ตอนที่ 379 – รวมตัวกันใหม่
ผ่านไปพักใหญ่ โม่เทียนเกอจู่ ๆ มองไปทางทิศที่วานรยักษ์จากไป เอ่ยว่า “มาแล้ว!”
หยางเฉิงจีและเทียนฉานสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง พวกเขาสัมผัสได้ถึงลมปราณอันผสมปนเป ระดับความเข้มข้นเท่ากับวานรยักษ์พอดี!
ทั้งสองคนลุกขึ้น กำลังจะแยกย้ายหลบหนี โม่เทียนเกอกลับเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสองช้าก่อน!”
หยางเฉิงจีหันหน้ามาถลึงตาใส่นาง “สหายเต๋าฉินหรือว่าจะมีวิธีการอะไรสยบเจ้าตัวนี้”
จากเมื่อครู่นี้ โม่เทียนเกอรู้แล้วว่าหยางเฉิงจีคนนี้นิสัยขี้ระแวงกว่านางเสียอีก ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่ถือสาหาความ กล่าวกับเทียนฉานว่า “สหายเต๋าหากไว้ใจข้าก็รออยู่ตรงนี้ไปก่อน”
ในดวงตาเทียนฉานมีแววหวาดระแวงวูบผ่าน “สหายเต๋าฉินคิดจะทำอะไร”
เวลานี้ ลมปราณของวานรยักษ์ใกล้เข้ามายิ่งขึ้นแล้ว ภายใต้ลมปราณอันผสมปนเปของมันที่ปกคลุม ทั้งสามคนสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณอีกสายหนึ่ง คล้ายกับเป็นอสูรมารขั้นห้า……
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า หันไปทางหยางเฉิงจีอีกครั้ง “สหายเต๋าหยางหากไม่อยากเสี่ยงก็สามารถจากไปตอนนี้เลย”
หยางเฉิงจีมองดูนาง หันไปจ้องเทียนฉานครู่หนึ่ง สุดท้ายไม่ได้ขยับ
เขาอยากรู้มากว่าเหตุใดสตรีนางนี้ถึงได้สงบนิ่งขนาดนี้ หรือว่ายังมีความลับอะไร
ร่างของวานรยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว หยางเฉิงจีกับเทียนฉานกำอาวุธเวทของตนเอง สั่งสมกำลังเตรียมลงมือ
แต่ทว่า พริบตาถัดมา โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้น มองเจ้าตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนไหล่วานรยักษ์ กวักมือเรียก “เฟยเฟย!”
เฟยเฟยเห็นนาง ร้อง “งี๊ด” คำหนึ่ง กระโดดลงจากไหล่วานรยักษ์ โถมเข้าอ้อมอกนาง
“เจ้านาย อย่าให้คนอื่นรู้ว่าข้าพูดได้นะ” พร้อมกันนั้น เสียงอันเกียจคร้านของเฟยเฟยดังขึ้นในสมองของนาง
“เจ้าคิดจะทำอะไรอีก” โม่เทียนเกอตอบไปด้วยจิตสัมผัสเช่นเดียวกัน
เฟยเฟยซุกหัวไปบนไหล่ของนาง หัวเราะ “ฮี่ ๆ” สองคำในสมองนาง “ปิดบังความทื่อด้านไง อสูรวิญญาณที่พูดได้ตัวหนึ่งจะดึงดูดความละโมบของคนอื่นเอานะ!”
“……” โม่เทียนเกอถามว่า “เจ้าตัวนั้นถูกเจ้ากล่อมแล้วหรือ”
“อืม” เสียงของเฟยเฟยเจือความไม่พอใจนิดหน่อย “มันไม่ได้ชื่อเจ้าตัวนั้น มันชื่อสือโถว*”
“ถึงกับมีชื่อด้วย?” โม่เทียนเกอประหลาดใจ
เฟยเฟยยิ่งไม่พอใจ “ชื่อไม่ได้เป็นลิขสิทธิ์ของพวกท่านชาวมนุษย์สักหน่อย ท่านดูครอบครัวพวกเสี่ยวฝานสิ ยังมีแซ่ด้วยนะ!”
