ตอนที่ 12

Dungeon Defence

มมารลำดับ 71 จอมมารที่อ่อนแอที่สุด ดันทาเลี่ยน

ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 20, เดือน 6

ปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยน

“……วันนี้ฝ่าบาทก็คิดจะนอนอยู่บนเตียงทั้งวันเหมือนเดิมหรือ?”

“ถ้าเธอคิดว่าข้าอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเพียงเพราะว่านอนอยู่แต่บนเตียงล่ะก็ ขอบอกว่าเธอกำลังเข้าใจผิดถนัด ถึงข้าจะทำตัวแบบนี้ก็เถอะ แต่ข้าก็กำลังเรียบเรียงชะตากรรมของเอกภพอยู่ในหัวของข้าอยู่นะ”

จากตอนนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว

หลังจากที่ผมได้ทำการกู้เงินมา ก็ใช้เวลาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ทำนู่นทำนี่เรื่อยเปื่อยตามใจฉัน จนภาพที่ แลพิส แลซูลี มาหาผมแล้วเริ่มถอนหายใจมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันขึ้นมา

“ดอกเบี้ยค้างชำระได้สะสมเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 2,000 ลิบรา แล้วนะคะ”

“อ๊ะ หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกดีจัง”

ผมกำลังนอนอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า <รวมบันทึกเหตุการณ์ของจอมมารต่าง ๆ และกฎหมายพิเศษที่เกิดจากจอมมาร>

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมาอ่านหนังสือแบบนี้นั้นก็ตอบได้ไม่ยาก

ก็เพราะว่าข้อมูลที่ผมมีเกี่ยวกับโลกนี้มันเป็นข้อมูลเพียงด้านเดียวน่ะสิ

เป็นเกมที่เราจะได้สวมบทบาทเป็นผู้กล้าฝั่งมนุษย์ และเพราะเหตุนั้นเอง ผมจึงมีแค่ความรู้ในด้านที่เกี่ยวกับมนุษย์และสังคมของทางด้านนั้น โดยที่แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสังคมของโลกปีศาจเลยสักกะผีกเดียว

อย่างมาก ก็แค่รู้ว่ามีวีรสตรี(นางเอก)ที่เป็นแวมไพร์มาตกหลุมรักตัวเอกของเกมแล้วก็ยอมจำนนแค่นั้นเอง ไอ้ผู้กล้า(พระเอก)ของเกมก็ไม่เคยสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับโลกปีศาจเลยด้วย

แต่ก็ไม่เป็นไร มันก็แค่หมายความว่าผมต้องมาศึกษาด้วยตัวเองเท่านั้น

“โฮ่ ในโลกนี้ ถ้าหากจอมมารคิดจะโจมตีจอมมารด้วยกันเอง อย่างน้อยก็ต้องประกาศเจตนารมณ์ที่จะก่อสงครามให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบก่อนสองครั้งงั้นหรือ? จะมีพิธีรีตองกันเรื่องนี้ทำไมล่ะเนี่ยไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย แต่ก็เป็นวิธีการขัดขวางไม่ให้เกิดสงครามที่ใช้ได้เลยนะเลยนะ อืม อืม”

“ถ้าฝ่าบาทคิดจะไม่ทำอะไรเลยแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่าบาทก็จะล้มละลายภายในเวลา 3 เดือน กรุณารับทราบเอาไว้ด้วย”

“ข้าอยากทานไอศครีมจังเลยน้า—”

“……”

เธอคงรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าทางนี้ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

แลพิส แลซูลี ยกมือเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งกดลงไปบนหน้าผากตัวเอง ถึงใบหน้าเธอจะยังไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก็เถอะ แต่เท่าที่ผมสังเกตุดูแล้วก็สามารถบอกได้เลยว่าเธอคงจะรู้สึกเครียดเอาการ

ผมแสดงรอยยิ้มที่ดูห้าวหาญออกไป

“อย่าเป็นห่วงไปเลย ข้าเตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“……ขออภัยฝ่าบาท แต่นอกจากคำสั่งของฝ่าบาทที่ให้เราผู้นี้เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยไม่ใช่หรือ?”

“ทำแค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”

ราว ๆ 50 วันก่อน

ผมให้ แลพิส แลซูลี ทำการสั่งซื้อสมุนไพรตัวหนึ่งมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในตอนนี้ เกือบจะทุกคนบนโลกคงจะมองเห็นมันเป็นเพียงพืชผักที่ไม่มีค่าอะไรเลยเท่านั้นเอง ยกเว้นผมที่รู้ว่าในอนาคตมันจะมีอะไรเกิดขึ้น

ปัจจุบันคือ ปี 1505 ตามปฎิทินของจักรวรรดิ์

ในฤดูร้อนที่กำลังจะถึงนี้ จะมีโรคติดต่อที่ลุกลามไปทั่วทั้งทวีปเกิดขึ้น

มันคือโรคที่ถูกขนานนามในภายหลังว่า ความตายสีดำ โรคนี้ได้แพร่กระจายออกไปและคร่าประชากรไปเกือบ 40% ของทั้งทวีปจนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัว มันน่ากลัวจนถึงขนาดที่แม้จะเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นฝันร้ายก็ไม่อาจจะบรรยายได้ใกล้เคียงกับความสยดสยองที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งใน Dungeon Attack เกมจะมีเซตติ้งที่เราจะเริ่มเล่นหลังจากที่เหตุการณฺ์ความตายสีดำนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว…… หรือถ้าจะเจาะจงลงไปก็คือ เนื้อเรื่องของเกมนั้นเริ่มในปีที่ 1515 ตามปฎิทินของจักรวรรดิ์

