ตอนที่ 110 ความกังวลขององค์หญิงใหญ่

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 110 ความกังวลขององค์หญิงใหญ่

และในเวลานี้เอง เซียวเทียนเจิ้นที่ใบหน้าขยับเขยื้อนก็ตื่นจากนิทราแล้วเช่นกัน เขาขยับมือเล็กน้อย สังเกตเห็นว่ามีคนจับชีพจรให้ตนอยู่ สายตาเคลื่อนจากใบหน้ามารดาไปที่ใบหน้าของหนิวโหย่วเต้า จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “ข้าอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “ยังไม่ตายหรอก!”

คำพูดนี้เป็นเพียงคำปลอบใจเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ถึงไม่บอกก็คงจะเดาได้ว่าไม่ดีแน่ แต่เขาก็ไม่สามารถบอกอีกฝ่ายตรงๆ ว่าชีวิตเจ้าไม่ยืนยาวหรอกได้เช่นกัน

“จริงหรือ?” เซียวเทียนเจิ้นไล่ถาม

น้ำเสียงที่ฟังดูผ่อนคลายของหนิวโหย่วเต้าทำให้ดวงตาของไห่หรูเยวี่ยเต็มไปด้วยความหวังด้วยเช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพลางพยักหน้าให้เซียวเทียนเจิ้น ชักนิ้วออกจากชีพจรของอีกฝ่าย

ใบหน้าเขามีรอยยิ้มเจืออยู่เล็กน้อย แต่อารมณ์กลับค่อนข้างหนักอึ้ง มิใช่เพราะเรื่องอื่นใด แต่เพียงเพราะเห็นใจหนุ่มน้อยที่นอนป่วยอยู่บนเตียง สงสารที่เด็กคนนี้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงขนาดนี้

เขามาที่นี่เพื่อช่วยเรื่องยึดครองจังหวัดชิงซานของซางเฉาจง มิใช่มาเพื่อรักษาอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้น เขาพอจะเป็นวิชาแพทย์แผนจีนและวิธีการรักษาแบบแผนตะวันตกอยู่บ้าง ในชีวิตที่แล้วเขาถึงขั้นที่เก่งกาจกว่าแพทย์แผนจีนทั่วไปด้วยซ้ำ จัดใบสั่งยาบางอย่างที่กระทั่งแพทย์แผนจีนทั่วไปไม่รู้จักได้ ทว่าเขาไม่ใช่หมอมืออาชีพ มีความรู้จำกัด

แน่นอนว่าเขาเองก็หวังว่าตนจะสามารถรักษาอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นได้ แบบนั้นเขาถึงจะมีความมั่นใจในการควบคุมสถานการณ์ในอนาคตมากขึ้นอีกหน่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาวินิจฉัยไม่ออกด้วยซ้ำว่าเซียวเทียนเจิ้นป่วยเป็นโรคอะไร อย่างน้อยคนอื่นๆ ก็ยังวินิจฉัยได้ว่าเป็น ‘หยินกลืนชีพจร’ ส่วนเขาทำได้เพียงตรวจพบอาการเท่านั้น ไม่เข้าใจแม้กระทั่งสาเหตุของอาการด้วยซ้ำ

เมื่อดึงปราณหยางออกมาจากเส้นลมปราณของเซียวเทียนเจิ้น เขาก็สังเกตเห็นแล้ว เห็นๆ อยู่ว่ากำจัดความเย็นออกไปจากเส้นลมปราณในร่างของเซียวเทียนเจิ้นแล้ว แต่พอดึงปราณหยางกลับมา ความเย็นในเส้นลมปราณของเซียวเทียนเจิ้นก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนอีก เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะแผ่ลามไปทั่วร่างอีกครั้ง

เป็นโรคที่ประหลาดจริงๆ! หนิวโหย่วเต้าไม่พบต้นสายปลายเหตุอันใดเลย ย่อมไม่มีหนทางรักษาด้วยเช่นกัน

เมื่อเก็บมือเซียวเทียนเจิ้นกลับเข้าไปในผ้าห่มแล้ว หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก

ไห่หรูเยวี่ยลุกตามไปทันที จูซุ่นรีบโบกมือบอกให้คนใช้เข้ามาดูแลเซียวเทียนเจิ้นต่อ

หลังจากทั้งกลุ่มเดินออกมานอกห้องแล้ว จูซุ่นถามว่า “ฝ่าซือฝึกวิชาธาตุหยางหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”

จูซุ่นอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเหลือนายน้อย ทางเราเคยเชิญผู้ฝึกวิชาธาตุหยางมาแล้ว ท่าทีของนายน้อยในตอนที่ทำการรักษาคล้ายคลึงกับเมื่อครู่นี้”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้คำหนึ่ง ทว่าไม่ได้ตอบว่าวิชาที่ตนฝึกบำเพ็ญเพียรใช่วิชาธาตุหยางหรือไม่

เมื่อทั้งกลุ่มกลับมาถึงโถงรับแขก ในที่สุดไห่หรูเยวี่ยก็อดใจไม่ไหว รีบซักถามว่า “ฝ่าซือ ผลการตรวจเป็นอย่างไรบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้าได้แต่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “อาการป่วยของบุตรชายพระองค์ประหลาดยิ่ง ตอนนี้กระหม่อมยังไม่มีวิธีรักษาเขาพ่ะย่ะค่ะ”

พอเขาเอ่ยเช่นนี้ หยวนฟางอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา โอดครวญอยู่ในใจ เต้าเหยี่ยหนอเต้าเหยี่ย นี่ท่านทำอะไรลงไป เดี๋ยวก็ตายหรอก!

เป็นไปอย่างคิดไว้ สีหน้าของจูซุ่นคร่ำเคร่งลงทันที จ้องมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเย็นชา

สีหน้าไห่หรูเยวี่ยเยียบเย็นลงในทันใด ถามเขาว่า “หนิวโหย่วเต้า เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงใหญ่พระทัยร้อนเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา ไม่ได้บอกว่าไม่มีทางรักษา ตอนนี้สิ่งที่กระหม่อมอยากทราบคือผลตะวันชาดสามารถรักษาบุตรชายของพระองค์ได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ไห่หรูเยวี่ยชะงักไปเล็กน้อย จ้องมองหนิวโหย่วเต้าอย่างแค้นใจอยู่บ้าง พบว่าคนผู้นี้พูดจากลับไปกลับมา นี่มันยั่วโมโหกันชัดๆ พูดให้จบในทีเดียวมันจะตายหรืออย่างไร? ทำให้คนเขาโมโหอยากระบายก็ทำไม่ได้ จะไม่ระบายก็ไม่ได้เช่นกัน ไม่สามารถทำอะไรเขาตรงๆ ได้ อึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!

จูซุ่นที่อยู่ด้านข้างเป็นฝ่ายตอบ “น่าจะไม่ผิดแน่ เราเคยเชิญยอดฝีมือมากมายมาตรวจอาการแล้ว ทุกคนล้วนบอกว่าผลตะวันชาดสามารถรักษาอาการ ‘หยินกลืนชีพจร’ ของนายน้อยได้ ประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมานเคยมาตรวจอาการด้วยตัวเอง เขาก็เอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน ไม่มีทางผิดพลาดแน่!”

วังสวรรค์หมื่นวิมานที่เอ่ยถึงก็คือสำนักบำเพ็ญเพียรที่คอยหนุนหลังมณฑลจินโจว แล้วก็เป็นสำนักบำเพ็ญเพียรที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของแคว้นจ้าวด้วย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงกระหม่อมนำผลตะวันชาดมาให้องค์หญิงใหญ่ได้ ก็ถือว่ากระหม่อมได้ทำเรื่องที่รับปากเอาไว้สำเร็จเรียบร้อย ส่วนจะรักษาหายหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับกระหม่อมอีก เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

พอได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ มันก็ทำให้อีกฝ่ายอดมีความหวังขึ้นมาอีกไม่ได้!

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ถูกต้อง ขอเพียงเจ้าหาผลตะวันชาดมาได้ ข้าจะถือว่าเจ้าทำตามสัญญาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอื่น แล้วข้าจะรีบส่งทหารไปสนับสนุนซางเฉาจงทันที!”

