่านเจ้าพระยาเย่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่สาวของข้า เป็นข้าเอง……”
เย่ยู่หยางก้าวเท้าออกมาข้างหนึ่งเตรียมจะรับผิดแทน โดยจะรับความผิดทั้งหมดของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะได้ไม่ลงมือกับพี่สาวของเขา
ยังไม่ทันจะพูดจบ มือบอบบางคู่หนึ่งก็ได้มาปิดปากของเขาเอาไว้
“ยู่หยาง อะไรที่พวกเราไม่ได้ทำ ไม่ต้องยอมรับ การเป็นคนต้องไม่ทำเรื่องน่าละอายใจ แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม”
เย่จายซิงมองไปยังหนุ่มน้อยหน้าละอ่อน จากนั้นจึงกะพริบตาให้เขาอย่างเจ้าเล่ห์ “ยิ่งไปกว่านั้น พี่จะปล่อยให้เจ้าตายได้อย่างไร”
นางหันตัวไปแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยท่วงท่าเย่อหยิ่งและไร้อารมณ์ ผมดำขลับอันยุ่งเหยิงของนางพลิ้วไหวแม้ไร้ลม ลำแสงหลายสิบสายที่เต็มไปด้วยไอสังหารอันหนาวยะเยือก แต่นางกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่แยแส
ในตอนนั้น เย่ยู่หยางรู้สึกสงบลง เขารู้สึกว่าพลังงานจากพี่สาวของเขาทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขาทั้งสองจะเข้าใกล้ความตายเต็มที แต่เขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัว
ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าสองพี่น้องจะต้องตายอย่างแน่นอนนั้นเอง พลันเกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้นมา เงาสีดำขนาดมหึมาโฉบมาบดบังท้องฟ้าเอาไว้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด
ในตอนที่อาวุธของพวกเขากำลังจะสัมผัสโดนตัวสองพี่น้องนั้นเอง เงาดำขนาดมหึมานั้นได้สยายปีกทั้งสองข้างออก ทำให้การโจมตีปะทะเข้าที่ปีกสีดำอันแข็งแกร่งราวกำแพงเหล็กนั้นแทน
“นี่……นี่มันอินทรีผู้ปีกดำ! อสูรกายขั้น 6”
“อะไรนะ! อสูรกายขั้น 6ที่ฝึกตนช่วงปลายของแดนราชาทิพย์จะบินเข้ามาในเมืองได้อย่างไร!”
“หรือว่าจะมีอาจารย์อัญเชิญอยู่แถวนี้!”
“หรือว่าหนึ่งในสองพี่น้องนี้จะมีใครสักคนเป็นอาจารย์อัญเชิญ”
ทุกคนต่างพากันถอยหลังไป ด้วยความตกใจขวัญเสีย
นี่คืออสูรกายดุร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าลึกที่มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
โดยปกติแล้วเหล่าอสูรกายพวกนี้ไม่ค่อยมาปรากฏตัวในเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอาจารย์อัญเชิญเรียกมันมา
“ตลกน่า อาจารย์อัญเชิญยากที่จะหาตัวเจอ ในแคว้นหงส์แดงของพวกเรามีเพียงคุณหนูใหญ่เย่เท่านั้นที่เป็นอสูรทิพย์อาจารย์อัญเชิญ หากสวะสองตัวนี้เป็นอาจารย์อัญเชิญ ข้ายอมเอาหัวปักพื้นยอมเป็นม้านั่งให้ทุกคนนั่งเลย”
“ใช่แล้ว! พวกเขาไม่ได้ฝึกตนไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์อัญเชิญไปได้ บางทีอาจจะมีอาจารย์อัญเชิญที่คอยช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลัง”
“ใครจะช่วยสวะสองตัวนี้กัน!”
ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่เชื่อ จริงๆ แล้วพี่น้องสองคนนี้จะต้องตายไปแล้ว แต่กลับปรากฏอสูรยักษ์ออกมาปกป้องพวกเขา ทำให้บนตัวพวกเขาไม่มีริ้วรอยบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
เจ้าพระยาเซี่ยกับเย่เจียหยูทั้งตกใจทั้งโมโห เพราะพวกเขาอยากให้เย่จายซิงตายคาที่ไปเสียเดี๋ยวนี้
“อาจารย์อัญเชิญผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่กำลังต่อกรกับข้าอยู่ ขอให้รู้เอาไว้ว่าเย่จายซิงทำความผิดใหญ่หลวง การช่วยนางก็เท่ากับเป็นศัตรูกับราชสำนัก!”