แต่โศกนาฎกรรมที่ว่านั่นก็ยังไม่เกิดขึ้นเสียหน่อยแล้วผมจะไปสนใจทำไม กำลังคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม? นั่นก็เพราะว่าความสนุกมันอยู่ตรงส่วนที่กำลังจะตามมาต่างหาก

มันน่าสนุกตรงที่โรคระบาดนี้มันกลับมียารักษาอยู่ด้วย

มันถูกเรียกแบบบ้าน ๆ เลยว่า ‘สมุนไพรสีดำ’ เพราะมันรักษาโรคความตายสีดำได้ มันก็เลยถูกเรียกว่าสมุนไพรสีดำ อยากจะบอกว่าคนบนโลกนี้มีเซนส์ด้านการตั้งช่วยห่วยแตกสุด ๆ ดีไม่ดีคนพวกนี้อาจจะตั้งชื่อของลูกเมียน้อยทั้งหลายได้ดีกว่าชื่อทายาทตามกฎหมายอีกมั้ง

‘สมุนไพรของเทวดา’, ‘ความกรุณาของเทพธิดา’, ‘ตับของอะพอลโล’ ชื่อพวกนี้คือชื่อเล่นสุดอลังการของสมุนไพรตัวนี้ที่จะถูกตั้งตามมาในภายหลัง แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตอยู่ดี เพราะในฤดูร้อนปี 1505 ตามปฎิทินของจักรวรรดิ์ ก่อนที่โรคระบาดจะแพร่กระจายออกไปนั้น เจ้าสมุนไพรสีดำนี้ก็เป็นได้แค่วัชพืชธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง มันไร้ค่าจนถึงขนาดที่ว่ามันไม่มีแม้กระทั่งชื่อเรียกในหลาย ๆ พื้นที่ด้วยซ้ำ

ดังนั้น ในตอนนี้มันก็เป็นได้แค่

วัชพืช

เป็นพืชผักที่ไม่มีราคาค่างวดเลยแม้แต่น้อย—

และผม ก็ได้ลงทุนกับมันด้วยเงินทั้งหมดที่ผมมีจนหมด

ขั้นตอนการกว้านซื้อนั้นก็เป็นอะไรที่ง่ายมาก

อันดับแรก ผมได้จัดการติดต่อกับพวกบริษัทของพวกพ่อค้าที่มีขนาดเล็กหน่อยทั่วทั้งทวีป จากนั้นก็ได้บริษัทพวกนี้ล่ะที่ช่วยให้ผมสามารถทำสัญญากับพวกนักปรุงยาที่กระจายกันอยู่ไปทั่วได้ และสุดท้ายพวกคนปรุงยาก็ไปจ้างคนเก็บสมุนไพรจากทั้งในเมืองและในหมู่บ้าน ทำให้เกิดสัญญาแบบสามทางขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินค่านายหน้ากับค่าขนส่งของของพวกบริษัทขนาดเล็ก 2,000 เหรียญทอง ค่าบริการกับค่าจ้างของนักปรุงยากับคนเก็บสมุนไพร 6,000 เหรียญทอง นอกจากนี้ เพื่อที่จะทำให้สามารถเก็บสมุนไพรพวกนี้ให้อยู่ในสภาพที่สดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมก็เลยสั่งซื้อโกดังเก็บของกึ่งถาวรที่มีคุณภาพสูงที่สุดมาด้วย

แม้ผมจะยังไม่ชินกับธรรมเนียมต่าง ๆ ของโลกนี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่เป็นไร ตัวผมน่ะวางแผนจัดการเรื่องใหญ่ ๆ ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดจุกจิกทั้งหลาย(ขี้เกียจทำ)ก็โยนให้แลพิส แลซูลี เป็นคนกลางในการจัดการไป

ส่วนคนที่คอยเดินเรื่องทำสัญญากับพวกบริษัทเล็ก ๆ และนักปรุงยาทั้งหลายนั้น ก็ไม่ใช่ผมแต่เป็น แลพิส แลซูลี อีกเช่นกัน จะบอกว่าพวกเราสองคนนั้นเข้ากันดีก็ได้ ต่างคนต่างส่งเสริมเกือหนุนกันได้อย่างลงตัว

ส่วนพวกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ก็คงจะมัวแต่หัวเราะจนท้องขดท้องแข็งกันอยู่

ทุกคนอยากจะรู้ว่าจอมมารดันทาเลี่ยนขอยืมเงินเป็นจำนวน 10,000 ลิบราไปทำอะไร แล้วดูสิ จอมมารดันทาเลี่ยนเอาเงินไปซื้อวัชพืชที่ไม่มีประโยชน์อะไร ซื้อวัชพืชที่ไม่มีใครเอาไปใช้ทำอาหารด้วยซ้ำจนหมด แถมยังเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดีอย่างกับสมบัติล้ำค่า

แลพิส แลซูลี เล่าให้ผมฟังว่าบรรดาเหล่าพวกผู้บริหารที่บริษัทต่างก็พากันพูดว่า ‘นี่เป็นสุดยอดเรื่องตลกแห่งปีเลยนะ’ แล้วก็พากันขำกลิ้งกันใหญ่

เรื่องตลกของจอมมารดันทาเลี่ยนได้กลายเป็นหัวข้อสนทนากันทั้งบ้านทั้งเมือง

‘การกระทำอันโง่เขลาของจอมมารเสียสติผู้ที่มีลำดับต่ำที่สุด’

‘ขยะราคา 10,000 เหรียญทอง’

‘อยากเรียกร้องความสนใจจนถึงขนาดยอมทิ้งชีวิตตัวเอง!’

