ตอนที่ 48

My Disciples Are All Villains

‘ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 แต้ม คุณได้รับค่าความโชคดี 1 แต้ม’

ลู่โจวได้ขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อย “โชคของฉันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปสินะ ฉันทำอะไรผิดไปถึงเป็นแบบนี้กัน? “

ลู่โจวค่อยๆ ลึกขึ้นก่อนที่จะเริ่มจับฉลากอีกครั้ง และตัวเขาก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิมถึง 4 ครั้งติดต่อกัน

“นี่มันการฉ้อฉล! “

ถึงแม้ว่าลู่โจวจะด่าว่ายังไงแต่ยังไงซะระบบที่เขาต่อว่าก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี

ลู่โจวยังคงต่อว่าระบบนี้ต่อไปซ้ำๆ ภายในใจ และแม้ว่าเขาจะพูดไปมากสักแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

“ค่าโชคดี 66 แต้ม…ระบบนี่จะยังให้ค่าความโชคดีเพิ่มขึ้นไหม? “

ว่ากันว่าผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่มีสัมผัสที่หก ส่วนผู้ชายเองก็มีสัญชาตญาณแห่งความกระตือรือร้น ตัวเขามั่นใจว่าในครั้งนี้จะต้องได้อะไรกลับมาได้แน่

“จับฉลากนำโชค! “

‘ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 แต้ม ตอนนี้คุณมีค่าความโชคดี 66 แต้ม คุณได้รับการ์ดพลังชีวิต 1 ใบ’

“…”

ลู่โจวในตอนนี้รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้ว่าตัวเขาจะพยายามหายใจเข้าลึกๆ แล้วแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธลดน้อยลงได้เลย หัวของเขาในตอนนี้กำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้น

“อะไรกันวะ…ไม่เป็นไร การพูดสบถน่ะมันไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นปรมาจารย์มหาวายร้ายจะพูดกันหรอก” หลังจากใช้แต้มบุญกับค่าความโชคดีทั้งหมดไปลู่โจวในตอนนี้กับได้ของตอบแทนเป็นการ์ดพลังชีวิตเพียง 1 ใบเท่านั้น ตัวเขาในตอนนี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ออกมาดี แม้ว่าตัวเขาจะอยากระบายความอัดอั้นที่มากสักแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วลู่โจวก็ไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ ตัวเขาไม่เคยรู้สึกโกรธแบบนี้มาก่อน ตัวเขาที่เคยตีบวกแตกในเกมออนไลน์มากถึง 15 ครั้งยังไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้

ลู่โจวเหลือบมองไปที่แต้มบุญที่เหลือ ในตอนนี้ตัวเขายังเหลือแต้มบุญ 190 แต้ม

ดูเหมือนว่าการจับฉลากนำโชคจะอันตรายสำหรับเขาจนเกินไป ในตอนนี้ลู่โจวไม่สามารถหยุดเล่นได้แล้ว

“จับฉลากนำโชค”

‘ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 คุณได้รับอาวุธ: นิรนาม คุณได้รับสัตว์ขี่: บี่เอี๊ยน’

“??? “

การจับฉลากนำโชคที่ใช้ค่าความโชคดีถึง 66 แต้มลู่โจวได้เพียงการ์ดพลังชีวิตเพียงใบเดียวเท่านั้น แต่ในตอนที่ค่าโชคดีมีแค่ 0 ตัวเขากับได้ทั้งอาวุธแล้วก็สัตว์ขี่ เขาในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“นิรนามอย่างงั้นหรอ”

อาวุธชิ้นนี้มีชื่อที่ถูกตั้งอย่างไม่ใส่ใจ แต่ชื่อของมันก็ไม่สำคัญเท่ากับแต้มบุญมากมายที่ตัวเขาได้ใช้ไป หวังว่าอาวุธชิ้นนี้จะดีกว่าเศษเหล็กที่อยู่ในห้องลับนี้ละนะ

