ตอนที่ 157 การแสดงดีๆ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (4)
ไม่นาน ไป๋อวิ๋นเซียนก็ถูกเชิญตัวไปที่ท้องพระโรง มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเล่าถึงแผนการของนางที่ยังไม่ทันได้เริ่มก็ถูกผู้อื่นทำลายจนสิ้นซากให้กับไป๋อวิ๋นเซียนฟัง
“เป็นไปไม่ได้…” ไป๋อวิ๋นเซียนดูเหลือเชื่อ “พิษพวกนี้อาจารย์ข้าเป็นคนสอนข้าหลอมด้วยตัวเอง ทั่วทั้งใต้หล้านี้นอกจากผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋น อาจารย์ข้า และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลอมยาถอนพิษขึ้นมาได้อีก!”
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกับฮ่องเต้หันไปสบตากัน เผยให้เห็นความประหลาดใจในดวงตาของอีกฝ่าย
สำนักชิงอวิ๋นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ที่สุดในโลก พวกเขาได้รับการยกย่องจากผู้คนนับไม่ถ้วน และได้ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย แต่ในด้านที่ไม่มีใครรู้ พวกเขากลับสอนเรื่องยาพิษที่ร้ายกาจเช่นนี้ให้กับลูกศิษย์อย่างนั้นเหรอ
มีการคาดเดามากมายเกิดขึ้นในใจของพวกเขา แต่สองพ่อลูกก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดหรือถามอะไรออกมาในเวลานี้
“ไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียไปว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเพื่อแก้ไขวิกฤตมาจากที่ใด แต่ตอนนี้นางกับมั่วเฉี่ยนยวนได้ยกทัพบุกเข้ามาในวังหลวงแล้ว ข้ากลัวว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้แก่เจ้าได้ แต่เจ้าวางใจเถอะ ตราบเท่าที่มีข้าอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายก้อย” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยจับมือไป๋อวิ๋นเซียนไว้แน่น ดวงตาของเขาที่มองไปยังนางเปี่ยมไปด้วยความรักลึกซึ้ง คำพูดหวานหยดหลุดออกมาจากปากของเขาอย่างลื่นไหลไม่มีเขินอายแม้แต่นิดเดียว
“นางกล้าเหรอ ถ้านางกล้าก็ให้นางเข้ามา! ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่านางจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้ ตอนนี้ผีเสื้อครวญจิตของข้าส่งข้อความไปถึงท่านอาจารย์เรียบร้อยแล้ว และท่านอาจารย์ก็ได้ส่งผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋นออกเดินทางมายังรัฐชีแล้ว ถ้านางกล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเส้นผม นางก็รอรับความพิโรธจากเจ้าสำนักชิงอวิ๋นได้เลย” ไป๋อวิ๋นเซียนเยาะเย้ย “แต่เดิมข้าคิดว่าจะจัดการปัญหาพวกนี้ด้วยตัวเองก่อนที่คนของสำนักชิงอวิ๋นจะมาถึง แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว แผนล้มเหลวก็ปล่อยให้มันล้มเหลวไปสิ ต่อหน้าคนของสำนักชิงอวิ๋นที่กำลังจะมาถึง นางจะทำตัวโอหังได้อีกนานสักแค่ไหนกันเชียว”
ขณะที่ไป๋อวิ๋นเซียนกำลังปรามาสจวินอู๋เสียอย่างดุร้าย นางไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยได้แอบส่งยิ้มให้กันอย่างลับๆ
การเลือกผลักไป๋อวิ๋นเซียนให้ออกไปรับหน้าแทน เป็นความคิดที่ถูกต้องที่สุดจริงๆ
“จะมีก็แต่คนโง่เง่าเท่านั้นแหล่ะที่ไม่รู้จักความกลัว” จู่ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นสายหนึ่งก็ดังมาจากประตูท้องพระโรง ทั้งสามคนที่อยู่ด้านในรีบกลับไปมองทางต้นเสียงทันที
เห็นเพียงแต่จวินอู๋เสียกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูท้องพระโรงพร้อมกับมั่วเฉี่ยนยวน ข้างหลังของพวกเขา กองทัพรุ่ยหลินหลายพันนายยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ การมาของกลุ่มคนที่เป็นดั่งเทพสังหาร ทำให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูท้องพระโรง ขันที และนางกำนัลที่ยืนอยู่บริเวณนั้นหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะปริปากส่งเสียงร้องออกมา!