“……”
“สหายเต๋าฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ” หยางเฉิงจีถามเมื่อได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง “เจ้าตัวนี้……มันไม่โจมตีพวกเราแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอลูบหัวของเฟยเฟย แล้วก็เรียนรู้จากหลิงอวิ๋นเฮ่อ ป้อนโอสถเม็ดให้มันเป็นรางวัล จากนั้นปล่อยมันไปเล่นกับวานรยักษ์อีกรอบ
หยางเฉิงจีและเทียนฉานสองคนก็มองดูหนึ่งวานรหนึ่ง “จิ้งจอก” เดินห่างออกไปช้า ๆ สายตาฉงนตกลงบนตัวของโม่เทียนเกอทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของทั้งสองคน โม่เทียนเกอนิ่งเฉยมาก “นี่เป็นอสูรวิญญาณของจ้ายเซี่ย มันเป็นเฝยเฝยตัวหนึ่ง”
“เฝยเฝย?” หยางเฉิงจีไม่รู้จัก “นี่มันตัวอะไร”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “หากมันรู้ว่าสหายเต๋าหยางเรียกมันว่าตัวจะต้องไม่มีความสุขแน่”
“…..”
เห็นสีหน้าว่างเปล่าของหยางเฉิงจี โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ อธิบายว่า “เฝยเฝยเป็นอสูรเทพชนิดหนึ่งของตำนานโบราณกาล เลี้ยงแล้วสามารถคลายความกังวล เฝยเฝยตัวนี้เป็นสิ่งที่จ้ายเซี่ยพบเจอจากที่โพ้นทะเล ว่ากันว่าครอบครองสายเลือดของอสูรเทพเฝยเฝยโบราณกาล ถึงมันจะเป็นอสูรวิญญาณขั้นห้า แต่ไม่ได้มีทักษะเวทอะไร ในยามปกติข้าเลี้ยงมันเพียงเพื่อแก้เบื่อ คิดไม่ถึงว่าในภาวะวิกฤตถึงกับจะได้ใช้ประโยชน์ขึ้นมา”
“เฝยเฝย……” เทียนฉานท่องพึมพำหนึ่งคำ จู่ ๆ เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “อย่าบอกนะว่า ก็คือเฝยเฝยที่ในตำนานบอกว่าสามารถอยู่ร่วมกับอสูรวิญญาณทั้งหมดอย่างสันติตามธรรมชาติ แม้แต่อสูรดุร้ายยังจะไม่ทำร้ายมัน?”
“มิผิด” โม่เทียนเกอผงกศีรษะ “แต่ว่า ก่อนวันนี้ จ้ายเซี่ยยังนึกว่านี่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ผ่านเรื่องราวในวันนี้ไปก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าอสูรวิญญาณตัวนี้ของข้าเป็นรุ่นหลังของเฝยเฝยอย่างไม่ต้องสงสัยจริง ๆ”
“มิน่าเล่าสหายเต๋าฉินถึงได้กลับมา แล้วยังสงบถึงเพียงนี้” เทียนฉานเป่าปาก จนกระทั่งตอนนี้จึงนับว่าสงบลงได้แล้ว
หยางเฉิงจีทอดมองสถานที่ซึ่งวานรยักษ์และเฟยเฟยหายตัวไป ไม่พูดไม่จาเป็นครึ่งค่อนวัน
“สหายเต๋าหยาง?” เทียนฉานร้องเรียกเขาอย่างเกียจคร้าน หรี่ตามองเขา “ใต้เท้ามีความเห็นอะไร”
ทัศนคติที่เทียนฉานมีต่อหยางเฉิงจีไม่เคยจะเป็นมิตรกันเลย คำพูดคำจาในขณะนี้ยิ่งเจือการเสียดสี
บนหน้าซีดขาวของหยางเฉิงจีแดงกล่ำขึ้นมา ถลึงมองเทียนฉานอย่างชิงชังอยู่บ้าง
เทียนฉานส่งเสียงหัวเราะเย็นชาคำหนึ่ง สายตาเหยียดหยามอย่างยิ่ง