“นี่มิใช่เรื่องที่จะพูดให้ชัดเจนได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค พวกเรานั่งลงแล้วค่อยๆ หารือกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าพลันผายมือแล้วเปลี่ยนประเด็น

ไห่หรูเยวี่ยอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขายิ่งนัก ยึกยักมาตั้งนานโดยไม่ได้ข้อสรุป แล้วยังคิดจะนั่งอีกหรือ ข้าจะรอดูว่าอีกเดี๋ยวศีรษะเจ้าจะไปวางอยู่ที่ไหน!

ต้องทราบก่อนว่าหนิวโหย่วเต้าสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ต่อให้นางสังหารอีกฝ่ายก็นับว่าเป็นการจัดการตามกฎหมาย คาดว่าคงไม่มีใครว่าอะไรได้เช่นกัน

แต่สุดท้ายนางก็ยอมระงับโทสะในใจเอาไว้ชั่วคราว ผายมือสื่อว่าเชิญนั่ง ส่วนตนก็เดินไปยังตำแหน่งประธาน จัดกระโปรงเล็กน้อยแล้วนั่งลงไป

จูซุ่นร้องสั่งการด้านนอกคราหนึ่ง ให้คนยกน้ำชาเข้ามา

สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างหนิวโหย่วเต้า หยวนฟางและฟางเจ๋อต่างอดสั่นขวัญผวา ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมีท่าทางสงบนิ่ง หาได้มีความตระหนกลนลานไม่ ค่อยๆ ยกชาขึ้นจิบ จากนั้นวางถ้วยชาลงช้าๆ แล้วจึงเอ่ยถามว่า “องค์หญิงใหญ่ ไม่ทราบว่าพระองค์เคยนึกถึงผลลัพธ์ในกรณีที่ผลตะวันชาดรักษาบุตรชายของพระองค์ไม่ได้บ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยเสียงเยียบเย็น “นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าต้องสนใจ เจ้าแค่นำผลตะวันชาดมาให้ข้าก็พอ!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความใจเย็น “หากผลตะวันชาดรักษาไม่หายล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าหวังให้บุตรชายข้าสิ้นใจในเร็ววันอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “องค์หญิงใหญ่ตรัสหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและบุตรชายของพระองค์ไม่มีความแค้นต่อกัน กระหม่อมมิได้ไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้ เพียงแต่พูดคุยถึงเหตุและผลด้วยความใจเย็นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่หรูเยวี่ยตอบโต้ว่า “ข้าไม่ต้องการฟังเหตุผลของเจ้า เจ้าคิดจะเสกสรรถ้อยคำอันใดมาบอกปัดเรื่องผลตะวันชาดให้พ้นตัวอีกกระมัง? ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ ข้ายอมอ่อนข้อให้เจ้าหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมเจ้าอีกแน่ หากหามาให้ไม่ได้ ข้าจะจัดการเจ้าเอง ไม่ต้องให้ถึงมือตระกูลซ่งหรอก!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างสุขุมหนักแน่น “ในเมื่อกระหม่อมรับปากองค์หญิงใหญ่ไว้แล้ว ย่อมไม่ผิดคำพูดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยรับปากแล้วว่าหากรักษาบุตรชายพระองค์ไม่ได้ กระหม่อมก็จะไปเสาะหาผลตะวันชาดมาให้ กระหม่อมย่อมทำตามที่รับปากแน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้กระหม่อมเคยกล่าวไว้ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมก็จะทำตามที่พูดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งสองเรื่องนี้ กระหม่อมจะจัดการให้องค์หญิงใหญ่ไปพร้อมกันเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่หรูเยวี่ยงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นถึงจะนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าเคยพูดอะไรทำนองว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้นางจริงๆ แต่เท่าที่ฟังในยามนั้น มันก็หมายถึงเรื่องรักษาอาการป่วยให้บุตรชายมิใช่หรือ? ยามนี้ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องสองเรื่อง แถมยังอวดอ้างใหญ่โตบอกว่าจะจัดการให้นางไปพร้อมกัน แล้วอีกเรื่องเป็นเรื่องใดกันเล่า?