พระหทัยของฮ่องเต้สั่นสะท้าน ลำพระศอของพระองค์ถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออกเพราะดวงตาเย็นชาคู่นั้นของจวินอู๋เสียที่มองมา มันช่างน่าขนลุกจริงๆ แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไรมาก และไม่ได้มีการแสดงออกใดบนสีหน้าของนาง แต่พระองค์ก็สัมผัสได้ว่าเด็กสาวตรงหน้านี้อันตรายมากจริงๆ พระโลมาของฮ่องเต้ลุกพรึบไปทั่วทั้งร่าง พระองค์ทรงขดตัวเข้าหาบัลลังก์เพื่อมองหาความปลอดภัยให้กับตัวเอง
“เสด็จพ่อ” มั่วเฉี่ยนยวนเดินตามหลังจวินอู๋เสียเข้าไปในห้องโถงอย่างใจเย็น และเรียกบุรุษผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ออกไปอย่างสุภาพ
ไป๋อวิ๋นเซียนกัดฟันแน่นเมื่อเห็นจวินอู๋เสีย หากไม่ใช่เพราะมั่วเซวี่ยนเฝ่ยจับมือของนางไว้ นางคงปรี่เข้าไปตบสั่งสอนจวินอู๋เสียสักฉาดสองฉาดแล้ว
“เจ้ามาแล้วหรือ…” ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้น น้ำเสียงของพระองค์ไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนเมื่อครั้งในอดีตอีกต่อไป แต่มันเต็มไปด้วยความสั่นเครือภายใต้แรงกดดัน ทันทีที่ฮ่องเต้ได้ยินเสียงของพระองค์เอง พระองค์ก็ทรงตระหนักได้ว่าจะสูญเสียอำนาจมาดความยิ่งใหญ่ต่อหน้าทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด จึงรีบปรับท่วงท่าของพระองค์เองและจัดการควบคุมอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ
“ทูลเสด็จพ่อ พระองค์คงได้รับฎีกาถึงเรื่องที่มีคนทรยศแฝงตัวอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์แล้ว เจตนาของคนผู้นั้นก็คือการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งเมืองหลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากและให้อภัยไม่ได้! การที่ลูกนำกองทัพรุ่ยหลินบุกเข้ามาในวังหลวงโดยปราศจากการอนุญาตจากเสด็จพ่อในวันนี้ ก็เพราะลูกเป็นห่วงในความปลอดภัยของพระองค์ หวังว่าเสด็จพ่อจะเข้าพระทัย รอจนกว่าลูกจับโจรชั่วผู้นั้นได้ก่อน หลังจากนำมันไปสำเร็จโทษตามกฎหมายแล้ว ลูกจะกลับมาขอรับโทษจากพระองค์ด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นเสด็จพ่อจะลงโทษลูกอย่างไรก็ตามแต่พระประสงค์ของพระองค์เลย” มั่วเฉี่ยนยวนคุกเข่าลงข้างหนึ่งท่ามกลางท้องพระโรง เสียงของเขาดังก้อง เขากล่าวทุกประโยคอย่างช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำ
มุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย พระองค์อยากจะแค่นเสียงหัวเราะออกไปดังๆ นัก เหอะ ลงโทษตามแต่พระประสงค์ของพระองค์อย่างนั้นเหรอ เขาช่างกล้าพูด! ด้วยกองทัพรุ่ยหลินจำนวนนับครึ่งหมื่นที่เขานำเข้ามาเหยียบพระพักตร์ของพระองค์ถึงในวังหลวง พระองค์ยังจะมีอำนาจใดไปลงโทษเขาได้อีก!
ตอนที่ 158 การแสดงดีๆ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (5)
สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้อยากจะกระอักโลหิตมากที่สุดก็คือ จวินอู๋เสียที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างๆ มั่วเฉี่ยนยวนราวกับเทพเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าว่าแต่คำกล่าวทักทายตามมารยาทพิธีเลย นางไม่แม้แต่จะชายตามองพระองค์ด้วยซ้ำ มองผ่านพระองค์ไปเหมือนกับพระองค์เป็นเพียงของประดับชิ้นหนึ่ง!
นี่นางเห็นข้าเป็นตัวอะไรกันแน่!