และอื่น ๆ

แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจสุด ๆ

ถ้าผมสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นด้วยเรื่องเหลวไหลเพียงแค่นี้ได้ล่ะก็ นี่ต้องถือว่าเป็นผลสำเร็จของชีวิตผมแล้วจริงไหม? ทุกวันนี้พวกเราทุกคนต่างก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ยากเข็ญและมีชีวิตที่แห้งแล้งด้วยกันทั้งนั้น หากสิ่งที่ผมทำลงไปมันสามารถสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้กับทุกคนได้ ผมก็รู้สึกดีใจอย่างที่สุดแล้ว

ที่ผมพูดมาน่ะจริงหรือเปล่า?

จริงสิ และผมจะทำให้เรื่องนี้มันสุดยอดยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นเพียงแค่สุดยอดเรื่องตลกแห่งปีเท่านั้น แต่มันจะกลายเป็นสุดยอดเรื่องตลกที่ไม่มีเรื่องไหนจะตลกยิ่งไปกว่านี้เท่าที่ทุกคนจะเคยได้ยินในชีวิตนี้เลยทีเดียว ‘พืชที่พวกพวกเราเคยคิดว่ามันเป็นแค่วัชพืชธรรมดา ๆ แต่ความจริงแล้วมันกลับลายเป็นพืชที่มีค่ายิ่งกว่าอัญมณี!’ นี่ล่ะคือบทสรุปที่กำลังมาถึงของเรื่องนี้ เอ้าหัวเราะสิ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสามัญสำนึกอยู่น่ะ ก็ต้องหัวเราะกับเรื่องบ้า ๆ แบบนี้จนท้องขดท้องแข็งกันทั้งนั้นแหละ

“ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ เลยว่าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้เธอจะแสดงสีหน้าแบบไหนให้เห็น”

“อะไรนะคะ?”

“ในเมื่อทั้งปีทั้งชาติเธอก็ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นเสียที เธอจงตั้งหน้าตั้งตารอเอาไว้เถอะ ข้าจะต้องทำให้เธอต้องหัวเราะออกมาได้แน่อย่างแน่นอน”

“……เราผู้นี้ไม่เข้าใจสักนิดว่าฝ่าบาทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

“จงอดใจรอแล้วเธอจะเข้าใจทุกอย่างเอง”

ผมหัวเราะคิกคักไปพลางกลิ้งบนเตียงตัวเองเล่นไปพลาง

แต่ดูเหมือนว่าผมจะแกล้งเธอมากเกินไปหน่อยจนทำให้มีข้อความจากระบบเตือนเด้งขึ้นมา

[ค่าความชอบ แม่ค้า แลพิส แลซูลี ลดลง 1 แต้ม]

ให้ตายสิ คราวนี้ ค่าความชอบที่ แลพิส แลซูลี มีต่อผมก็ลดลงจนเหลือ 0 จนได้ มันก็เริ่มตกลงเรื่อย ๆ มาตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้วล่ะนะ แต่คราวนี้ก็ตกจนไม่มีเหลือแล้วจริง ๆ ดูท่าต่อจากนี้ไปเธอคงจะปฎิบัติต่อผมแย่กว่าคนที่ไม่รู้จักกันอีกล่ะมั้งเนี่ย

“ต้องขออภัยด้วย แต่เราผู้นี้คงต้องขอตัวก่อน เรายังเหลืองานเอกสารที่ต้องรีบสะสางของของบริษัทอีกมาก”

แลพิส แลซูลี หันหลังเดินจากผมไปด้วยท่าทางเย็นชา

“จริงสิ ลาล่า”

“คะ?”

“เอาไอ้นี่ไปด้วย”.

ผมโยนม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเธอ

แลพิส แลซูลีเองก็ใช้สองมือของเธอรับม้วนกระดาษนั้นเอาไว้

“……ฝ่าบาท นี่คือ?”

ผมขยิบตาด้วยท่าทางขี้เล่น

“เธอไม่จำเป็นต้องรีบกลับมาที่ปราสาทของข้าก็ได้ ลองไปยังสถานที่ที่อยู่ในกระดาษที่ข้าโยนให้แล้วคอยดูสถานการณ์ที่นั่นสิ เจ้าจะต้องได้พบกับเรื่องสนุกๆอย่างแน่นอน”

เธอมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังขา ก่อนที่จะเดินทางจากไป

กระดาษแผ่นนั้นคือกับดักชิ้นสุดท้ายที่ผมวางเอาไว้ กว่า แลพิส แลซูลี จะรู้สึกตัวถึงกับดักอันนี้ก็คงจะอีกสักพักหนึ่ง และผมเองก็กำลังรอคอยให้วันนั้นมาถึง

แม่ค้าแห่ง Keuncuska, พวกเลือดผสม, แลพิส แลซูลี

ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 27, เดือน 6

บ่อน้ำพุร้อนสำหรับการผ่อนคลาย ไซราคิวส์

“เฮ้อ”

ไม่รู้ว่านี่เราได้ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว

ขณะนี้ เราผู้มีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในเหล่าผู้บริหาร แลพิส แลซูลี กำลังอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนที่ประชาชนทั้งหลายจะสนุกสนานไปกับการอาบน้ำ โดยที่เบื้องหน้าของเราตอนนี้กำลังมีทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงที่กำลังเดินอวดเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเองอยู่ด้านหน้าของเรา

ถึงเราจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ แต่เราเองนั้นก็กำลังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าอยู่เช่นกัน มีผู้ชายหลายคนที่ทำเป็นเดินเล่นผ่านห้องโถงกลางแล้วมองตัวเราด้วยสายตาหยาบโลน ช่างเป็นสายตาที่น่ารังเกียจยิ่งนัก…… เราล่ะอยากจะควักดวงตาของเจ้าพวกนี้ทุกคนออกมาบดขยี้เสียจริง

แม้ว่าบ่อน้ำพุร้อนจะเป็นที่ ๆ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจก็เถอะ แต่มันก็สามารถถือเป็นพื้นที่อย่างว่าได้เหมือนกัน จะให้พูดก็คือ มันคือที่ ๆ คนจะมาออกเดทกันในสภาพเปลือยเปล่า

ผู้ชายและผู้หญิงจะพากันลงไปแช่น้ำพุร้อนแล้วก็เริ่มเกี้ยวพาราสีกัน ที่นี่มันก็เป็นอะไรแบบนั้นเอง แม้แต่ตอนนี้ เราก็ยังจะได้ยินเสียงดังครวญครางมาจากทางข้าง ๆ เราเลย…… ซึ่งตัวเราเองก็พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่หันไปมองทางด้านนั้น

“เฮ้ออ”

เราถอนหายใจอีกครั้ง

เหตุผลที่เรียบง่ายจนน่าตื่นตะลึงที่ทำให้เราต้องมาอยู่ที่ ไซราคิวส์ เมืองที่อยู่ทางใต้สุดของทวีปนี้ก็คือ คำพูดแปลก ๆ บนกระดาษของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนที่ส่งให้กับเรา

ราชอาณาจักรซาร์ดินเนีย เมืองไซราคิวส์ โรงอาบน้ำสำหรับประชาชน คลีนิค

จุดเริ่มต้น

ปวดตามข้อต่อ, มีไข้สูง, ผิวหนังกลายเป็นสีดำ

สำหรับหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อน หลังจากที่มองแว๊บแรกก็คงจะนึกว่าเป็นรหัสอะไรสักอย่าง

แต่ทว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนก็ได้พูดถึงเรื่องของโรคร้ายมาโดยตลอด ซึ่งเราก็เข้าใจผิดไปว่ามันเป็นคำพูดเหลวไหลเพ้อเจ้อของฝ่าบาทเท่านั้น แต่หลังจากที่เห็นกระดาษที่ฝ่าบาทได้ยื่นให้กับเราแล้ว ดูท่านี่คงจะไม่ใช่แค่การล้อเล่นธรรมดา…… นี่คงเป็นเพียงแค่มุกตลกสินะ? ใครก็ได้ ช่วยมาบอกเราทีเถอะว่านี่เป็นแค่การมุกตลกเฉย ๆ น่ะ

แต่ก็ย่อมไม่มีใครมาบอกเราเช่นนั้นอยู่แล้ว

“เฮ้ออ”

เราถอนหายใจออกไปเป็นครั้งที่สาม

ความจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ขึ้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ยากอะไรนัก แต่ถึงกับทำนายได้ว่ามันจะเกิดโรคร้ายขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่ได้งั้นหรือ? และนอกจากนี้ยังสามารถรู้ถึงยารักษาโรคร้ายที่ว่านั่นแล้วอีกด้วย? มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เสียที่ไหนล่ะ ดังนั้นก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เหล่าผู้บริหารจะทำเหมือนกับฝ่าบาทเป็นคนบ้า

แม้จะน้อยนิด แต่ในใจจริงของเราก็มีความหวังเล็ก ๆ อยู่

เราหวังว่า ฝ่าบาท ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนน่าสมเพช แต่หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตาย ก็ได้เปลี่ยนแปลงราวกับได้เกิดใหม่และกลายเป็นจอมมารที่สมกับเป็นจอมมาร…… มันคือเรื่องที่เหมือนกับนิทานชาวบ้านแบบนั้นแล ถึงแม้จะน้อยนิด แต่เราผู้นี้ก็เคยหวังเอาไว้เช่นนั้น

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็คือจอมมารลำดับที่ 71

หรือว่าบางทีความงี่เงานั้นมันจะเกินเยียวยาจริง ๆ

หลังจากที่ซื้อพืชพวกนั้นมาแล้ว ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้แต่อย่างเดียว วัน ๆ เอาแต่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงที่เพิ่งจะซื้อมาใหม่เหมือนกับเด็ก ๆ เท่านั้น เป็นอะไรที่น่าสมเพชจริง ๆ

“โอ้ ไงสาวน้อย เธอนี่ก็ดูสวยเหมือนกันนี่นา”

ใครสักคนที่ที่กำลังอาบน้ำอยู่เหมือนกับเราพยายามที่จะเข้ามาคุยด้วย

ตอนนี้เรากำลังใช้เวทมนตร์ปลอมแปลงให้ตัวเรากลายเป็นมนุษย์อยู่ ถึงจะบอกว่าเวทมนตร์ก็เถอะแต่ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าประทับใจแม้แต่น้อย เราก็เพียงแค่เปลี่ยนสีผมของเราให้กลายเป็นสีแดงเท่านั้น แม้ว่า ซัคคิวบิ จะเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจก็จริง แต่รูปร่างภายนอกเกือบทุกอย่างก็เหมือนกับมนุษย์อยู่แล้ว ที่เราใช้เวทมนตร์นี้ก็เพื่อที่จะปกปิดถึงฐานะของเราก็เท่านั้น

“ไปทำอย่างว่ากันในบ่อเดี่ยวไหม เดี๋ยวข้าจ่ายให้ 3 เหรียญเงิน…… อึ๋ยยย!?”

