ตอนที่ 1 เจ้าหนุ่มนักกวาด

สำนักดาบราชัน ขุนเขาเขาว่างเปล่า ยอดเขาแรงงาน

สำนักโด่งดังที่ทรงอำนาจแห่งเขตแดนใต้ สำนักดาบราชัน ทิวทัศน์ด้านหลังเต็มไปด้วยภูเขานับหมื่นลูก ด้านหน้าหันตรงไปยังจักรวรรดิต้าฉิน ทั้งยังครองขุนเขาว่างเปล่าที่มีพื้นที่กว้างถึงพันลี้ ซึ่งประกอบไปด้วยเจ็ดยอดเขาใหญ่ สามสิบหกยอดเขาเล็ก และยอดเขาแรงงานคือหนึ่งในเหล่านั้น ตามชื่อเรียก ยอดเขานี้คือที่อยู่อาศัยของเหล่าศิษย์ใช้แรงงาน ที่รองรับผู้คนได้เป็นหมื่นพัน

แสงแห่งรุ่งอรุณเริ่มฉายลงมาดั่งเช่นทุกที หยางเย่ตื่นขึ้นล้างหน้าก่อนออกจากห้องนอนพร้อมไม้กวาดคู่กาย

หยางเย่มองไปยังแสงที่เริ่มส่องประกายที่ปลายฟ้า สูดหายใจนำบรรยากาศยามเช้านี้เขาไป ใบหน้าหยางเย่แสดงถึงความมุ่งมั่นพร้อมพูดออกมา “งานหนัก! ขยันอดทน! ไม่ยอมแพ้!”

หลังกล่าวเสร็จ เขาเดินตรงไปยังหุบเขาวายุเหมันต์

“ดูสิ เจ้านั่นอดีตศิษย์นอกสำนักไม่ใช่หรือ?”

“ใช่ แต่ทุกอย่างมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ยามนี้เขาเป็นเพียงหนึ่งในศิษย์ใช้แรงงานกวาดพื้นแบบพวกเรานี่แหละ”

“ช่างน่าเสียดายความหล่อเหลายิ่งนัก! ดูแล้วเพิ่งอายุราวสิบหก หรือ สิบเจ็ดปีซึ่งอนาคตยังอีกยาวไกล โชคไม่ดี เขาต้องมาอยู่ที่นี่พร้อมทำงานไร้สาระ ช่างน่าสงสาร!”

“ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสฝ่ายนอกสำนักรับเขาเป็นศิษย์ที่เมืองทักษิณภิรมย์ แต่ภายหลังเขาไม่สามารถซึมซับพลังปราณล้ำลึกได้ภายในหนึ่งปี ด้วยความโมโห ผู้อาวุโสฝ่ายนอกจึงลดขั้นเป็นศิษย์ใช้แรงงานแทน ยิ่งกว่านั้นเขาคือคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักดาบราชันที่ถูกลดตำเหน่งเป็นศิษย์ใช้แรงงาน พร้อมกับสมญานามขยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบราชัน!”

“ขยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบราชัน! ฮ่า ฮ่า ชื่อเสียงเขาต้องเป็นที่เลื่องลืออย่างแน่นอน!”

หยางเย่หยุดเดินระหว่างที่ได้ยินเสียงนินทารอบกาย มือขวาเขาถือไม้กวาดติดตัวไว้แน่น หลังจากนั้นไม่นาน เขาสูดหายใจลึกไร้ซึ่งความสนใจในเสียงเหล่านั้นและเดินต่อไปพร้อมกวาดพื้นด้านหน้าหุบเขาวายุเหมันต์

หุบเขาวายุเหมันต์ตั้งอยู่ด้านหลังยอดเขาแรงงาน มันถูกล้อมรอบไปด้วย 3 เนินเขาเล็ก มีช่องเขาลึกจมอยู่ตรงกลาง พื้นหญ้างามล้อมรอบ ต้นไม้สูงใหญ่ที่บดบังท้องฟ้า มันคือสถานที่ของศิษย์แรงงานมาเก็บสมุนไพรกับฟืน ทั้งยังเป็นที่ฝึกฝนของหยางเย่