ฮ่องเต้ทรงพยายามระงับอารมณ์ ไม่ใส่พระทัยกับกิริยาอันไร้สกุลรุนชาติที่นางแสดงออกมา
ฮ่องเต้คิดไม่ตก แผนการของพระองค์มันผิดพลาดที่ตรงไหน องค์รัชทายาทขยะที่รอวันถูกปลดลงจากตำแหน่ง จู่ๆ ก็มีสุขภาพร่างกายที่ดีวันดีคืน เท่านั้นไม่พอ เขายังได้รับแรงสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่จากประชาชนในเวลาอันสั้น สถานการณ์ที่พลิกกลับตาลปัตรเช่นนี้ ทำให้พระองค์ไม่อยากจะเชื่อสายพระเนตรของพระองค์เลยจริงๆ
แต่หากลองพิจารณาดีๆ อีกครั้ง ก็คงเป็นตั้งแต่ตอนนั้นกระมังที่มั่วเฉี่ยนยวนและจวินอู๋เสียได้มาเป็นพันธมิตรกัน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุการณ์ใดที่ชักนำให้คนทั้งคู่มาลงเรือลำเดียวกัน หรืออาจจะเป็นเพราะตั้งแต่อนนั้นที่พระองค์ทรงมีความคิดที่จะกำจัดองค์รัชทายาทและคนสกุลจวินไปพร้อมๆ กันก็ได้!
คนหนึ่งคุณหนูใหญ่ขยะจากจวนหลินอ๋องที่ไม่มีอะไรดี ส่วนอีกคนก็องค์รัชทายาทขี้โรคที่ร่างกายมีแต่พิษร้ายสะสม…
คนสองคนที่พระองค์คิดว่าสามารถบดขยี้ได้ตามใจปรารถนา ไม่คิดเลยว่าพอหันมาจับมือร่วมงานกันแล้ว มันจะชักนำหายนะใหญ่หลวงมาสู่พระองค์ได้มากขนาดนี้!
ถึงขั้นบุกเข้าวังบีบให้พระองค์สละราชบัลลังก์!
ฮ่องเต้อยากจะสบถด่าใส่หน้าพวกเขาดังๆ ยิ่งนัก แต่พระองค์ทำไม่ได้ พระองค์ทรงไม่สามารถทำได้
ทรงรู้ตัวดี…ว่าพระองค์ในวันนี้ไม่อาจเทียบได้กับในวันวานอีกต่อไปแล้ว
“ลุกขึ้นเถิด เจ้าอุทิศกายใจเพื่อรัฐชีของเราไปมากมาย ข้าจะกล้ากล่าวตำหนิลงโทษเจ้าได้อย่างไร” ฮ่องเต้ฝืนกัดพระทนต์และตรัส พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กระอักโลหิตออกมาจริงๆ
“ลูกไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการรักษาและยาถอนพิษ จึงได้เชิญจวินอู๋เสียมาเป็นพิเศษเพื่อให้คำแนะนำพ่ะย่ะค่ะ การที่เหตุการณ์วางยาพิษคนเมืองหลวงในครั้งนี้จบลงด้วยดี ก็เพราะมีจวินอู๋เสียช่วยปรุงยาถอนพิษให้ ลูกถึงสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือชาวเมืองได้อย่างทันท่วงทีพ่ะย่ะค่ะ” ยามอยู่นอกวัง จวินอู๋เสียยกความดีความชอบทั้งหมดให้เขาเพื่อให้ประชาชนได้มองเห็นเขาและรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเขา แต่พออยู่ในวังหลวง มั่วเฉี่ยนยวนกลับไม่หน้าด้านพอที่จะริบความดีความชอบทั้งหมดนี้ไว้กับตัวเอง
หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้น พระเนตรของพระองค์ก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย
ตรงกันข้ามกับไป๋อวิ๋นเซียนที่ยืนอยู่ข้างๆ มั่วเซวี่ยนเฝ่ย นางไม่สามารถระงับความไม่พอใจไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “อาศัยคนอย่างนางน่ะเหรอ”
ยาพิษของสำนักชิงอวิ๋น ไม่มีใครในรัฐชีนี้ที่จะรู้ดีมากไปกว่านางอีกแล้ว จวินอู๋เสียอาศัยความสามารถอะไรมาหลอมยาถอนพิษขึ้นเอง คิดว่ามันจะสามารถใช้งานได้จริงๆ หรือไร
ดวงตาที่ว่างเปล่าของจวินอู๋เสียจับจ้องไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนนิ่งๆ แม้ร่างที่เยาว์วัยกว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าแค่สายตาของนางก็เพียงพอแล้วที่จะทิ่มแทงไป๋อวิ๋นเซียนให้พรุนไปทั้งร่าง
“รากจิตโศกา หญ้าวิญญาณน้ำแข็ง เกล็ดจิ้งเหลนทะเลเพลิง…” ผ่านไปพักหนึ่ง จวินอู๋เสียถึงค่อยๆ ร่ายรายชื่อสมุนไพรออกมาทีละชนิด ในบรรดาสมุนไพรมากมายหลายสิบชนิด ยกเว้นสองหรือสามชนิดแรกที่เป็นที่รู้จักกันดี ที่เหลือคนอื่นๆ ที่อยู่ในท้องพระโรงยามนี้ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของพวกมันมาก่อนเลย
คนอื่นไม่รู้ แต่ใช่ว่าไป๋อวิ๋นเซียนจะไม่รู้ด้วยนี่ ในขณะที่สีหน้าของทุกคนฉายแววฉงนสงสัย มีเพียงไป๋อวิ๋นเซียนคนเดียวเท่านั้นที่หน้าซีดขึ้นทุกขณะ!