“……”

เราหันไปสบตากับผู้ชายคนนี้ชั่วขณะ

เขาคงจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นโสเภณีที่ทำงานอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนแห่งล่ะมั้ง เราจึงจ้องมองเขากลับไปด้วยสายตาเย็นชา และทันทีที่พวกเราสบตากันเขาก็ผงะไปข้างหลัง

มีคนเคยบอกว่าตัวเราจะมีจิตสังหารที่ไม่เหมือนใครซ่อนอยู่ภายในดวงตาของเรา มีคนไม่มากนักที่สามารถทนจ้องมองหน้าของเราตรง ๆ ได้ แต่พูดตามตรงแล้ว ตัวเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ว่ามานี้สักเท่าไหร่

“ขะ-ขอโทษ ข้าทักผิดคนน่ะ ขอให้สนุกนะ!

เขารีบวิ่งกลับออกไปยังห้องโถงทันที

โดยระหว่างที่วิ่งไปพุงที่สุดแสนจะเตะตานั่นก็กระเพื่อมอย่างรุนแรงตามไปด้วย น่าสมเพชจริง คิดจะซื้อตัวเราด้วยเงินจำนวนเพียงแค่ 3 เหรียญเงินด้วยร่างกายเช่นนั้นงั้นหรือ อย่างน้อย ๆ ก็ต้อง 10 เหรียญทองแล้ว ถ้าไม่ยอมจ่ายมากถึงขนาดนั้นล่ะก็ การแลกเปลี่ยนระหว่างเราก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้หรอก พวกผู้ชายทุกคนที่ไม่รู้จักพิจารณาดูรูปร่างภายนอกของตัวเองน่ะช่างทุเรศทุรังสิ้นดี

หลังจากนั้นเราก็ได้หันหน้าเดินไปยังคลีนิคของน้ำพุร้อนแห่งนี้ ที่นี่มีผู้ป่วยจำนวนมากมายที่เข้ามาทำการรักษาเพราะเชื่อในสรรพคุณต่าง ๆ ของน้ำพุร้อน ถ้าหากว่า โอกาสหนึ่งในล้านที่คำทำนายของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเกิดถูกขึ้นมาล่ะก็ จุดเริ่มต้นของโรคที่ว่านั่นก็คงเป็นที่นี่แหละ

“อ๊ะ มีอะไรให้พวกเราช่วยไหมครับ คุณหนู?”

พวกหมอของที่นี่ทำการต้อนรับเราเพราะเชื่อว่าเราคือลูกสาวของขุนนางจากที่ไหนสักแห่ง เชื่อว่าเราคือสาวน้อยบริสุทธิ์ผู้ไม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นไปในโลกที่มาขอทำงานเป็นอาสาสมัคร ใช่แล้ว เราเป็นคนใช้เวทมนตร์เสน่ห์และชักจูงหลอกให้เชื่อแบบนี้เอง

“พวกคนไข้เป็นยังไงบ้าง?”

“ส่วนมากก็เหมือนกับทุกที วัน ๆ เอาแต่ร้องครวญครางว่าเจ็บตรงนู้นตรงนี้ แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ ล่ะก็ พวกคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละครับ”

“เราอยากจะขอพบกับคนไข้คนล่าสุดหน่อย”

“เมื่อวานมีผู้ชายที่ถูกพาเข้ามารักษาอยู่ครับ แต่ว่าผมไม่ค่อยแนะนำให้คุณหนูไปพบกับเขาสักเท่าไหร่”

“มีเหตุผลอะไรงั้นหรือ?”

“ครับ อาการแกล้งป่วยของเจ้าหมอนี่มันหนักเอาการ บ่นว่าเจ็บรักแร้บ้างล่ะ ง่ามขาเหมือนจะขาดออกจากกันบ้างล่ะ แล้วก็ยังมีนู่นนี่อีก บ่นโวยวายกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง รับรองว่าคุณหนูจะต้องรู้สึกรังเกียจขึ้นมาแน่ ๆ “

“……”

ปวดตามข้อต่อ

“……ไม่หรอก ไม่เป็นไร ถ้าเขาเป็นคนไข้ล่ะก็ ตอนนี้เราก็อยากจะเชื่อในตัวของเขาก่อน ให้เราพบกับเขาก่อนได้ไหม”

“เฮ้อ ช่างเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะครับ ถึงคนอย่างข้าจะเป็นเพียงแค่หมอกิ๊กก๊อกก็เถอะ แต่ข้าเองก็ไม่ได้เจอใครที่เต็มไปด้วยความจริงใจแบบคุณหนูมานานแล้ว”

จากนั้นหมอที่กำลังรู้สึกปลาบปลื้มสุด ๆ อยู่ก็ได้นำทางเราไปยังห้องผู้ป่วย และทันทีที่พวกเราเปิดประตูเข้าไป คนไข้ที่อยู่ด้านในสุดก็เริ่มร้องตะโกนโวยวายทันที

“อาาา ข้ากำลังจะตายแล้ว! พ่อค้าแห่งดินแดนไซราคิวส์อันยิ่งใหญ่กำลังจะต้องตายเพราะเจ้าหมอเก๊นี่! ผู้คนในเมืองนี้เอ๋ย! ใครก็ได้ช่วยกระทืบเจ้าหมอเก๊คนนี้ให้ข้าทีเถอะ!”