เจ้าพระยาเซี่ยแผดเสียงสูงอยากจะกระชากคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ เพราะเขาเองก็ไม่เชื่อว่าทั้งสองคนนี้จะมีใครเป็นอสูรทิพย์อาจารย์อัญเชิญ
ทว่าไม่มีใครตอบรับคำพูดของเขา
อีกอย่างอินทรีผู้ปีกดำยังคงเดินหน้าโจมตีลูกน้องของเขาต่อไป ผ่านไปไม่นานนักก็เกิดเสียงกรีดร้องดังโกลาหล
เจ้าพระยาเซี่ยกำหมัดเอาไว้แน่น ก่อนจะชี้ไปยังองครักษ์ “พวกเจ้ารีบล่ออินทรีผู้ปีกดำออกไป! ส่วนคนอื่นๆ รอให้อสูรไปก่อนแล้วค่อยกลับมาสังหารสองคนนี้!”
องครักษ์ที่ถูกสั่งการตัวสั่นงังงกแต่ก็ไม่กล้าฝืนคำสั่ง จึงกัดฟันแน่นแล้ววิ่งออกไป โดยพยายามโจมตีอินทรีผู้ปีกดำและวิ่งออกไปยังด้านนอกเมือง
ปั้ง!
อินทรีผู้ปีกดำสยายปีก ทำให้องครักษ์หลายคนถูกแรงลมจากปีกของมันพัดกระเด็นไปติดกำแพงจนกระอักเลือดและไม่สามารถลุกกลับขึ้นมาได้อีก
“ล่อมันไม่ไป!”
เจ้าพระยาเซี่ยขมวดคิ้วแน่น เขากัดฟันและบีบป้ายหยกในมือจนแตกละเอียด
เมื่อเย่จายซิงเห็นรูปการณ์ดังนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา เขาดึงตัวน้องชายหน้าละอ่อนไปแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของอินทรีผู้ปีกดำ
“ไป!”
แค้นชำระอีกสิบปีก็ไม่สาย วันนี้ต้องรักษาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน วันหลังหากมีโอกาสค่อยกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นอสูรกายที่ดุร้ายมากในวันวานยอมให้สองพี่น้องเย่จายซิงขึ้นไปนั่งบนหลังอย่างว่าง่าย แถมยังบินขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง คนทั้งหมดต่างพากันเหม่อลอยและพรั่นพรึงอย่างมาก
หรือว่าเย่จายซิงจะเป็นอสูรกายอาจารย์อัญเชิญจริงๆ อสูรกายจึงฟังคำสั่งของนาง?
แต่หากเป็นอย่างนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไป
อินทรีบินขึ้นไป ทำให้เกิดพายุโหมกระหน่ำ มันเคลื่อนที่เร็วมากเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว
ฟึ่บ!
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงพุ่งทะยานแหวกอากาศก็ดังขึ้นมาก้องทั่วทั้งท้องฟ้า ลูกธนูไฟแหวกทะยานผ่านขอบฟ้าขึ้นมา
จากนั้นจึงเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น อสูรกายระดับ 5 ขนาดยักษ์ดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วลงไปกระแทกเข้ากับหลังคาบ้าน บนศีรษะของมันมีลูกธนูขนาดใหญ่สีแดงเสียดแทงลูกตาที่ส่องประกายวับไหวปักอยู่
ขณะที่อสูรกายขนาดยักษ์ตัวนี้กำลังจะตาย แววตาของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดราวกับดวงตาของมนุษย์ เนื่องจากมันยังไม่สามารถพาเย่จายซิงหนีไปได้จึงรู้สึกผิดอย่างมาก จากนั้นมันจึงหลับตาทั้งสองลงชั่วนิรันดร์
เย่จายซิงกำหมัดแน่น ร่างของนางแผ่ไอสังหารออกมา สายตาของนางจดจ้องไปที่ผู้อาวุโสอสรพิษที่กำลังถือคันธนูที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก