ยามเอ่ยวาจา เพียงบอกความจริงออกไปสามส่วนก็เพียงพอ

ฉินจิ่วเกอเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงเข้าใจความดำมืดในจิตใจผู้คนเป็นอย่างดี ที่ประคองระดับพลังไว้ที่หลอมวิญญาณขั้นเก้า ก็เพื่อหลังจากที่ปลดปล่อยโครงกระดูกเฒ่าแล้ว อีกฝ่ายจะต้องสูญเสียพลังไปมาก

ในเมื่อออกไปจากบึงมรณานี้ไม่ได้ จึงต้องปรองดองกับโครงกระดูกเฒ่านี้ไว้อย่างเสียไม่ได้

ในพรรคหลิงเซียว รอจนลั่วเฉินฟื้นคืนสติเวลาก็ผ่านไปแล้วถึงครึ่งปี

ในภูเขาด้านหลัง ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่ ลั่วเฉินก็ระบายรัศมีพลังสีม่วงออกมาสายหนึ่ง

ต้นไม้ต้นเล็กๆ ตรงหน้าอยู่ๆ ก็งอกเงยเป็นต้นพฤกษาสูงชะลูดฟ้า ราวกับกาลเวลาบิดผัน

“ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ศิษย์พี่ ข้าควรขอบคุณท่านหรือเปล่า? ” สายตาพร่าเลือนของลั่วเฉินจ้องมองฝ่ามือตัวเองนานครึ่งค่อนวัน บางทีตัวมันเองคงอยากที่จะขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่คนนี้จากใจจริงก็ได้

ก่อนอื่นบุกเข้าเมืองเทียนเอินโดยไม่สนถึงอันตราย จากนั้นเข้าไปทำการทดสอบด่านทั้งสามภายในนาวาเรืองปัญญา นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้

แน่นอน ลั่วเฉินไม่ได้ทราบถึงความจริงที่เกิดขึ้นเลย

ความจริงที่ว่านี้ ฉินจิ่วเกอสามารถทุบอกตัวเองพร้อมประกาศต่อทุกคนได้ว่า อาศัยเพียงเส้นผมเพียงเส้นเดียว มันและพฤติกรรมไร้อารยะบางประการก็สามารถกำราบเอาชัยเหนือผู้เฒ่าเรืองปัญญาและต้นพฤกษาสวรรค์มาได้

หากให้ลั่วเฉินได้รู้ว่าฉินจิ่วเกอหน้าหนาไร้ความละอาย ถึงกับแอบดึงเส้นผมมันไปเป็นกระจุกแล้วละก็ คงจะ.. คงจะ….ไม่ฆ่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้หรอกกระมัง

เฒ่าเรืองปัญญาและพฤกษาสวรรค์ จวบจนถึงวันนี้ยังคงด่ามารดามันไม่ลดละ

ส่วนคนต่ำช้าผู้นั้น ผ่านไปแล้วครึ่งปี ยังสาบสูญไร้ร่องรอย ไม่อาจหาพบได้ในทวีปฉงหลิง

ที่ยังคงระลึกถึงฉินจิ่วเกอนั้น ไม่เพียงแต่ศิษย์น้องรอง ยังมีศิษย์น้องเล็กและเจ้าอ้วนน่าตาย

ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวงของทุกเดือน ศิษย์น้องเล็กจะเดินขึ้นเขาไปอย่างอ้างว้าง ปล่อยโคมลอยที่ทำด้วยตนเอง อธิษฐานต่อท้องฟ้ามหาสมุทรอย่างสุดจิตสุดใจ

นั่นคือเรื่องประการเดียวที่เด็กสาวสามารถกระทำได้ คือการอธิษฐานต่อแสงจันทราอันเจิดจรัสเรืองรอง

จากนั้นกลับคืนสู่ห้องหับ นอนหลับพบพานกับมันอีกครั้งในห้วงฝัน

ส่วนเจ้าอ้วนน่าตายเล่า มันถูกอาวุโสสามเรียกไปมอบหมาย ทุกครั้งที่ศิษย์น้องเล็กขึ้นเขาไปปล่อยโคม มันต้องหิ้วถังน้ำตระเตรียมดับไฟป่า หน้าที่ป้องกันไฟป่า คือหน้าที่ของทุกคน

