“ใช่ครับ เพราะตอนนี้เราไม่มีเบาะแสอื่นที่จะสามารถสืบต่อ” มารุตแบมือยักไหล่อย่างทำอะไรไม่ได้

นัทธีวางรูปถ่ายไว้ข้างๆ มองมารุตแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ “คุณว่า กระเป๋าของเธอมีของอะไร ที่คุ้มค่าให้ฉกชิง?”

มารุตส่ายหัว “เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบแล้ว”

นัทธีก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก เขาจับสันจมูกอย่างเหนื่อยล้า “นายไปบอกให้ป้าส้ม ให้ป้าส้มเตรียมชุดมาให้ผมหนึ่งชุด” พรุ่งนี้เอามาที่นี่

ได้ครับ” มารุตรับคำ หันหลังเดินจากไป

คืนนี้ นัทธีก็อยู่เฝ้าวารุณีในห้องพักผู้ป่วย

จนกระทั่งเช้าวันที่สอง มีโทรศัพท์โทรเข้ามา เขาจึงได้จากไป

หลังจากที่เขาไปไม่นาน วารุณีก็ตื่น

ป้าส้มได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็เข้ามาในห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว มองเธออย่างดีใจ “คุณวารุณี”

“ป้าส้ม?” วารุณีกะพริบตา “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”

เธอยันตัวขึ้นมานั่ง

ป้าส้มยื่นน้ำให้เธอหนึ่งแก้ว “คุณผู้ชายให้ฉันมาดูแลคุณ”

“ประธานนัทธี?” วารุณีรับแก้วน้ำมาแล้วมองซ้ายมองขวา “แล้วเขาล่ะ?”

“ไปแล้วค่ะ”

“เหรอคะ?” วารุณีดื่มน้ำไปหนึ่งคำ แววตาผิดหวังเล็กน้อย

ป้าส้มเปิดกระติกอาหาร “คุณวารุณีคงหิวแล้วมั้ง ฉันทำน้ำซุปมา คุณดื่มเยอะหน่อยนะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะป้าส้ม” วารุณีพยักหน้า

เธอก็หิวอยู่พอดีเลย

ป้าส้มนั่งลงข้างๆ ยิ้มมองเธอดื่มน้ำซุป

วารุณีถูกเธอมองจนรู้สึกเขินอาย ความเร็วของการดื่มน้ำซุปก็ลดลงมาด้วย “ป้าส้ม หน้าฉันมีอะไรเหรอคะ?”

“ไม่มีค่ะ ฉันก็แค่ดีใจ คุณผู้ชายยังไม่เคยห่วงใยใครแบบนี้มาก่อนเลย” ป้าส้มกล่าว

วารุณีขมวดคิ้ว ไม่ใช่มั้ง “คุณหนูนวิยาเป็นคนที่ประธานนัทธีแคร์มากที่สุดไม่ใช่เหรอ?”

“เธอ?” ป้าส้มแววตาเป็นประกาย จากนั้นก็ส่ายหัว แล้วไม่ได้พูดอะไร เหมือนมีอะไรที่ไม่สามารถพูดได้

วารุณีรู้สึกแปลกใจ ป้าส้มเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

หรือว่าเธอคิดมากไปแล้ว?

วารุณีคนน้ำซุปไป แอบครุ่นคิดคนเดียว

เวลานี้ เสียงประตูก็ดังขึ้น ป้าส้มเดินไปเปิดประตู

พิชิตเดินตามหลังของเธอเข้ามา “ยังเจ็บแผลอยู่มั้ย?”

วารุณีลูบไปที่ไหล่ “นิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน”

“มันก็ไม่มีผลอยู่แล้ว ก็แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น” พิชิตกลอกตาใส่เธอ แต่วินาทีต่อมา ก็ได้ชูนิ้วโป้งใส่เธอ “อย่างไรก็ตามผมนับถือคุณจริงๆ กล้าที่จะรับมีดแทนนัทธี สุดยอด”

วารุณีถูกชมจนรู้สึกเขินเล็กน้อย จนหน้าแดงแล้ว “ก็ไม่มีอะไรหรอก ประธานนัทธีก็เคยช่วยฉันหลายครั้ง”

“มันก็ใช่ คุณสองคนก็ช่วยกันไปมา ยังไม่มีความรู้สึกดีๆต่อกัน มันทำให้ผมคิดไม่ตกจริงๆ” พิชิตหรี่ตามองวารุณี เหมือนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ

วารุณีได้ยินเขาพูดแบบนี้ แววตาก็เกิดความตระหนก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ทำได้เพียงยิ้มๆ

แต่ความตื่นตระหนกของเธอ ยังถูกพิชิตจับได้เสียด้วย

พิชิตตกใจ

เขาแค่รู้สึกสงสัย ต้องเป็นสถานการณ์แบบไหนถึงจะช่วยคนอื่นโดยที่ไม่ได้สนใจชีวิตตัวเองได้ จนกระทั่งเมื่อเช้าเขาได้ถามพยาบาลคนหนึ่ง เขาจึงเข้าใจว่าเพราะรัก เพราะว่าเขามั่นใจว่านัทธีนั้นรักวารุณีเข้าแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ดีกับเธอเป็นพิเศษ และคงไม่ช่วยเธอจนต้องเสี่ยงชีวิตหลายครั้ง

แต่ในเวลาเดียวกันวารุณีก็เคยช่วยนัทธีมาก่อน ดังนั้นการที่เขามาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาถามอาการบาดเจ็บของวารุณี แต่มาเพราะจะลองเชิงถามว่าเธอนั้นรู้สึกกับนัทธีอย่างไร คิดไม่ถึง เธอก็ชอบนัทธีเข้าแล้ว

“แบบนี้ก็ดีล่ะสิ!” พิชิตยิ้มเจื่อนๆแล้วตบหน้าผากตัวเอง

วารุณีไม่เข้าใจดังนั้นจึงมองเขา “คุณหมอพิชิต เป็นอะไรคะ?”

“ไม่มีอะไร ให้ผมสงบสติอารมณ์ก่อน” พิชิตกุมหน้าผากแล้วเดินออกไป

วารุณียิ่งงุนงง เพียงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากดื่มน้ำซุปจนหมด ก็เตรียมตัวจะออกจากโรงพยาบาล

ป้าส้มออกไปจากโรงพยาบาลก่อน วารุณียังไม่รีบร้อนที่จะไป ก็เลยไปที่แผนกสมอง อยากจะไปทักทายกับพงศกร ในเมื่อก็มาแล้ว

เพียงแต่โชคไม่เข้าข้างเลย พงศกรไม่ได้อยู่ในห้องตรวจ ถามพยาบาลจึงได้รู้ว่า เขาไปที่ห้องคนไข้แผนกสมองเพื่อติดตามผลของคุณนวิยา

“ใช่คุณนวิยา แก้วสุทธิหรือเปล่า?” วารุณีพึมพำเบาๆ ในใจนั้นมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคุณนวิยาคนนี้ มีความรู้สึกที่อยากจะเจอ

ในความเป็นจริง เธอก็ทำแบบนี้ไปแล้ว หลังจากสืบรู้หมายเลขห้องของนวิยา ก็มุ่งหน้าไปยังห้องคนไข้ของแผนกสมอง

เมื่อมาถึงห้องคนไข้ของนวิยา สิ่งที่โชคดีคือ ประตูห้องแง้มเปิดอยู่

วารุณียืนอยู่ข้างนอก สามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างในอย่างชัดเจน

พงศกรที่ใส่ชุดกาวสีขาว ถือไฟฉายขนาดเล็กอยู่ในมือ กำลังส่องดูท้ายทอยของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้

เนื่องจากหญิงสาวก้มหน้าเอาไว้ วารุณีไม่เห็นหน้าตาของเธอ เห็นเพียงแต่เธอไม่มีผม บนหัวที่โล้น มีรอยเย็บจากแผลผ่าตัดที่บิดๆเบี้ยวๆ เหมือนตะขาบอยู่บนหัว ทำให้คนมองแล้วขนลุก คันเนื้อคันตัวขึ้นมา

หากเป็นคนใจเสาะ เกรงว่าคงตกใจจนกรีดร้องออกมาแล้ว

วารุณีแม้ว่าจะรู้สึกกลัว แต่เพื่อไม่เป็นการรบกวนคนที่อยู่ข้างใน เธอได้ใช้มือกุมปากไว้ จึงทำให้ตัวเธอไม่ได้ส่งเสียงออกมา

ผ่านไปสักพัก พงศกรเหมือนจะตรวจเสร็จแล้ว ก็ปิดไฟฉาย หันหลังมา มองเห็นวารุณีที่อยู่ด้านนอกประตู สายตามีความประหลาดใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณวารุณี คุณมาได้ยังไง?”