นางมองไปทางจูซุ่นที่มีท่าทางสงสัยเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าจูซุ่นเองก็ไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าเอ่ยถึงเรื่องใดอยู่ นางจึงทำได้เพียงตอบกลับไปว่า “ความกังวลของข้าก็มีเพียงอาการป่วยของบุตรชายข้า ขอเพียงบุตรชายข้าหายดี ทุกอย่างย่อมคลี่คลายเอง!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามว่า “หากอ้างอิงตามความหมายขององค์หญิงใหญ่ ปมปัญหาในตอนนี้ยังคงอยู่ที่ผลตะวันชาดกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”

ไห่หรูเยวี่ยย้อนถาม “แล้วมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “องค์หญิงใหญ่แน่ใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะว่าผลตะวันชาดจะรักษาบุตรชายของพระองค์ได้แน่นอน? หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดรักษาไม่หายขึ้นมาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจูซุ่น เอ่ยพร้อมหันหน้ามองจูซุ่นว่า “เกรงว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานคงจะคัดเลือกคนมารับช่วงปกครองมณฑลจินโจวต่อกระมัง? องค์หญิงใหญ่เร่งร้อนรักษาอาการของผู้ว่าการมณฑลน้อย มิใช่เพราะสาเหตุในด้านนี้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

จากนั้นเดินกลับมาหาไห่หรูเยวี่ยอีกครั้ง เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “เท่าที่กระหม่อมทราบมา หลังจากเซียวหวงสิ้นชีพ เซียวเปี๋ยซานอ่อนแอ ไม่เหมาะจะดูแลปกครองมณฑลจินโจวอีกต่อไป วังสวรรค์หมื่นวิมานเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายในมณฑลจินโจว จึงเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนผู้ดูแลมณฑล แต่ภายหลังเป็นเพราะพระปรีชาสามารถขององค์หญิงใหญ่ที่ช่วยเกื้อหนุนท่านราชบุตรเขยไว้ ประกอบกับวังสวรรค์หมื่นวิมานเห็นแก่ที่ตระกูลเซียวทำงานรับใช้มานานถึงเพียงนี้ หักหาญน้ำใจผู้ใต้บังคับบัญชาไปก็คงไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้”

เขาหยุดตรงหน้าไห่หรูเยวี่ย มองสีหน้าที่คร่ำเคร่งขึ้นมาของไห่หรูเยวี่ย เอ่ยต่อว่า “หลังจากเซียวเปี๋ยซานลาโลกไป บุตรชายอายุยังน้อยและอ่อนแอ อาการย่ำแย่ยิ่งกว่าเซียวเปี๋ยซาน วังสวรรค์หมื่นวิมานคล้ายจะเกิดความคิดอยากเปลี่ยนตัวผู้ปกครองมณฑลขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนเบื้องล่างก็มีคนที่คอยติดต่อกับทางวังสวรรค์หมื่นวิมาน ต้องการเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลแทน แต่องค์หญิงใหญ่ก็ใช้วิธีการอันรุนแรงเข้ากวาดล้างได้ทันเวลา ถึงได้ทำให้เรื่องนี้เงียบลงไปได้อีกครั้ง”

“หากผลลัพธ์จากการรักษาด้วยผลตะวันชาดเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้น หากสิ้นทั้งนามของตระกูลเซียวและอำนาจบารมีที่ตระกูลเซียวสั่งสมไว้ในมณฑลจินโจวมาเป็นเวลานานหลายปีไป องค์หญิงใหญ่จะกดหัวคนที่อยู่เบื้องล่างที่คิดทะเยอทะยานเหล่านั้นไปได้อีกนานแค่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? จะใช้กำลังเข้าปราบปรามมณฑลจินโจวซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? มณฑลจินโจวที่สั่นคลอนไม่มั่นคงมิใช่สิ่งที่วังสวรรค์หมื่นวิมานอยากเห็นแน่นอน! ประกอบกับไม่มีสายสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างตระกูลเซียวกับวังสวรรค์หมื่นวิมานแล้ว หากคิดจะตัดขาดย่อมสะบั้นได้อย่างไร้เยื่อใยเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นองค์หญิงใหญ่ควรทำอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ? นี่มิใช่ปัญหาที่กำลังมาจ่ออยู่ตรงหน้าองค์หญิงใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

