บทที่ 88 บุกมาถึงบ้าน

เด็กโง่บ้านเขาอายุไม่น้อยแล้ว ควรแต่งสะใภ้เข้าบ้านได้แล้ว มันต่างจากการมีงานทำหรือไม่มีงานทำนะ

“พี่ใหญ่ แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย จะไปให้ไอ้เด็กโง่ได้อย่างไร?”

ประโยคนี้หวังเหล่าซานเป็นคนพูด

เรื่องที่จะเอาพนักงานชั่วคราวกลับมา เขาเห็นด้วยมาก แต่ถ้าจะให้เด็กโง่บ้านพี่ใหญ่กลับมา เขากลับไม่ชอบใจ

หวังเหล่าต้าจ้องมองน้องสามก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่เอาเด็กโง่กลับมา แล้วจะให้ใครกลับ? แล้วเสาหลักคนโตบ้านแกเพิ่งจะกี่ขวบ? ให้เขาไปก็ทำไม่ได้หรอก!”

“พี่ใหญ่ ให้ผมก็ได้ ปีนี้ผมอายุยี่สิบสี่ปีแล้ว เหมาะสมพอดี!” หวังเหล่าซื่อออกตัวอย่างไม่ยอมน้อยหน้า เพราะไม่ต้องการด้อยไปกว่าใคร

“แกอายุยี่สิบสี่แล้วนะ อีกทั้งยังแต่งงานแล้วด้วย ทำไมต้องมาแย่งตำแหน่งหลานมันด้วย มียางอายบ้างไหม?” หวังเหล่าต้าพูดด้วยท่าทางของพี่ใหญ่

“ผมเป็นอา แต่ยังไม่มีงานทำเลย จะให้พวกคนหนุ่มสาวแค่คนเดียวได้อย่างไรกัน?”

ยายหวังเห็นลูกชายเริ่มทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาก็เอ่ยตำหนิ “ขนาดไม่ใช่เรื่องของเด็ก พวกแกยังแก่งแย่งกันอยู่ อยู่บ้านทำงานดี ๆ แม่จะไปถามเรื่องที่หงซินสักหน่อย”

หลังจากด่าจบ ไม่ว่าพวกลูกชายที่อยู่บ้านจะทะเลาะกันหรือเปล่า เธอก็ออกจากบ้านไปยังชุมชนการผลิตหงซินแล้ว

ยายหวังสาปแช่งซูหม่านซิ่วไปตลอดทาง นังโสเภณีคนนี้ พอมีตำแหน่งเป็นพนักงานชั่วคราว ยังกล้ายึดของไปเป็นของตัวเองอีก นี่มันเป็นของบ้านหวัง คอยฉันแหกอกนังหญิงไร้ยางอายคนนั้นได้เลย

ณ ชุมชนการผลิตหงซิน

ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านช่วงเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงไป งานภายในชุมชนใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วด้วย เหตุผลคือใกล้จะถึงช่วงกกตัวอยู่บ้านในฤดูหนาวแล้ว

แต่ในฐานะหัวหน้า ซูฉางจิ่วเองก็ไม่สามารถนั่งเฉย ๆ ได้

เขานั่งยองอยู่ตรงมุมลานบ้าน สูบยาเส้นที่ม้วนเองทีละมวน แต่เขาก็ยังอึดอัด!

คังอี้เยี่ยกลับมาแล้วจริง ๆ!

วันเวลาอันสงบของชาวชุมชมกำลังจะถูกทำลายลง!

ผู้หญิงคนนั้นได้รับโทษที่ทำรองเท้าขาด ทำงานใช้แรงงาน

เดิมทีเขาคิดว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดสิ่งใด เธอก็ไม่มีทางกลับมายังชุมชนการผลิตหงซินได้อีกแน่นอน

ใครจะรู้เล่าว่า ที่ชุมชนใหญ่บอกว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง!

ซูฉางจิ่วไม่อยากจะคิดเลย แต่ประโยคที่หัวหน้าเฉียนพูดไว้ว่านักศึกษาของหงซินที่ได้รับการอบรมแล้ว จะกลับมาที่หงซินเพื่อมาขัดขวางเขาแน่นอน

หัวหน้าเฉียนยังกล่าวอีกว่า ที่คังอี้เยี่ยมีความคิดตกต่ำแบบนี้ เป็นเพราะตัวซูฉางจิ่วผู้มีฐานะเป็นผู้นำล้มเหลวในการทำงาน และไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของนักศึกษาที่ไปชนบทให้ดี

ตอนนั้นเขาจะอยากจะก่นด่านักศึกษาเหมือนกัน คนอื่นยังได้ดี แต่ทำไมคังอี้เยี่ยถึงมีปัญหาอยู่คนเดียว?