ในตอนที่ลู่โจวได้เลือกชื่อของมัน ในตอนนั้นเองอาวุธชิ้นนั้นก็ส่องแสงออกมา มันค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างก่อนที่จะปรากฏขึ้นบนมือของเขา ในตอนนี้อาวุธนิรนามก็ได้กลายเป็นอาวุธที่อยู่ในทรงกลมไป

“นี่มันอะไรกัน? ” ลู่โจวขมวดคิ้วหลังจากที่มองอาวุธชิ้นใหม่ ตัวเขาพยายามหาคำอธิบายที่ควรจะมีจากระบบ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรเขากลับมา หลังจากที่ลู่โจวโบกมือวัตถุทรงกลมสีดำก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนระบบ ตัวเขาเห็นคำอธิบายเล็กๆ อยู่ภายใต้รูปนั้น: อาวุธนิรนามจะสามารถเปลี่ยนไปตามความแข็งแกร่งจากระดับวรยุทธ์ของผู้ใช้ ยิ่งมีวรยุทธ์สูงมากเพียงใดอาวุธนี้ก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น

“…”

ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ของธรรมดาๆ ซะแล้ว เมื่อเห็นคำอธิบายที่อยู่ตรงหน้าต่อมความอยากรู้ของลู่โจวก็ทำงานในทันที ในตอนนั้นตัวเขาได้ชูมือขวาขึ้น และอาวุธชิ้นนั้นก็ได้ปรากฏในมือไปในทันที คราวนี้อาวุธได้กลายเป็นดาบสั้นที่ดูเหมือนกริชที่สวยงามไป หลังจากนั้นมันก็สามารถกลายร่างเป็นทั้งดาบ, หอก, ตะบอง, ง้าว และอื่นๆ อีกมากมาย

“ฉันเข้าใจแล้ว” อาวุธชิ้นนี้สามารถเปลี่ยนไปเป็นรูปทรงตามที่เจ้าของต้องการได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาวุธชิ้นเดียวแต่มันก็ดีกว่าอาวุธนับสิ้นชิ้นที่ตัวเขาครอบครอง นี่เป็นเหมือนกับรางวัลแจ๊คพอต!

“เอาล่ะมาลองก่อนต่อเลย! “

หมิงซี่หยินในที่สุดก็เดินมาถึงถ้ำเงาสะท้อน เมื่อหมิงซี่หยินเดินทางมาถึงเขาก็พบว่ายี่เทียนซินในตอนนี้ดูน่าสมเพชมาก “ศิษย์น้องหญิง…เจ้าอยากจะดูพลังอวตารของข้ารึเปล่าล่ะ? “

“??? “

เธอขมวดคิ้วขึ้นหลังจากที่จ้องมองไปยังหมิงซี่หยิน “ถ้าหากศิษย์พี่มาที่นี่เพื่อฆ่าข้าตามคำสั่งของตาแก่นั่นก็เอาซะเลยสิ ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดอะไรนั่นหรอก…”

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เก้าหัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้มาเพราะเหตุผลนั้น”

“ข้าไม่สนใจหรอกว่าศิษย์พี่จะมาฆ่าหรือมาทรมานข้ากันแน่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำซะเลยสิ” ยี่เทียนซินพูดเสร็จจึงหันหน้าหนี

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นได้ส่ายหัวไปก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ศิษย์น้องหญิง ถ้าหากข้าจัดการเจ้าไป ท่านอาจารย์ได้ฆ่าข้าแน่ ข้าว่าท่านอาจารย์น่ะไม่กล้าฆ่าเจ้าหรอก”

“แล้วทำไมเขาถึงส่งศิษย์พี่มาที่นี่กันล่ะ? “

“เขาไม่ได้สั่งข้าแบบนั้นหรอก ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะข้าอยากที่จะมาเอง เจ้าน่ะยังไงก็เป็นศิษย์น้องของข้า ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหลงเดินทางผิดอีกครั้งแน่” หมิงซี่หยินพูดออกมา

ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมา “หลงเดินทางผิดอย่างงั้นหรอ? ศิษย์พี่นั่นแหละที่หลงเดินทางผิดน่ะ…”