“ฉันมาทักทายคุณ” วารุณีก็ยิ้มตอบเหมือนกัน

เธอไม่คิดจะบอกเขา เธอมาที่โรงพยาบาลเพราะอาการบาดเจ็บ

ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะถามซอกแซก เป็นห่วงอีก

“งั้นเหรอ ดีจังเลย คุณไปรอผมที่ห้องทำงานละกัน ผมยังต้องตรวจอีกสักพัก” พงศกรมองไปด้านหลังแวบหนึ่ง เพื่อต้องการสื่อในสิ่งที่ตัวเองพูด

วารุณีขยับริมฝีปาก เพื่อจะบอกว่าจะรอตรงนี้ เสียงที่อ่อนล้าได้ถูกส่งมาจากด้านหลังของพงศกร น้ำเสียงของผู้หญิงที่อ่อนโยนมาก “คุณหมอพงศกร เพื่อนของคุณเหรอ?”

พงศกรตอบกลับ “ใช่ครับ”

“หากเพื่อนของคุณหมอไม่รังเกียจละก็ เข้ามานั่งได้นะคะ” หญิงสาวยิ้มกล่าว

วารุณีตาสว่าง รีบตอบทันที “ไม่รังเกียจอย่างแน่นอน!”

จุดประสงค์ที่เธอมาตรงนี้ ก็เพราะอยากจะดูว่านวิยาหน้าตาเป็นอย่างไร

ตอนนี้นวิยาเชิญเธอด้วยตัวเอง เธอไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว

มองท่าทางที่ดีใจของวารุณี พงศกรเหมือนจะเดาความคิดของเธอออก ก็หุบรอยยิ้มลง แววตาที่อยู่ภายใต้แว่นตา ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเดิม เผยความดุร้ายที่ซ่อนอยู่ออกมาเล็กน้อย

วารุณีกลับไม่ทันสังเกต เดินผ่านเขาเข้าไปในห้อง เดินไปที่เตียงโดยตรง

ครั้งนี้ ในที่สุดเธอก็ได้เห็นหน้าตาของนวิยาอย่างชัดเจน

พูดตามตรง รูปหน้าสวยมาก หน้าตางดงาม ดูออกไม่ยากเลยว่าก่อนป่วย ต้องเป็นคนสวยอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้เนื่องจากทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยที่เป็นเวลานาน ผิวจึงหมองคล้ำ เบ้าตาลึก โหนกแก้มยื่นออกมา ต่อให้ใส่วิกที่ประณีตเหมือนจริง ก็ไม่ได้สวยขึ้นมากเท่าไหร่ แต่บุคลิกของเธอ กลับดูสง่างามมาก

“คุณนวิยา สวัสดีค่ะ ฉันชื่อวารุณี เป็นเพื่อนของพงศกร” วารุณีเก็บสายตาที่มองสำรวจกลับมา ยื่นมือไปทางนวิยา

นวิยายกมือที่ผอมเหลือแต่กระดูกของตัวเอง จับมือกับเธอ

เมื่อเห็นมือของตัวเองกับมือที่เรียวยาวดั่งหยกขาวที่อยู่ตรงหน้า สร้างความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างความอัปลักษณ์และความสวยงาม แววตาของนวิยา อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาริษยาออกมา ชั่วพริบตาเดียว มันก็หายไปจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น

“สวัสดีค่ะคุณวารุณี คุณรู้จักฉันมั้ยคะ?” นวิยาเอามือกลับมา ยิ้มแล้วถาม

วารุณีมองพงศกรที่เหมือนจะคันปากอยู่ข้างๆ “พงศกรเคยพูดถึงคุณกับฉัน”

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง เป็นเกียรติของฉันแล้ว เชิญนั่งค่ะคุณวารุณี” นวิยาชี้ไปเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง

วารุณีกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลง มองเธอที่รับการรักษาจากพงศกรในขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนการรักษาเหมือนจะทรมานไม่น้อย ใบหน้าของนวิยาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายกรีดร้องไปหนึ่งที แล้วสลบไป

วารุณีลุกขึ้นมา “คุณพงศกร เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?”