พอพูดเรื่องเหล่านี้จบ หนิวโหย่วเต้าก็กลับไปนั่งที่เดิม

หลังจากหนิวโหย่วเต้ามาถึงมณฑลจินโจวแล้ว เรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาสั่งการให้ฟางเจ๋อบอกเล่าออกมาอย่างละเอียด

คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้จิตใจของไห่หรูเยวี่ยหนักอึ้งไปหมด แต่นางกลับยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยมากมายเสียจริง ข้าเป็นถึงองค์หญิงแคว้นจ้าว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือเสด็จพี่ของข้า ไทเฮาองค์ปัจจุบันคือพระมารดาของข้า ถ้าไม่อยากอยู่ที่มณฑลจินโจว ข้าก็กลับเมืองหลวงได้ ยังต้องทุกข์ร้อนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่อีกหรือ?”

“เช่นนั้นองค์หญิงใหญ่จะทนลำบากลำบนดันทุรังอยู่ที่นี่ไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงไม่ละทิ้งที่แห่งนี้แล้วพาบุตรชายของพระองค์กลับไปเสพสุขกับทรัพย์สินเกียรติยศที่เมืองหลวงล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบโต้กลับไปเพียงประโยคเดียว จากนั้นยกถ้วยชาขึ้นมา ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยต่อว่า “กรณีนี้ยังไม่ได้พูดถึงเลยว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานจะยอมให้องค์หญิงใหญ่จากไปพร้อมกับความลับของที่นี่หรือไม่ มณฑลจินโจวแข็งข้อต่อราชสำนักมาเป็นเวลานานหลายปี ไม่รู้ว่าล่วงเกินราชวงศ์และผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงไปมากน้อยเพียงใด! หากกลับไปยังเมืองหลวง ที่ว่าไม่ต้องทุกข์ร้อนเรื่องความเป็นอยู่นั้นกระหม่อมเชื่อพ่ะย่ะค่ะ แต่คนที่เคยตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับราชสำนักมานานหลายปีกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียวได้โดยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเลย องค์หญิงคิดว่าเป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์ฮ่องเต้จะช่วยได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เรื่องราวเกี่ยวพันถึงมณฑลจินโจว เป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะที่จะไม่ไต่สวนองค์หญิงให้แจ่มแจ้งชัดเจน จะเป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะที่จะไม่บังคับให้องค์หญิงบอกเล่าทุกอย่างออกมา? เรื่องราวเกี่ยวพันถึงแว่นแคว้น ไทเฮาจะใช้มือเดียวปิดแผ่นฟ้าได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์หญิงใหญ่เติบโตขึ้นมาในวังหลวง คาดว่าคงรู้จักนิสัยใจคอของคนบางจำพวกดีกว่ากระหม่อม องค์หญิงใหญ่กล้ากลับไปหรือพ่ะย่ะค่ะ? อยู่ที่เมืองหลวงแล้วจะมีอำนาจเหมือนตอนอยู่ที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ไห่หรูเยวี่ยถูกว่ามากเข้าก็อับอายจนพาลโกรธขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงแหลมสูงขึ้นหลายส่วน “เกี่ยวอันใดกับเจ้า?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างสงบราบเรียบว่า “กระหม่อมกล่าวไปแล้วว่าจะช่วยคลายทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าให้องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”

ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “กระทั่งจะจัดการซ่งหลงก็ยังต้องขอให้คนอื่นช่วย เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าเจ้ามีปัญญาจัดการทางฝั่งเมืองหลวงได้”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “กระทั่งประตูเมืองหลวงแคว้นจ้าวหันไปทิศไหนกระหม่อมยังไม่รู้เลยพ่ะย่ะค่ะ ไหนเลยจะมีปัญญาทำเช่นนั้นได้ แต่เรื่องที่จะทำให้องค์หญิงใหญ่ปกครองมณฑลจินโจวไปได้ตลอดนั้นไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ!”

………………………………………………………………..