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นปัญหาของคังอี้เยี่ยคนนั้น ไม่ใช่ปัญหาของเขา

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูฉางจิ่วก็ตัดสินใจปรึกษากับคนตระกูลซู

ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนบ้านนี้แล้ว แต่ไม่แน่ว่า ถ้าคังอี้เยี่ยกลับมา คนที่หล่อนจะลงมือเป็นอันดับแรกคือคนตระกูลซู

“คังอี้เยี่ยกำลังจะกลับมา?” เหลียงซิ่วร้องเสียงหลงราวกับหาเสียงตัวเองไม่เจอ

“ใช่ แล้วก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรอีก แล้วทำไมต้องกลับมาที่ชุมชนการผลิตหงซินด้วย” หัวหน้าซูดูดยาสูบเฮือกใหญ่

“จะกลับก็กลับสิ ชีวิตพวกเราก็ดำเนินต่อไป คนแบบนั้นอยู่ห่าง ๆ ไว้ก็ดี!” คุณย่าซูที่นั่งอยู่เงียบ ๆ เอ่ยขึ้นเสียงเบาพลางเย็บพื้นรองเท้าไปด้วย

หากเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ต้องยอมรับมัน ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำอะไรได้อีก?

“คุณป้าไม่กลัวเธอกลับมาแล้วจะสร้างปัญหาให้เป็นเรื่องอีกหรือ?” หัวหน้ายิ้มอย่างขมขื่น

เมื่อนึกย้อนกลับไป เขารู้สึกเสมอว่าคังอี้เยี่ยไม่ได้ตาบอดจนไม่เห็นไอ้เรื้อนหรอกนะ

คังอี้เยี่ยต้องมีแรงจูงใจซ่อนเร้นตอนไปที่ลำธารเป็นแน่ หลังจากคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะซูเหล่าซาน

อันที่จริงรูปร่างหน้าตาและร่างกายของซูเหล่าซานดีมากจริง ๆ ไม่เป็นสองรองใคร นับว่าเป็นคนที่โดดเด่นของชุมชนเราด้วย

คังอี้เยี่ยน่าจะนึกถึงซูเหล่าซาน จากนั้นมุ่งหน้าไปที่ลำธาร

แล้วที่เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไอ้เรื้อน นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญล้วน ๆ

อย่าถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น กลับกันที่คิดแบบนั้นมันดูไม่มีเหตุผล

ต้องบอกสหายซูฉางจิ่วที่เก่งเรื่องจินตนาการ ในสมองของเขายังมีประโยชน์มาก และสิ่งที่จินตนาการกับความเป็นจริงไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร

“สร้างเรื่องหรือไม่สร้างเรื่องอย่างไร คุณเป็นหัวหน้าชมชุน ยังควบคุมสมาชิกไม่กี่คนไม่ได้อีกหรือ? นักศึกษาเข้ามายังชุมชนเราแล้วก็ต้องฟังคำหัวหน้าด้วยสิ” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม

ซูฉางจิ่วผู้เป็นหัวหน้าที่เก่งทุกเรื่อง แต่ถ้าเรื่องพูดจาดันไม่ได้เรื่อง แล้วก็ดูจะเป็นคนหัวอ่อนเกินไป

ซูฉางจิ่วถอนหายใจ ไม่รอให้เขาพูดก็ได้ยินเสียงดังสนั่นของซูเถาฮวาจากข้างนอก เสียงของเธอยังทรงพลังเหมือนเดิม

“ฉันอยากจะถุยให้ ยังจะมีหน้ากล้ามาชุมชนเราอีกหรือ? ไม่กลัวว่าพวกเราจะหักขาหล่อนหรืออย่างไร!”

“เถาฮวาด่าใครล่ะนั่น?” คุณย่าซูถาม

“ไม่รู้สิครับ ไม่น่าจะเป็นคนในชุมชนเรานะ” ซูฉางจิ่วว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ผมจะออกไปดูหน่อย นิสัยซูเถาฮวารุนแรงเกินไป!”