“เฮอะ ร้องเหมือนกับหมูช่วงติดสัดไม่มีผิด”

หมอถอนหายใจออกมา

ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เตือนเราเกี่ยวกับการมาเยี่ยมดูผู้ป่วยรายนี้ หมอชำเลืองมามองทางเราก่อนแว๊บหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาคนไข้

“คราวนี้มีปัญหาอะไรอีกล่ะ พยายามร้องโวยวายเพื่อให้ตัวเองดูเหมือนกับคนเป็นลมบ้าหมูหรือยังไง?”

“ปัญหา? ข้ามีปัญหาอะไรงั้นหรือ? เอาล่ะ ข้าจะอธิบายให้แกฟังอีกครั้ง คราวฟังให้มันฝังเข้าไปในหูของเจ้าเลยนะ อย่างแรกเลยคือเตียงของที่นี่มันแข็งเสียจนใกล้จะทำให้กระดูกสันหลังของข้ามันบี้แบน อย่างที่สอง ข้าไม่แน่ใจว่าไอ้ขนมปังที่คนรับใช้ของที่นี่เอามาให้ข้ากินนี่มันขนมปังหรือก้อนหินกันแน่ แต่มันแข็งเสียจนแทบจะทำให้ฟันของข้ามันจะหักอยู่รอมร่อ และอย่างที่สามก็คือ ไอ้หมอที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของข้ามันกำลังทำให้ชีวิตข้ามันดูน่าสังเวชด้วยการถอนหายใจทุกครั้งที่มันมาเจอหน้าข้าน่ะสิ”

“ไอ้บ้าเอ้ย แกต่างหากที่กำลังทำให้ชีวิตของข้าดูน่าสังเวช”

“อ๋อ งั้นเหรอ? ดี ๆ งั้นก็แสดงว่าพวกเราได้มาถึงจุดที่ต่างคนต่างก็ทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายมันน่าสังเวชแล้วสินะ แบบนี้ก็เหมือนกับภรรยาของข้าเลย ข้าจะบอกให้ว่าตัวข้ากับเมียของข้าต่างก็ไม่กินเส้นกันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ก็ถึงขั้นที่ว่าต่างฝ่ายต่างก็คิดแต่จะทำลายชีวิตของอีกฝ่ายอย่างเดียวเท่านั้นแล้วด้วย เฮ้ย ไอ้เพื่อนยาก ถ้าแกไม่ได้กำลังวางแผนคิดจะเป็นภรรยาคนที่สองของข้าแล้วล่ะก็ งั้นก็เลิกบ้าซะ! รีบ ๆ ทำตัวให้สมกับเป็นหมอแล้วรักษาข้าให้หายเสียที!

“บัดซบ คนอย่างแกนี่มันอยู่ไปก็รกโลกจริง ๆ ”

ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก

หมายความว่าพวกเขาสนิทกันมากพอที่จะตะโกนด่ากันซึ่ง ๆ หน้าโดยที่ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น

ภาพของสองคนนี้ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเรานั้นมันเป็นอะไรที่แปลกมากสำหรับเรา หรือสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพนั้นมันจะมีอยู่จริงกันนะ?

โดยทั่วไปแล้ว คนทั่วไปต่างก็ชื่นชมว่ามิตรภาพคือสิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป แต่มันเป็นอะไรที่ฟังดูแล้วน่าสงสัยสำหรับเรา เพราะไม่ว่าเมื่อไร่ก็ตาม หากมีประโยคไหนที่มีคำว่า ‘ตลอดไป’ รวมอยู่ในประโยคแล้ว สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือตั้งข้อสงสัยกับมันขึ้นมาทันที ซึ่งตัวเราเองนั้นคิดว่านี่เป็นนิสัยที่ดีอย่างหนึ่ง

เพราะในโลกนี้มันมีเพียงพวกที่หักหลังกับพวกที่มีโอกาสที่จะหักหลังเท่านั้นเอง ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของเราแล้ว มิตรภาพนั้นก็แค่หมายถึงคนที่ยังไม่ได้ทรยศหักหลังเราก็เท่านั้นเอง

“ขอโทษนะครับ คุณหนู”

อยู่ ๆ หมอก็หันมาขอโทษเรา

“ผู้ชายคนนี้มักจะปากเสียแบบนี้อยู่เสมอล่ะครับ ให้คิดซะว่ามันเป็นผลมาจากการด้อยโอกาสทางการศึกษาแล้วก็ช่วยทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน”

“เราไม่เป็นไร ได้โปรดทำการตรวจร่างกายต่อไปเถอะค่ะ”

“ได้ครับ”

หมอวางมือลงบนหน้าผากของคนไข้

“มีตรงนี้กับตรงนี้ที่ตัวร้อนขึ้นมาจริง ๆ แต่ไม่ว่าข้าจะดูยังไง ก็เห็นว่ามันเป็นแค่ไข้หวัดฤดูร้อนเท่านั้นเอง เดี๋ยวข้าจะจ่ายยาบางตัวให้ก็แล้วกัน ถ้ารู้สึกแย่ขึ้นมาล่ะก็ให้กินยาที่ข้าจ่ายให้ซะ นอกจากนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

“……”

มีไข้สูง

ความรู้สึกไม่อยากเชื่อได้ปรากฎขึ้นมาในใจของเราชั่วขณะ

……มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เราก็เพียงแค่คิดมากเกินไปแค่นั้นเอง อาการปวดตามข้อต่อกับมีไข้ มันเป็นอาการของโรคที่พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว จะคิดว่านี่เป็นสัญญาณของโรคร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้หรอก

“เฮอะ แกคิดเหรอว่าข้าจะเชื่อคำพูดของหมอเก๊อย่างแก?”