เป็นไปไม่ได้! นางรู้ได้อย่างไรกัน!
เหตุใดนางถึงรู้จักตัวยาพวกนี้!
ไป๋อวิ๋นเซียนมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง สมุนไพรทุกตัวที่จวินอู๋เสียเพิ่งพูดชื่อออกมานั้น ล้วนเป็นส่วนผสมของยาพิษของสำนักชิงอวิ๋นทั้งสิ้น แถมนางยังพูดได้อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่ชนิดเดียวด้วย!
สูตรการหลอมยาพิษที่มีเพียงศิษย์สำนักชิงอวิ๋นเท่านั้นที่รู้ จวินอู๋เสียไปรู้พวกมันมาได้อย่างไร!
จวินอู๋เสียยังคงพูดต่อไปอย่างไม่ยี่หระ กระนั้นหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหางตาของนางชี้ขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมลอบมองไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนที่หน้าซีดเผือดด้วยความสะใจ ก่อนจะจบประโยคด้วยคำพูดที่ทำเอาไป๋อวิ๋นเซียนแทบบ้าคลั่งว่า “ก็แค่ของเล่นเด็กๆ เจ้ายังกล้าเอามาอวดต่อหน้าผู้อื่นอีก”
สีหน้าของไป๋อวิ๋นเซียนเปลี่ยนเป็นดำคล้ำทันใด นางมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยความโกรธจนตัวสั่น
แค่ของเล่นเด็กๆ อย่างนั้นเหรอ!
นางชักจะดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว!
อย่าให้ข้าให้ได้มีโอกาสเชียว สาบานได้เลยว่าข้าจะหั่นร่างเจ้าออกเป็นชิ้นๆ และทรมานเจ้าให้สาสม!
เมื่อสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ถูกต้อง มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็รีบดึงไป๋อวิ๋นเซียนเข้าไปกอดไว้ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วเผลอไปสบตากับจวินอู๋เสียที่มองมา ร่างกายเขาก็แข็งทื่อไปเพราะถูกเจตนาฆ่าในดวงตาของนางทำเอาหวาดกลัวจนสติหลุดออกจากร่าง
พระเจ้าเถิด สายตาของนางในวันนี้ มันคือสายตานั้นที่เขาจะไม่มีวันลืมมันเลยตลอดชีวิต!
ในค่ำคืนนั้นที่เกิดการสังหารหมู่นอกประตูวังหลวง จวินอู๋เสียก็ยืนอยู่ท่ามกลางทัพทหารด้วยสายตาแบบเดียวกันนี้ นางที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยแอ่งโลหิตสีแดงสดจากร่างขุนนางชั้นสูง ช่างดูเหมือนปีศาจที่เพิ่งปีนขึ้นมาจากขุมนรกหนาวเหน็บก็ไม่ปาน ชวนให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูกสันหลัง
และเพียงการชำเลืองมองเบาๆ ร่างของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็เกือบทรุดลงไปกับพื้นเหมือนใบไม้ร่วงหล่น แต่เมื่อเขาก้มลงมองไป๋อวิ๋นเซียนที่หน้าซีดขาวในอ้อมแขน เขาก็กัดฟันทนแล้วเผชิญหน้ากับจวินอู๋เสียไปตรงๆ
“จวินอู๋เสีย เจ้ากำลังพูดเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้ากล้าเสียมารยาทต่ออาคันตุกะคนสำคัญของรัฐชีของเราได้อย่างไร เหตุใดเจ้าจึงได้หยาบคายไร้มารยาทเช่นนี้!” เขาต้องปกป้องไป๋อวิ๋นเซียนไว้!
จนกว่าความช่วยเหลือของสำนักชิงอวิ๋นจะมาถึง
จะให้ไป๋อวิ๋นเซียนเป็นอันตรายไม่ได้เป็นอันขาด!
จวินอู๋เสียมองไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งแล้วกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมา
รอยยิ้มนั้นของนาง ทำเอาทุกคนในท้องพระโรงถึงกับขนลุกพรึบขึ้นพร้อมกัน!