ช่วงหลัง ศิษย์น้องเล็กเริ่มปล่อยสองอัน จากนั้นเป็นสามอัน นำพาคำอธิษฐานของนางสู่เทพบนท้องฟ้า

ฉากกั้นผลึกทอดเงาตะเกียงตะคุ่มไหว นทีธารไหลรินดวงดาราจมลับฟ้า

นี่เพียงเป็นหนึ่งวันหนึ่งคืน หนึ่งจันทร์หนึ่งอธิษฐาน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนสงบสุข

สวีเซิ่งเองก็ถูกอาวุโสใหญ่ปลุกขึ้นมากลางดึกให้ไปหาบน้ำหาบท่าพร้อมกันกับเจ้าอ้วน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อาวุโสสามและอาวุโสสี่มานั่งเผามันหวานอยู่หน้างาน

นานวันเข้า ทั้งเจ้าอ้วนน่าตายและสวีเซิ่งต่างก็คิดคำนึงถึงฉินจิ่วเกอยิ่งกว่าผู้ใดภายในพรรค ศิษย์พี่ใหญ่! ท่านรีบกลับมาเร็วเข้าเถอะ อีกไม่นานภูเขาด้านหลังจะกลายเป็นเขาหัวโล้นแล้วนะ!

ส่วนอาวุโสใหญ่นั้น ตลอดครึ่งปีมานี้แทบทุกที่ในเผ่ามนุษย์ล้วนมีรอยฝ่าเท้าของมันประดับอยู่

มันออกไปตามหาตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าไปถึงเมืองไหน ต้องลากเอาตัวงูเจ้าถิ่นออกมาถามคำถาม “ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ที่นี่ใช่มีคนหน้าหนาเป็นพิเศษโผล่ออกมาบ้างหรือไม่? ”

“คนหน้าหนาพิเศษ? ” งูเจ้าถิ่นงงงวยแล้ว ผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีลักษณะดี เป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่น ที่หน้าหนาเป็นพิเศษนั้นมีไม่กี่คน

“ถูกต้อง ข้ากำลังตามหาคน โดยเฉพาะคนที่หนังหน้าหนาด้านเป็นพิเศษ บางครั้ง ลักษณะพฤติการณ์ยังต่ำช้าอีกด้วย”

งูเจ้าถิ่นท่านนั้นฟังแล้วคิดว่าอาวุโสใหญ่กำลังไล่ล่าอาชญากรช่วยชาวประชาราษฎร์ รีบชักนำอาวุโสใหญ่ไปด้วยความยินดี

อาวุโสใหญ่ติดตามไปเพื่อยืนยันตัวคน ในใจลอบคาดโทษ หากพบเห็นเป็นศิษย์รักของมัน คราวนี้ต้องเอาส้นรองเท้าขนไก่ฟาดมันสักครา

แต่ทุกครั้งที่ตามไป ล้วนต้องพบกับความผิดหวัง ล้วนไม่ใช่ศิษย์รักของมัน

ล้วนมิใช่ พวกนั้นหนังหน้าไม่หนาพอ ไม่มีใครกล้าช่วงชิงขนมน้ำตาลเคลือบจากทารก นิสัยก็ไม่เลวร้ายพอ สรุปแล้วระดับของพวกมันห่างชั้นจนเกินไป!

อาวุโสใหญ่ที่หาตัวศิษย์รักของมันไม่พบ อารมณ์เลวร้ายยิ่ง ทุบจมูกที่เชิดสูงของเจ้าคนหน้าหนาคนนั้นจนแบนราบ!

จากนั้นสะบัดก้นเดินจากไป

ยิ่งตามหา ยิ่งไม่ใช่ ยิ่งหนักมือขึ้นเรื่อยๆ !

ยังคงหา ยังคงไม่ใช่ ครั้งนี้ไม่ลงไม้ลงมือแล้ว เพียงยกฝ่าเท้ายันทั้งรองเท้าไปเลยสิ้นเรื่องราว

ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ บรรดาคนหน้าหนาหน้าทน พฤติการณ์ต่ำช้าสุดทานทนในเผ่ามนุษย์ทั้งหลายย้ำเตือนตนเอง อย่าได้ก่อเรื่องราวขึ้นเป็นอันขาด

คิดถ่มน้ำลายยังไม่กล้าถุยมั่วซั่ว คิดผายลมยังต้องผายใส่ตะกร้า!

ยามเปิดปากกล่าวคำยิ่งต้องนอบน้อมมีมารยาท ยามกระทำเรื่องราวยิ่งต้องสุภาพไม่อาจแกว่งเท้าหาเสี้ยน

เผ่ามนุษย์กลายเป็นสงบสุขร่มรื่น กลางคืนไม่ต้องปิดประตู ทำดีไม่ต้องหลบซ่อน คุณภาพโดยรวมพุ่งแตะทะยานฟ้า

หากให้คนเลือกชนเผ่าที่มีอารยะมาสักเผ่า เผ่ามนุษย์ย่อมนำมาเป็นลำดับหนึ่ง

ตำนานของอาวุโสใหญ่ยิ่งกระฉ่อนลือชาไปทั่วเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยมีสัญลักษณ์คือรองเท้าผ้าในมือ

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาแต่ไหน เพียงรองเท้าสะบัดออกวูบ แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลกลั่นดวงธาตุก็ยังต้องเตลิดหนี

พวกที่ถูกข่มเหงคะเนงร้ายมานานบางกลุ่มถึงกับจัดตั้งอนุสรณ์เทพเซียนให้แก่อาวุโสใหญ่ กราบสักการบูชาเช้าเย็น อาวุโสใหญ่เองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยังคงออกเดินทางตามหาศิษย์น้อยไปทั่วทุกแห่งหน เมื่อหาไม่เจอก็จัดระเบียบสังคมไปในตัว เทียบกับสี่พรรคใหญ่แล้วยังมีอำนาจบริหารปกครองยิ่งกว่า

ผ่านไปแล้วครึ่งปี แต่ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของฉินจิ่วเกอ

อาวุโสใหญ่ร้อนรนเป็นไฟแล้ว หมายหัวสามสุดยอดเมืองเทียนเอินเป็นตัวการ หากไม่ใช่เพราะวันนั้นถูกพวกมันสามแหวกชำระกายาขวางทาง ฉินจิ่วเกอก็คงไม่กลายเป็นผู้สูญหายแบบนี้

ดังนั้นจึงนำคนของพรรคหลิงเซียวบุกฝ่าเข้าเมืองเทียนเอิน จากนั้น ต่อหน้าสี่ขุมอำนาจใหญ่และชาวเมืองเทียนเอินทุกคน อาวุโสใหญ่ก็บีบให้สามสุดยอดโผล่หัวออกมา แต่แหวกชำระกายาทั้งสามนั้นหยิ่งทระนงสุดสูง จึงไม่เห็นอาวุโสใหญ่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

คนของพรรคหลิงเซียวที่มาในครั้งนี้มีด้วยกันสี่คน

อาวุโสใหญ่เปี่ยมพลังพรั่งพร้อมวัยวุฒิ มีสิทธิ์มีเสียงเปี่ยมบารมีสูงสุดย่อมยืนอยู่ข้างหน้า ทางฝั่งซ้ายคืออาวุโสสองที่แต่งองค์ทรงเครื่องแบบเต็มสูบ ส่วนฝั่งขวาก็คืออาวุโสสามที่ถูนิ้วหรี่ตาคล้ายกำลังดีดลูกคิดอยู่ในหัว

ด้านหลังสุด อาวุโสสี่กำลังนั่งไขว่ห้างแทะเม็ดแตงพร้อมส่งเสียงให้กำลังใจศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามอย่างออกหน้าออกตา

สามอาวุโสพรรคหลิงเซียวต่อยุทธ์กับสามแหวกชำระกายา เปิดเผยยุติธรรม ต่อหน้าเมืองเทียนเอินสูงต่ำ ตัดสินกันบนที่กว้างพันลี้

ในสายตาของทุกคนในที่นั้น สามอาวุโสล้วนเป็นเพียงชนชั้นกลั่นดวงธาตุ มีดีที่สุดก็แค่กลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุด

คิดต่อยุทธ์กับแหวกชำระกายาด้วยขอบเขตเยี่ยงนี้ย่อมมองไม่เห็นทางชนะเลยสักนิดเดียว

แต่ทว่า สามอาวุโสพรรคหลิงเซียวต่อหน้าคนนับหมื่นกลับเชือดเฉือนสองแหวกชำระกายาจนสิ้นท่า ฝูงชนต้องแตกฮือ!

อาวุโสสามพลาดท่า ติดกับแผนล่อเสือออกจากถ้ำของอีกฝ่าย นับตั้งแต่เริ่มการปะทะ สามสุดยอดเมืองเทียนเอินไม่อาจชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตรงข้ามกลับถูกเหยียบกดจนจมมิด กระทั่งยากที่จะตอบโต้กลับไปได้

ควรรู้ว่า คนทั้งสามคือแหวกชำระกายา! ต่อให้เป็นสี่ขุมอำนาจใหญ่ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ

พอคู่ต่อสู้ของอาวุโสสามได้รับบาดเจ็บหนัก มันก็รีบล้วงเอาเงินหนึ่งล้านออกมาโปรยยื้อชีวิต

อาวุโสสามเห็นเงินก็ตาค้าง นัยน์ตาหยีเล็กยามนี้ถ่างกว้างราวดาวลูกไก่ วิ่งตามเก็บเงินจนมือเป็นระวิง ปล่อยให้คู่มือหลบหนีไปเสียอย่างนั้น

อีกด้านหนึ่ง อาวุโสใหญ่ที่เพิ่งจัดการแหวกชำระกายาเสร็จ พอดีเห็นเป้าหมายหลบหนี โทสะจึงพุ่งปรี๊ดทะลุปรอท ถีบส่งศิษย์น้องร่วมพรรคจนล่องลอย ที่กว้างพันลี้เลยเกิดแอ่งหลุมขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมา

สามสุดยอดผู้ไร้พ่ายแห่งเมืองเทียนเอิน ตายสองพิการหนึ่ง สามแหวกชำระกายาก็เป็นอันต้องลงจากเวทีมหาทวีปเพียงเท่านี้

สี่ขุมอำนาจใหญ่ไม่มีใครไม่หวาดกลัว แม้จะไม่ทราบว่าพวกอาวุโสใหญ่เป็นใครมาแต่ไหน แต่หัวเด็ดตีนขาดพวกมันก็ไม่กล้าตอแยคนพวกนี้เด็ดขาด

หลังจากที่อาวุโสใหญ่พาบรรดาศิษย์น้องกลับไปแล้ว เมืองเทียนเอินตั้งแต่สูงยันต่ำ ต่างตั้งกองกำลังขันอาสา ตามหาคนขายเพลง (หมายถึง ฉินจิ่วเกอ) คนหนึ่ง

กิจกรรมติดตามหายอดยุทธ์อายุเยาว์เก้าเพลง (จิ่วเกกฎเกณฑ์) กลับมาฮิตติดเทรนด์ในเมืองเทียนเอินทันที

ครึ่งปีผ่านไป ตามต่อมาด้วยเวลาอีกครึ่งปี ฉินจิ่วเกอภายนอกขัดเกลาวิชาหมื่นมารทมิฬ ขอบเขตยังคงหยุดอยู่ที่ขั้นหลอมวิญญาณขั้นเก้า

แต่ภายใน มันกลับลอบฝึกปรือเคล็ดกำลังภายในชื่อยาวเป็นหางว่าวเล่มนั้น

ภายในจุดตันเถียนปรากฏกลุ่มไอพลังสีม่วงหมุนวน ไม่อาจขับเคลื่อน ราวกับตะปูกลางสิ่งปลูกสร้างที่ติดตรึงไม่อาจถอนดึงออก

แม้แต่สุดยอดสมบัติแห่งใต้หล้าเช่นผลอู๋เลี่ยงยและกิ่งก้านใบของพฤกษาสวรรค์ยังต้องหลีกทางให้ บรรทัดทองคำเองก็เช่นเดียวกัน ศาสตราบรรพกาลแทบถูกถีบออกมาให้พ้นทาง กระทั่งที่จะหยั่งเท้าทรงกายยังแทบไม่เหลือ