“เจ้าน่ะยังโกรธแค้นท่านอาจารย์เพราะเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นอยู่อีกอย่างงั้นหรอ? “

ยี่เทียนซินได้หันหน้ากลับมาอีกครั้ง ดวงตาของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา เธอไม่อยากที่จะพูดถึงอดีตอีกต่อไป หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้ไปนั่งข้างๆ กับเธอ ในตอนนั้นเพียงแค่การโบกมือเพียงครั้งเดียวของเขา ถ้ำทั้งถ้ำก็สว่างไสวขึ้นมาในทันที

“ข้าน่ะเข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ก่อนเจ้าซะอีก ข้าย่อมรู้ซึ้งถึงความทรมานยิ่งกว่าเจ้า แต่เจ้าเคยเห็นข้าเคยบ่นอะไรออกมาไหมล่ะ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา

“ห๊ะ! ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่นั่นแหละเป็นคนที่ด่าตาแก่หลับหลังมากที่สุดแล้ว”

“แค่ก! แค่ก! ” หมิงซี่หยินเหลือบมองออกไปที่ด้านนอกถ้ำก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเขินอาย “เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ในตอนนี้น่ะท่านอาจารย์ใจดีขึ้นมาก”

“ใจดีอย่างงั้นหรอ? ศิษย์พี่สี่อย่ามาหลอกข้าซะให้ยาก” ยี่เทียนซินได้พูดออกมาก่อนที่จะส่ายหัวไปด้วย ในตอนนี้เธอได้จ้องมองไปที่สารรูปของตัวเอง สารรูปของเธอในตอนนี้เป็นคำตอบได้อย่างดี

“ข้าไม่ได้หลอกเจ้าหรอกนะ” หมิงซี่หยินได้ยืนขึ้นก่อนที่จะเอามือไขว้หลังเอาไว้ ตัวเขาได้เดินต่อไปก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดความคิดของท่านอาจารย์ก็กระจ่างไปในที่สุด ทัศนคติของตัวเขาในตอนนี้แตกต่างจากเดิมที่เคยเป็น”

“แล้วมันยังไงกันล่ะ? “

“ทำไมเจ้ายังไม่เข้าใจข้าอีก? ” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างมีอารมณ์ “ท่านอาจารย์ในอดีตน่ะไม่แม้แต่จะใส่ใจพวกเราด้วยซ้ำไป! “

“แล้วยังไงกันล่ะ! ตราบเท่าที่ตาแก่นั่นอยู่ หัวใจของข้าก็ไม่อาจที่จะอยู่เป็นสุขได้! “

เพรี๊ยะ!

หมิงซี่หยินได้ใช้มือของเขาตบไปที่ใบหน้าของยี่เทียนซิน ตัวเขาที่เป็นผู้ใช้วรยุทธ์ไม่ได้ใช้พลังยุทธ์ในการตบหน้าเธอแม้แต่อย่างใด การตบหน้าครั้งนี้เป็นการตบหน้าจากคนธรรมดาคนหนึ่ง การตบหน้าครั้งนี้ทำให้ยี่เทียนซินถึงกับนิ่งเงียบไป แต่ถึงแม้ว่าเธอจะนิ่งเงียบ แต่หมิงซี่หยินก็สังเกตเห็นความดื้อดึงของเธอคนนี้ผ่านสายตาได้อยู่ดี

หมิงซี่หยินในตอนนั้นกำลังจะยกมือขึ้นมาอีกครั้ง…

พรึ๊บ!