ณ โขดหิน หยางเย่ขว้างไม้กวาดออกไปพร้อมกระโจนขึ้นนั่งไขว้ขา จากนั้นนำซองจดหมายและรูปปั้นดินเผาขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก เขาได้รับสิ่งนี้จากครอบครัวเมื่อคืนก่อน การทำงานอย่างหนักถึงแปดชั่วยาม มันแทบไม่มีเวลาจะเปิดดู

หยางเย่มองไปยังรูปปั้นดินเผาในมือพลางยิ้มออกมา มันดูเล็กยิ่งนัก แถมรูปร่างไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ น้องเล็กเป็นคนปั้นให้โดยมีตัวเขาเองเป็นต้นแบบ ความสวยงามหาได้สำคัญกับเขาไม่ มันคือสมบัติล้ำค่าจากน้องสาวต่างหาก

หลังจากลูบเล่นครู่หนึ่ง หยางเย่เก็บรูปปั้นไว้ใต้เสื้อในหน้าอกเช่นเดิม เขามองไปยังซองจดหมายในมือ และพยายามปัดฝุ่นออก พร้อมดึงจดหมายข้างในออกมาอ่านอย่างระมัดระวัง

“พี่ใหญ่ พวกเราได้รับทองที่ท่านส่งมาให้จากเดือนที่แล้วเรียบร้อย รู้ไหมตั้งแต่ท่านเข้าเป็นศิษย์ภายนอกของสำนักดาบราชัน เพื่อนบ้านที่เคยดูถูกพวกเราเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียนบ่อยขึ้น ฮึ่ม! เสี่ยวเหยารู้ว่าพวกเขาทำดีกับข้าและท่านแม่เพราะพวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าพี่ใหญ่เรามีความสามารถ เจ้าพวกนี้ก็แค่คนที่มองคนผ่านฐานะเท่านั้นแหละ”

หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมเอ้ยคำเย้ยหยันตนเองออกมา “ศิษย์ภายนอก…”

หยางเย่พยายามเก็บความข่มขื่นและความสิ้นหวังไว้ในใจพร้อมมองไปที่จดหมาย

“นอกจากนี้ ผู้คนจากตระกูลหลิวยิ่งน่ารำคาญใหญ่ พวกเขาส่งข้อเสนอแต่งงานให้ท่านแม่ยกเสี่ยวเหยาไปเป็นภรรยาของเจ้าอ้วนหนักร้อยห้าสิบกิโลกรัม แถมเจ้าอ้วนนั้นยังเดินไม่ได้อีก ความอยากอาหารข้าหายไปยามมองไปที่มัน โชคดีนะ ท่านแม่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ แต่หากข้าต้องแต่งงาน เสี่ยวเหยาอยากแต่งกับ…แต่งกับ พี่ใหญ่ของข้าเอง โอ้ย น่าอายจังเลย! พี่ใหญ่ ห้ามหัวเราะเยาะข้านะ แม้กระทั่งในใจก็ห้ามเด็ดขาด!”

“ตระกูลหลิว!” ประกายแสงอันหนาวเย็นวูบขึ้นในตาของหยางเย่ ตระกูลหลิวมีอำนาจยิ่งนักในเมืองทักษิณภิรมณ์ ในกาลก่อน ผู้นำตระกูลหลิวต้องการแม่ของเขาไปเป็นนางสนม นางยอมตายยังดีเสียกว่า ตระกูลหลิวซึ่งเป็นตระกูลใหญ่จึงมิกล้าล้ำเส้นมากนัก เนื่องจากกฎหมายจักรวรรดิต้าฉินนั้นเข้มงวดมาก