นับแต่ร่วงหล่นลงสู่บึงมารมรณา เป้นระยะเวลาหนึ่งปีแล้ว โครงกระดูกมารที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนาน พลันฟื้นตื่นขึ้นในเวลานี้

โครงกระดูกใบหน้าของมันฉาบทาด้วยแสงสีแดงชั่วร้ายชั้นหนึ่ง ท่วมท้นด้วยประกายแห่งโลหิต เป็นแก่นโลหิตเสี้ยวสุดท้ายที่โครงกระดูกตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งนี้เก็บรักษามาเนิ่นนาน

“เคล็ดหมื่นมารทมิฬของเจ้า ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว? ” โครงกระดูกขยับเคลื่อนขากรรไกร ส่งเสียงกระดูกเสียดสีดังแกร่กกร่าก

ก่อนหน้านี้ ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามชื่อแซ่ของอีกฝ่าย โครงกระดูกเอ่ยตอบมาสองคำ “เสียเยว่” (จันทราโลหิต) หากออกไปภายนอก ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเรียกหามันเป็นเสียเยว่ ฉินจิ่วเกอก็เรียกหามันเช่นนี้เช่นกัน

“ตอนนี้ ที่จริงเข้าสู่ขั้นแรกย่างสู่ประตู ยังเร็วไปที่จะบรรลุขั้นย่อย” ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าย่อมไม่บอกความจริง ที่จริงขอเพียงมันปรารถนา หมื่นมารทมิฬของมันก็สามารถบรรลุขั้นย่อยได้ทันที

ก่อนหน้านี้ ฉินจิ่วเกอไม่มีความสามารถเช่นนี้ เคล็ดกำลังภายในระดับเจตจำนงสวรรค์ เป็นวิชาที่แม้กระทั่งชนชั้นกฏสรรพสิ่งเองคิดเรียนรู้ยังต้องใช้เวลามหาศาล แต่ทว่าหลังจากที่ภายในร่างของมันพลันงอกเงยไอพลังสีม่วงขึ้นมา ไม่ว่าทักษะยุทธ์เคล็ดวิชากำลังภายในใด ฉินจิ่วเกอล้วนบรรลุถึงขั้นผ่านตาไม่ลืมเลือน

แม้กระทั่งเคล็ดวิชากำลังภายในเซียนเทียนชื่อยาวเป็นหางว่าวเล่มนั้น ฉินจิ่วเกอใช้ระยะเวลาหนึ่งปีบีบเค้นสมองสมาธิ สุดท้ายยังสามารถก้าวสู่ขั้นแรกเหยียบย่างเข้าประตูได้อย่างเต็มกลืน

เคล็ดวิชาอันลี้ลับพิสดารเล่มนั้น แม้แต่โครงกระดูกเสียเยว่เองยังไม่อาจสัมผัสร่องรอยได้แม้แต่น้อย

“ยังไม่บรรลุขั้นย่อยอีก? ” โครงกระดูกใช้เทวะสัมผัสของมันตรวจสอบฉินจิ่วเกอย่างละเอียด เมื่อเป็นจริงอย่างที่พูด วาจาของมันยิ่งเจือความผิดหวัง

มันตรวจตราพลังฝีมือของฉินจิ่วเกอ ยังคงหยุดยั้งอยู่ที่หลอมวิญาณขั้นเก้า ยังไม่อาจสร้างเส้นชีพจรและตันเถียนได้สำเร็จ

ผู้ที่ลงแรงเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดนี้ บางทีสมควรยกให้แก่ไอพลังสีม่วงในร่างกายมันสายนั้นมากกว่า

เฒ่ามารเสียเยว่ครุ่นคิดชั่วครู่ ภายในโครงกระดูกปรากฏไอพลังชีวิตอันประหลาดพิกล ห้อมล้อมเปล่งปลั่งราวมีชีวิต “เช่นนั้นเจ้าเตรียมพร้อมให้ดี ข้าจะเริ่มทลายเจ็ดตะปูสะกดวิญญาณออก ขอเพียงสามารถถอนดึงตะปูร้ายกาจทั้งเจ็ดนี้ออกได้ ข้าก็สามารถพาเจ้าขึ้นไปจากที่นี้”

มันเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ จิตใจของมันล้วนตายด้านไร้ความรู้สึกใดมาเนิ่นนานแล้ว กับความแค้นที่มันมีต่อโลกหล้า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจเสียสละได้ ในใจของมันยามนี้เริ่มคิดอ่านวางแผนแต่แรก รอจนมันสามารถคลายผนึกออกได้เมื่อใด จะแย่งชิงกายเนื้อของฉินจิ่วเกอมาเป็นของตนเอง

ร่างกายนี้ส่วนสัดไม่เลว อาจบางทีเป็นเมื่อครู่มันหลอนไปเอง แต่ภายในร่างของมันคล้ายมีบางแห่งที่มันไม่อาจมอทะลุได้

“ตกลง ข้าเตรียมพร้อมแล้ว” ฉินจิ่วเกอเอ่ยตอบ นัยน์ตาดำมืดในความมืดมิด จับสังเกตแววตาในเบ้าตากลวงโบ๋ของโคงกระดูกได้

ยามนี้พลังฝีมือของฉินจิ่วเกอต้อยต่ำเกินไป สังขารกายเนื้อเองก็อ่อนแอ

เสียเยว่คิดอ่าน รอจนฉินจิ่วเกอบรรลุชั้นพิสุทธิ์ไพศาล จึงค่อยเริ่มกลืนกินมัน ชนชั้นกฎสรรพสิ่งมีลูกเล่นลวดลายมากหลาย คิดกลืนกินกดำเนิดใหม่ยังมีความเป็นไปได้กว่าชนชั้นกลั่นดวงธาตุหลายสิบเท่า

ฉินจิ่วเกอไม่ออกเสียง ทั้งไม่แสดงท่าทีผิดแปลกอันใดออกมา

นี่คือสาเหตุที่มันแกล้งทำเป็นไร้สมอง ยามนี้ตนเองพลังฝีมือยิ่งต่ำต้อย ยิ่งไม่เป็นอุปสรรคใดต่อเสียเยว่ มันก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้น

“ดี ข้าจะใช้กฎเกณฑ์และแก่นโลหิตรวมเป็นพลัง ทลายเจ็ดตะปูสะกดวิญญาณ เจ้าจงใช้หมื่นมารทมิฬออกมา โจมตีจากภายนอกช่วยเหลือข้าสลายผนึก พวกเราผสานทั้งนอกใน วิชากำลังภายในเป็นวิชาเดียวกัน อานุภาพสามารถบรรลุขั้นสำเร็จได้ด้วยการลงแรงเพียงครึ่ง”

มันถูกกักขังมาพันปี ยามนี้นับว่าสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้แล้ว

โครงกระดูกของเฒ่ามารเสียเยว่เริ่มสั่นสะท้านรุนแรง แนวฟันกระดูกขาวทั้งบนล่างสั่นกระทบกันดังกึกกัก คล้ายมีหมื่นดมแมลงกำลังไต่ผ่าน

“เปิด!” พลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ท่องทะยานภายใต้บึงมารมรณา ทะลวงผ่านระยะพันเมตร กลับคืนมาล่องลอยข้างกายเฒ่ามารเสียเยว่อีกครา

พลังมหาศาลระเบิดเพิ่มพูนขึ้น จากกลั่นดวงธาตุทะลวงสู่ความรุ่งเรืองในอดีต พลานุภาพแห่งกฎสรรพสิ่งที่เขย่าฟ้าดิน กฎเกณฑ์ขดม้วนเข้าสู่ภายในร่าง เปลี่ยนแปลงความเน่าเปื่อยผุพังเป็นปาฏิหาริย์!

“ไป!”

พลังกฎเกณฑ์ทะลักทลายเข้าสู่ตะปูสะกดวิญญาณทั้งเจ็ดที่ร้อยรัดสังขารโครงกระดูกทั้งเจ็ดรูของเสียเยว่ บึงมารมรณาที่กว้างพันลี้ ยามนี้เริ่มบีบแคบเข้าหากัน แนวผาสองข้างที่สูงชะลูดนับหมื่นเมตรเริ่มหดแคบเข้าสู่ศูนย์กลาง