“ถ้าแกยังไม่เลิกเรียกข้าว่าหมอเก๊ล่ะก็ เดี๋ยวข้าจะจ่ายยาพิษให้แกแทน รู้มั้ยว่าถ้าขืนแกยังพูดว่าข้าเป็นหมอเก๊ไม่หยุดล่ะก็ แกจะทำให้ชื่อเสียงของข้ามันย่อยยับถึงขนาดไหน เจ้าตัวบัดซบเอ๊ย นี่แกคิดจะทำลายธุรกิจของเพื่อนสมัยเด็กไปแบบนี้รึยังไงกัน?”

“มันเจ็บแทบตายจริง ๆ นะ! นี่ ดูตรงนี้สิ”

อยู่ ๆ คนไข้ก็ถอดเสื้อของตัวเองออก

หมอรู้สึกตกใจแล้วหันเลิกลั่กมามองทางเรา แต่เราก็ยังคงยืนอย่างสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม เรานั้นไม่ได้สนใจร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายเลยสักนิด และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ สายตาของเรามันถูกบางสิ่งบางอย่างดึงดูดไปเป็นมี่เรียบร้อยแล้ว

ตรงหน้าอกด้านขวาของคนไข้

ที่ตรงนั้นมีจุดสีดำขนาดเท่ากับนิ้วโป้งอยู่

“…………”

ตัวเรานั้นแข็งทื่อไปทั้งตัว

เหมือนกับคนที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน

“อ้าว ไอ้นี่มันอะไรล่ะเนี่ย?”

“ถ้านี่เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ๆ ล่ะก็ มันก็ไม่น่าจะมีไอ้รอยแบบนี้โผล่ออกมาสิ”

“เอ่อ ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ……”

ทั้งสองคนไม่สังเหตุเห็นถึงอารมณ์ของเราที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน

ทั้งหมอและคนไข้ต่างก็ยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับอีกฝ่าย

“แปลกจริง นี่แกไปติดโรคร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่มาจากใครที่ไหนหรือเปล่า?”

“นั่นเป็นเรื่องที่หมออย่างแกควรจะรู้สิ ไม่ใช่พ่อค้าอย่างข้าเจ้าหมอเก๊เอ้ย ถ้าแกยังไม่อยากเปลี่ยนอาชีพเป็นสัปเหร่อล่ะก็ รีบ ๆ รักษาข้าให้หายได้แล้ว ถ้าเกิดพรุ่งนี้ข้าเกิดตายไปจริง ๆ แกก็ไม่ต้องมาต้องคอยเป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงของแกแล้วล่ะ เพราะชีวิตการเป็นหมอของแกมันก็จะจบสิ้นไปกับชีวิตของข้าด้วย”

“เฮอะ หยุดพูดอะไรที่มันน่ารำคาญแบบนั้นได้แล้ว เจ้าบื้อนี่”

ผิวหนังกลายเป็นสีดำ

“……เราเพิ่งนึกได้ว่าเรายังมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีก วันนี้เราคงต้องขอตัวเพียงแค่นี้”

“อ้าว? อ๋อ ครับไม่มีปัญหา ขอให้ปลอดภัยนะครับ”

เรารีบก้าวเดินออกมาจากแผนกผู้ป่วยทันที

เราไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวอำลาอย่างถูกต้องเสียด้วยซ้ำ

สถานการณ์ในตอนนี้

เราไม่อาจทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้

ข้างในหัวของเรามันวุ่นวายสับสนไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่คงจะไม่ได้บอกเราว่ากำลังจะมีโรคร้ายระบาดเกิดขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม? แล้วมันยังจะเป็นไปตามที่จอมมารดันทาเลี่ยนได้ทำนายเอาไว้อีกด้วยงั้นหรือ?

เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ความสามารถในการมองเห็นอนาคตล่วงหน้านั้นมันเป็นความสามารถที่จะมีเพียงแค่ไม่กี่คนในหมู่นักบุญซึ่งก็มีแค่ไม่กี่คนอยู่แล้วเท่านั้นนอกจากนี้ คำทำนาย ที่ได้รับการยอมรับว่าได้กลายเป็นเรื่องจริงที่ปรากฎออกมาครั้งสุดท้ายก็คือเมื่อ 210 ปีที่แล้ว ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนไม่มีทางที่จะมีความสามารถอะไรเช่นนี้อย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุด มันก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่ว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?