แต่พวกมันยังไม่ละทิ้งความพยายามแถมบังคับท่านแม่ให้เต็มใจแต่งเข้าตระกูล ถึงจะลำบากเพียงใดนางก็ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน สถานการณ์ยังคงเลวร้ายจนกระทั่งเขาเข้าเป็นศิษย์ชั้นนอกแห่งสำนักดาบราชัน สิ่งนี้ทำให้ตระกูลหลิวเกรงกลัวและไม่กล้ากระทำการใดมากไปกว่านี้

กระนั้น เขาเองไม่ทันคาดคิดว่าตระกูลหลิวจะหันเป้าหมายไปยังน้องเล็ก

“เข้มแข็ง! เข้มแข็ง!! ข้าต้องกลับไปเป็นศิษย์ภายนอกให้ได้” หยางเย่กำหมัดแน่น เขาทราบดีหากข่าวการถูกลดขั้นไปถึงเมืองทักษิณภิรมณ์ ตระกูลหลิวต้องไม่นิ่งเฉยเป็นแน่ ความเป็นอยู่ของท่านแม่กับน้องสาวยิ่งจะอันตรายเข้าไปอีก

เมื่อเริ่มคิดได้ หยางเย่เก็บจดหมายและเดินออกจากโขดหิน พลางดึงกิ่งไม้ออกมาจากข้างใต้ ในกิ่งไม้มีเหล็กดำสี่ชิ้นราวกับสร้อยข้อมือ

หยางเย่สวมมันทั้งสี่เข้ากับแขนและข้อเท้า มันทำให้หยางเย่รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาใช้มันจนค่อนข้างคุ้นเคยกับน้ำหนักแล้ว

จากนั้น เขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่พร้อมกระทืบด้วยขาทั้งคู่อย่างแรง ทำให้ร่างทะยานขึ้นก่อนใช้มือจับกิ่งไม้ เขาใช้แรงแขนดึงตัวเองขึ้นไปและปล่อยลงมา ขณะที่ขยับขึ้นลง ท่าทางเขานั้นดูประหลาด มันทำให้กล้ามเนื้อทั้งร่างกายออกแรงพร้อมกันในครั้งเดียว

มันเป็นวิชากระตุ้นกายที่เขาได้มาจากการเป็นศิษย์นอกสำนัก แต่หาใช่สิ่งที่ล้ำค่าเท่าไหร่นัก ศิษย์ทุกคนต่างมีวิชานี้ การฝึกฝนสามารถช่วยเพิ่มพละกำลังของร่างกาย เมื่อเส้นเอ็นและกระดูกภายในถูกฝึกจนถึงขั้นแล้ว การดูดซับพลังปราณล้ำลึกจึงจะสำเร็จ เมื่อมีพลังปราณล้ำลึกแล้วจึงจะถูกเรียกว่าผู้ใช้พลังปราณ

เขาใช้เวลาฝึกวิชาและบ่มพลังมาครึ่งปี แต่ยังไม่สามารถเปิดจุดพลังปราณล้ำลึกได้ สิ่งนี้ทำให้เขาถูกลดขั้นเป็นศิษย์ใช้แรงงานผู้ต่ำต้อยสุดในสำนักดาบราชัน

ในประวัติศาสตร์ ศิษย์นอกที่ถูกลดชั้นสู่ศิษย์ใช้แรงงานนั้นไม่เคยมีมาก่อน เป็นเหตุผลที่เขาได้รับฉายาขยะอันดับหนึ่งแห่งสำนัก ยิ่งกว่านั้นเขายังกลายเป็นศิษย์ตัวอย่างอันยอดแย่เท่าที่เคยสอนมาของผู้อาวุโส

เมื่อมีศิษย์ชั้นนอกเริ่มเกียจคร้านหรือทำตัวไร้ค่า ผู้อาวุโสมักเอ่ย “เจ้าอยากเป็นหยางเย่คนที่สองรึ?”