ยี่เทียนซินที่เห็นแบบนั้นก็ได้หลับตาลง

แต่ถึงจะยกมือขึ้นหมิงซี่หยินก็ไม่ได้ตบหน้าของเธออีกครั้ง เขาได้ใช้มือข้างนั้นตบไปที่ไหล่ของยี่เทียนซินแทน

“เจ้าน่ะควรจะไปถามกับท่านอาจารย์เอง…เรื่องทั้งหมดที่ข้าอยากจะพูดน่ะมันหมดลงแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าก็จะต้องเลือกเดินเองแล้ว! “

ตัวเขาไม่อยากที่จะเกลี้ยกล่อมยี่เทียนซินอีกต่อไป ในตอนที่หมิงซี่หยินกำลังหันหลังจากไป ในตอนนั้นเองยี่เทียนซินก็ได้ร้องเรียกขึ้นมาก่อน “ช้าก่อน! “

“เจ้าอยากที่จะพูดอะไรอีกกัน? “

“พี่น้องของข้าจากวังจันทราจะต้องมาช่วยข้าอย่างแน่นอน และเพราะแบบนั้นแล้วข้าอยากที่จะให้ศิษย์พี่ช่วยเมตตาเจ้าพวกนั้นซะหน่อย” เสียงที่เกรี้ยวโกรธของยี่เทียนซินได้หายไป ในตอนนี้เธอได้ใช้น้ำเสียงข้อร้องขึ้นมาแทน

เมื่อหมิงซี่หยินได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็หัวเราะขึ้นมาก่อนที่จะโต้ตอบกลับไป “เจ้าน่ะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยนะ เจ้าพวกนั้นน่ะหรอจะมาช่วยเจ้า เจ้าพวกนั้นน่ะยังติดปัญหาของตัวเองกันอยู่เลย”

“หมายความว่าอะไรกัน? “

“สำหนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักหลัว ได้สูญเสียชาวยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก เจ้าคิดว่าเจ้าพวกนั้นจะโทษว่าเป็นความผิดใครกันล่ะ? ความผิดเจ้าสำนักของพวกเขาอย่างงั้นหรอ? ไม่ใช่ยังไงล่ะ! เจ้าพวกนั้นน่ะได้โทษว่าเป็นความผิดของวังจันทรา เป็นความผิดของเจ้ายังไงล่ะ! “

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นร่างของยี่เทียนซินก็ได้สั่นไปทั้งร่าง ตัวเธอได้เงียบลงไปซะสนิท ที่ถ้ำเงาสะท้อนแห่งนี้ได้กลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง ยี่เทียนซินในตอนนี้ดูตกตะลึงและสูญเสียการควบคุมตัวเองไปชั่วขณะ

ในตอนนั้นเองลู่โจวก็กำลังทดลองใช้อาวุธนิรนามอยู่ ตัวเขาก็ได้การแจ้งเตือนของระบบเข้า

“ติ้ง! คุณได้สั่งสอนยี่เทียนซิน คุณได้รับแต้มบุญ 100”

ลู่โจวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสั่งสอนลูกศิษย์ทรยศคนนี้ได้ “ไม่ว่าลูกศิษย์ของตัวเขาจะเป็นถึงจอมวายร้ายที่ทรยศหักหลังเขามากสักแค่ไหน อย่างน้อยๆ ลูกศิษย์อย่างยี่เทียนซินก็ยังพอมีค่าสำหรับตัวเขาอยู่”

ลู่โจวในตอนนี้พยายามควบคุมดาบนิรนามให้หมุนอยู่บนมืออย่างรวดเร็วก่อนที่จะคว้าด้ามจับเอาไว้

“ด้วยวรยุทธ์ที่ตัวฉันมีในตอนนี้แล้วการที่จะควบคุมอาวุธชิ้นนี้ให้สมบูรณ์แบบได้คงจะเป็นเรื่องยากเดินไป”

ตัวเขาได้ใช้ดาบนิรนามที่อยู่บนมือตัดชั้นวางอาวุธที่อยู่ข้างๆ อย่างง่ายดาย

ตู้ม!

ในตอนนั้นเองเกิดประกายไฟไปทุกหนทุกแห่ง ดาบนิรนามในตอนนี้ยังคงอยู่ในสภาพเดิม และดาบที่ถูกฟังลงไปเองก็ยังคงอยู่เช่นเดิมเหมือนกัน

นี่คือของพิเศษที่แลกด้วยแต้มบุญทั้งหมดที่มีมา เป็นอาวุธที่ได้มาจากการจับฉลากนำโชคนั่นเอง

“นี่มันขยะจริงๆ! “