……เราต้องทำใจให้สงบนิ่งไว้ มันยังเร็วไปที่จะด่วนสรุปว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ตอนนี้ยังมีแค่คนไข้ที่มีอาการแบบนี้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นเอง บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่มีคนไข้ที่มีอาการตรงกับเรื่องเหลวไหลที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนพูดออกมาอยู่ที่นี่ก็ได้ เราต้องไปตรวจสอบกับหมอคนอื่นในเมืองไซราคิวส์ให้ดีก่อน

อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมี 2 คน ไม่สิต้องมีอย่างน้อย 4 คนที่มีอาการแบบเดียวกันก่อนที่จะตัดสินได้ว่ามันคือโรคร้าย เราจะต้องไม่ตื่นตระหนก ไอ้พวกคำทำนายอะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันที่ปรากฎออกมาให้เห็นในหนังสือนิทานเท่านั้นเอง ไอ้ของพวกนี้มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ง่าย ๆ ในชีวิตจริงอยู่แล้ว

‘แต่ ถ้าหากว่าที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนพูดเป็นความจริงขึ้นมาล่ะก็……’

เพียงแค่คิดคร่าว ๆ เท่านั้น

เพียงแค่เราคิดคร่าว ๆ แป๊ปเดียวแผ่นหลังของเรามันก็เย็นเฉียบไปหมด

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน อ้างว่าวัชพืชชนิดหนึ่งสามารถรักษาโรคร้ายนี้ได้ และก็ซื้อวัชพืชที่ว่านี้มาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าราคาของพืชที่ว่าในตอนนี้มันต่ำเสียยิ่งกว่าอะไรดี เงินเกือบทั้งหมดถูกใช้ไปกับค่าแรงจนเกลี้ยง แต่ถึงกระะนั้นแล้ว จำนวนของพืชชนิดนี้ที่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนซื้อมาได้นั้น……

ก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 30,000

ถ้าพืชพวกนี้เป็นยารักษาจริง ๆ ล่ะก็ ต่อให้ราคาจะตกต่ำขนาดไหนก็ตาม ราคาขายของมันอย่างน้อย ๆ ก็จะอยู่ที่ต้นละ 2 เหรียญทอง และนั่นก็แปลว่าฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจะมีเงินทั้งหมดมากว่า 60,000 เหรียญทอง ซึ่งเงินจำนวนนี้ เป็นจำนวนเงินที่มากกว่าเงินที่ฝ่าบาทยืมมาในตอนแรกหลายเท่า

ไม่สิ นี่คือสถานการณ์ที่สมมุติว่าเป็นรายได้ขั้นต่ำสุด ถ้าหากว่าโรคนี้มันระบาดไปทั่วทั้งทวีปล่ะก็ ราคาของมันก็อาจจะขึ้นไปถึง 5 เหรียญทอง…… และยิ่งถ้าโรคนี้มันไม่ใช่โรคธรรมดาด้วยล่ะก็ มันจะต้องเกิดความสับสนอลหม่านอย่างทีไม่อาจคาดเดาได้ตามมาอย่างแน่นอน

ไม่มีใครในบริษัทเลยสักคนที่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ มันคือความผิดพลาดที่ยิ่งกว่าความผิดพลาดใด ๆ บริษัทจะต้องหาใครสักคนมารับผิดชอบกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน และแพะรับบาปที่ว่านั้นก็คงจะเป็นเรา

ทั้งเป้าหมายของเราที่จะกลายเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ Keuncuska

ทั้งสัญญาที่จะแต่งตั้งให้เราเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ทั้งหมดของโดลสเตท

ทั้งหมดนี้ก็จะมลายหายไปเหมือนกับฟองสบู่

“……”

เราค่อย ๆ กัดริมฝีปากของตัวเอง

เราที่เกิดมาในตรอกด้านหลังถนน เราที่ใช้ชีวิตด้วยการคุ้ยหาเศษอาหารจากท่อระบายน้ำและกองขยะ เราที่เพิ่งจะเริ่มคว้าจับโอกาสที่จะหนีออกไปจากนรกแห่งนี้ไปได้ เราจะไม่ยอมให้ทั้งหมดนี้สูญสลายไปทั้งหมดเด็ดขาด

เราเคยหวังว่าจอมมารดันทาเลี่ยนจะตื่นขึ้นมากลายเป็นจอมมารที่สมกับเป็นจอมมารก็จริง แต่ก็เพียงเพื่อประโยชน์ของความก้าวหน้าและความสำเร็จของตัวเราเองเท่านั้น และนั่นทำให้เราไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

เท้าของเรามันเดินเร็วขึ้นเองโดยที่เราไม่รู้ตัว

ในวันนั้นวันเดียว เราได้เดินไปพบกับหมอทุกคนในเมืองไซราคิวส์ เรานั้นรีบร้อนเสียจนไม่อาจใช้วิธีการอื่นอีกนอกจากถามหาผู้ป่วยที่มีอาการตรงกับข้อมูลที่เราได้มาไปตรง ๆ

มีไข้สูง

อาการเจ็บแพร่กระจายจากข้อต่อส่วนต่าง ๆ

และผิวหนังกลายเป็นสีดำ

“……”

เรายืนอยู่ที่ตรงลานกว้างใจกลางเมืองและจ้องมองกระดาษที่ฝ่าบาทส่งมาให้ในมือของเราอยู่เป็นเวลานาน

คลีนิค 16 แห่งในเมือง ไซราคิวส์

มีคนไข้ 29 คนที่มีอาการคล้ายคลึงกับที่ว่ามา

วันต่อมาคนไข้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 56 คน

คนไข้ 25 คนได้บ่นเรื่องที่รู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงก่อนจะตายไป

อีก 10 วันต่อมา คนไข้ทุกคนในบ่อน้ำพุร้อนที่เราเคยแวะไปก่อนหน้านี้ได้เสียชีวิตทั้งหมด และอีกครึ่งเดือนให้หลัง ทั่วทั้งเมืองก็ตกอยู่ภายใต้เสียงร้องโหยหวนจากความเจ็บปวด

คำทำนายของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนนั้นถูกต้อง

นี่คือโรคระบาด

และโรคระบาดที่ว่านั้นก็กำลังจะแผลงฤทธิ์แล้ว