โดยปกติ คนทั่วไปมักจะกลับไปยังดินแดนมนุษย์เช่นเดิม แต่สำหรับหยางเย่ เขาปฏิเสธสิ่งนั้นและยังเต็มใจที่จะกลายเป็นศิษย์ใช้แรงงานต่อไป!

เขายอมทำสิ่งนี้เพราะไม่อยากทำให้ท่านแม่และน้องสาวผิดหวังนั้นเอง! ราวกับเป็นความหวังเดียวของครอบครัว ไม่มีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งท่านแม่และน้องสาวเพราะเขากลายเป็นศิษย์นอกของสำนักดาบราชัน ด้วยสิ่งนี้ทำให้ท่านแม่และน้องสาวสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

หากเขากลับไป ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปเช่นกัน

ฮึบ~ฮึบ~

จากนั้นไม่นาน ปรากฏเสียงสูดลมหายใจดังไปทั่วหุบเขา เขาจำต้องปิดตาจากเหงื่อที่ไหลเข้าไป ตอนนี้เหงื่อบนหน้าของเขาราวกับฝนตก

หยางเย่รู้สึกชาและอ่อนล้าไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะท่อนแขน มันรู้สึกหนักจากการใช้งานอย่างหักโหม คนปกติมักจะใช้เวลาพักผ่อนชั่วครู่ แต่เขากลับพยายามกัดฟันยึดกิ่งไม้แน่นก่อนที่จะยกตัวขึ้นลงอย่างไม่หยุดพักอีกครั้ง

ไม่นาน ใบหน้าของหยางเย่แดงก่ำพร้อมกับเหงื่อที่ไหลย้อยจากหน้าผาก เสื้อสีเขียวของศิษย์ใช้แรงงานเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกถึงขีดจำกัด ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงร่วงลงสู่พื้นในที่สุด

ฟู่~ฟู่~

เขาพยายามหายใจอย่างลำบากขณะนอนราบอยู่บนพื้น นิ้วมือไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับ

แสงริบหรี่จากปลายขอบฟ้า ภาพที่เห็นไกลตาเริ่มกระจ่างขึ้น สายลมเย็นพัดผ่าน หยางเย่สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง หยางเย่กระโดดขึ้นนั่งพร้อมดวงตาเปิดกว้าง ใบหน้าที่แสดงอาการประหลาดใจ

เขาเข้าถึงจุดพลังปราณล้ำลึกแล้ว!

ใช่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณล้ำลึกแล้ว! เส้นใยปราณพลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายและตรงไปยังจุดตันเถียนทีละน้อย ถึงแม้ปราณพลังยังไม่เสถียรก็ตาม ตอนนี้ เขาสามารถสัมผัสถึงมันได้แล้ว

ฮืม? เกิดอะไรขึ้นกันนะ? หยางเย่รู้สึกว่าเส้นใยพลังปราณล้ำลึกหายไปในทันทีหลังจากไหลเข้าจุดตันเถียน ทุกอย่างหายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น!

เขาขมวดคิ้วแน่นขณะที่ค้นหาเส้นใยพลังปราณล้ำลึกในร่างกาย จากนั้นไม่นาน ตาหยางเย่เบิกกว้างพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ข้า ข้า ข้ามีจุดตันเถียงสองจุด….” หยางเย่แสดงใบหน้าที่ยากจะเชื่อ เขาค้นพบเส้นใยพลังปราณล้ำลึก หรือพูดให้ถูกต้องคือแหล่งเก็บพลัง มันเป็นกระแสน้ำวนขนาดเล็กในส่วนที่ลึกที่สุดของจุดตันเถียน และกระแสน้ำวนนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณ

เวลานี้ หยางเย่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาไม่สามารถดูดซับพลังปราณได้เมื่อคราก่อน ใช่ว่าจะดูดซับไม่ได้ หากแต่พลังปราณนั้นถูกดูดโดยน้ำวนทันที เขาแทบไม่เคยสังเกตเห็นกระแสน้ำวนนี้ มันซ่อนอยู่ลึกมากภายในจุดตันเถียน หากเขาไม่ตามเส้นใยพลังปราณล้ำลึกก่อนหน้านี้ คงจะไม่มีวันเจอน้ำวนขนาดเล็กนี้เป็นแน่