หลังจากพูดจบ ซูฉางจิ่วก็ชี้ไปที่คุณย่าซูด้วย อยากให้รู้ว่าเมื่อก่อนแกเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ไม่กี่ปีมานี้ไม่ได้ต่างไปจากซูเถาฮวาเลย

“ฉันว่าร้ายแบบนี้หน่อยก็ดีนะ ไม่งั้นนักบัญชีหลี่จะโดนเธอจัดการอยู่หมัดหรือ?” คุณย่าซูเห็นด้วยกับซูเถาฮวาอย่างมาก

หัวหน้าซูอายุปูนนี้แล้ว แต่ยังมองไม่ออกเลย นักบัญชีหลี่คนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ โชคดีที่ซูเถาฮวาเป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง

ซูฉางจิ่วบ่นกระปอดกระแปด ไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้นะ?

ทว่าคุณย่าซูไม่ได้ยินประโยคนี้

ทั้งสองกำลังสนทนากัน ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตู พลันได้เสียงประตูถูกเปิดเสียงดังลั่น

ยามที่ประตูถูกเปิดออกก็พบว่าเป็นยายหวัง

รอยยิ้มบนใบหน้าคุณย่าซูพลันหายวับไป

ยายหวังกล่าวกับคุณย่าซูด้วยรอยยิ้ม “บ้านสะใภ้ อยู่บ้านด้วยหรอกหรือ?”

ความคิดสนิทสนมชิดเชื้อแบบนี้ เกรงว่ากลัวคนที่ไม่รู้จะคิดว่าสองบ้านนี้ความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

“อย่าเลย ตระกูลซูของเราไม่มีญาติเหมือนแกหรอก ตระกูลหลิวนู่นที่จะเป็นญาติดองกับตระกูลหวัง”

คุณย่าซูถือพื้นรองเท้าครึ่งหนึ่งไว้ในมือ กัดฟันกรอด พื้นรองนั่นแทบจะลอยจากมือไปอยู่บนใบหน้าของยายหวัง

นังคนไร้ยางอายแบบนี้ยังกล้ามาถึงประตูบ้านเราอีก ไม่คิดบ้างหรืออย่างไรว่าบ้านเราไม่มีคนอยู่น่ะ?

“บ้านสะใภ้ ฉันไม่ได้มาหาลูกหม่านซิ่วเสียหน่อย ถึงอย่างไรคุณก็ให้ลูกสะใภ้แต่งเข้าบ้านมาตั้งหลายปี ฉันก็แค่ปวดใจที่เธอไม่ใช่สะใภ้แล้ว!”

ยายหวังยิ้มเอียงอายแล้วเอ่ยขึ้น เธอไปถามมาแน่ชัดแล้วว่าซูหม่านซิ่วทำงานที่อำเภอจริง ๆ เห็นว่าเป็นพนักงานชั่วคราว

และยายหวังเพิ่งเข้าบ้านซูมา วันนี้ต้องขอคำอธิบายเพิ่มไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่สำคัญว่าซูหม่านซิ่วจะกลับไปหรือเปล่า เพราะเรื่องสำคัญคือต้องเอาตำแหน่งพนักงานชั่วคราวกลับมาให้ได้

เพ้อฝันถึงเรื่องสวยงาม และดันตัวเองเข้ามาในประตูบ้านตระกูลซู

“ถุย! พูดแบบนี้ไม่รู้สึกขัด ๆ กับสิ่งที่ทำบ้างหรือไง? ลูกสาวของฉันถูกแกข่มเหงจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ยังกล้าพูดอีกว่าเสียใจต่อลูกฉัน ถ้าฉันเสียใจแบบนี้บ้างแกอยากได้ไหม?”

คุณย่าซูโกรธมาก เกือบจะตบหนังหน้าหนา ๆ ของยายหวังแล้ว

“ที่ฉันพูดไปน่ะ ก็แค่ว่าลูกสะใภ้บ้านใครจะไม่กลายเป็นแม่สามีบ้าง ฉันเองก็ดีต่อหม่านซิ่วด้วยนะ!”

ตอนซูเสี่ยวเถียนลงมาจากเขาก็เห็นฉากสนทนานี้พอดี