เหตุที่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณล้ำลึกได้ คือเจ้าบ่อน้ำวนนี้ล้นไปด้วยพลังปราณแล้ว ดังนั้นเส้นใยแห่งพลังปราณล้ำลึกจึงถูกดันออกมาสู่จุดตันเถียนปกติ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมเจ้าน้ำวนขนาดเล็กนี้ถึงดูดพลังงานปราณล้ำลึกเข้าไปจดหมดสิ้น

จากสิ่งที่เขารู้มา คนทั่วไปมีตันเถียนแค่จุดเดียว และไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะมีสองจุดเหมือนเขาไหม และสิ่งเดียวที่เขามั่นใจตอนนี้คือ เขาไม่ใช่ขยะอันดับหนึ่งอีกต่อไป

การคิดสิ่งนี้ทำให้มุมปากของหยางเย่ปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นไม่นานมันกลายเป็นเสียงหัวเราะในลำคอ และอีกไม่นานจากนั้น เสียงหัวเราะเบา ๆ นี้ได้เปลี่ยนเป็นเสียงคำรามพร้อมเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่ง

“ข้า หยางเย่สามารถเป็นผู้ใช้พลังปราณได้ ข้า หยางเย่สามารถเป็นผู้ใช้พลังปราณปราณได้ ฮ่าฮ่า!!” ยามนี้ หยางเย่หัวเราะพร้อมน้ำตา ร้องไห้ออกมาราวกับเด็กคนหนึ่ง คืนและวันที่ผ่านไป เขาไม่เคยมีความคิดจะยอมแพ้สักครั้ง ภูผาหนักอึ้งที่เขาต้องแบกไว้บนไหล่ เขาไม่กลัวผู้คนจะเย้ยหยันว่าเป็นขยะอันดับหนึ่งหรือดูถูกเขาแค่ไหน

แต่กลัวความหวังของท่านแม่และน้องเล็กจะพังทลายมากกว่า

กลัวว่าพวกเขาจะโดนเหยียดหยามโดยเพื่อนบ้านอีกครั้ง

กลัวว่าพวกเขาจะกลับไปหิวโหยอีกเช่นเคย

เขากลัวสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าสิ่งใด

บัดนี้ ความสามารถเขาเพียงพอจะหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้น ตราบที่ฝึกฝนวิชากระตุ้นกายจนบรรลุขั้นสูงสุดของขั้นมนุษย์ระดับหก จากนั้นเขาสามารถกลับไปเป็นศิษย์ภายนอก เมื่อเข้าเป็นศิษย์นอกสำนักแล้ว ทรัพยากรฝึกฝน วิชายุทธ์ และเพลงดาบ เขาจะมีโอกาสเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้

และหากเขาสามารถเป็นศิษย์ในสำนักได้สำเร็จ แม้แต่ผู้ว่าการแห่งเมืองทักษิณภิรมณ์ยังต้องทำความเคารพเขา

แสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์ลอดผ่านต้นไม้ส่องกระทบใบหน้าหยางเย่ที่เต็มไปด้วยเหงื่อและประกายสีแดงบนใบหน้า

“เหตุใดข้าไม่เคยรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้งดงามมาก่อนนะ?” หยางเย่ยิ้มและระงับความตื่นเต้นภายในใจเขาก่อนจะเช็ดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นถอดเหล็กทั้งสี่ทั่วร่างออกและวางมันกลับไว้ใต้โขดหินดังเดิม เขาเดินไปจับไม้กวาดก่อนจะวิ่งไปทางหุบเขาอย่างรวดเร็ว

เขาตระหนักได้ว่างานในวันนี้คือกวาดลานฝึกของสำนักดาบราชัน!