“สหายเต๋าเทียนฉาน!” ดวงตาของหยางเฉิงจีเผยความดื้อแพ่งอย่างเด็กหนุ่มออกมา จ้องเทียนฉานเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทุกคนล้วนมีความลับ ไยจะต้องก้าวร้าวต่อผู้คนอย่างนี้ด้วยเล่า”
ได้ฟังวาจานี้ สายตาที่เดิมทีเหยียดหยามของเทียนฉานปรากฏแววอำมหิตในพริบตา จ้องหยางเฉิงจีอย่างดุดัน นอกจากความอำมหิตดุดันกลับแผงความลังเลเศษเสี้ยวหนึ่ง คล้ายกับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่หยางเฉิงจีพูดเป็นเรื่องที่ตนเองนึกหรือไม่
หยางเฉิงจีร้องหึคำหนึ่ง เบนสายตาออกไป น้ำเสียงเย็นยะเยือก แต่กลับเป็นการเอ่ยกับโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าฉิน ท่านปล่อยอสูรวิญญาณของตัวเองตามวานรยักษ์ตัวนั้นจากไปตามใจชอบ หรือไม่ห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเลย”
โม่เทียนเกอกำลังดูพวกเขาสองคน รู้สึกน่าสนใจถึงสิบส่วน จู่ ๆ ได้ยินคำถามของหยางเฉิงจี มีปฏิกิริยาไม่ทันท่วงทีอยู่บ้าง คิดแล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนที่พวกมันจากไปร่าเริงมาก สัญชาตญาณของอสูรวิญญาณแม่นยำที่สุด คิดว่าไม่เป็นไรหรอก”
หยางเฉิงจีผงกศีรษะ แต่กลับถามอีกว่า “สหายเต๋าฉิน อสูรวิญญาณนี้ได้มาจากที่ใด ตอนที่ได้มาก็เป็นขั้นห้าหรือ”
“อสูรวิญญาณนี้……” โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู “เป็นสิ่งที่ได้มาที่ทะเลเหนือ ที่ไหนในทะเลเหนือกันแน่ข้ากลับจำไม่ได้แล้ว จ้ายเซี่ยได้เฝยเฝยตัวนี้มานานแล้ว ตอนนั้นมันเพิ่งจะถือกำเนิดได้ไม่นาน” ทะเลตะวันออกที่เทียนจี๋เรียก สำหรับอวิ๋นจงน่าจะเป็นทะเลเหนือ
“อ้อ?” หยางเฉิงจีไล่ถามอย่างค่อนข้างสนอกสนใจ “สหายเต๋าฉินจำได้ไหมว่ารอบ ๆ ผืนทะเลนั้นมีอะไร มีวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์อะไร”
โม่เทียนเกอมองเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “สหายเต๋าหยางอยากจะไปหาสักตัวหรือ”
“มีความคิดนี้อยู่จริง ๆ” หยางเฉิงจีไม่ปิดบังสักนิด “หากได้เลี้ยงตัวอย่างของสหายเต๋าฉิน เวลาประเภทนี้มีประโยชน์มาก”
“เฮอะ!” เทียนฉานเหล่มองหยางเฉิงจี เอ่ยว่า “สหายเต๋าหยาง ท่านเป็นผู้ฝึกมารนะ ในฐานะผู้ฝึกมารเลี้ยงอสูรวิญญาณหนึ่งตัวเกรงว่าจะไม่ง่ายดายกระมัง”
หยางเฉิงจีมองเขา สายตาเย็นลง “หลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นั้นในฐานะผู้ฝึกเต๋ายังเลี้ยงอสูรพิสดารที่ฝึกปราณตายเลย ข้าเป็นผู้ฝึกมารเหตุใดจะเลี้ยงอสูรวิญญาณไม่ได้”
ทั้งสองคนสายตาปะทะกัน แววตาลุกโชน
โม่เทียนเกอเห็นแล้วรู้สึกจนใจ ส่งเสียงออกมาว่า “สหายเต๋าทั้งสอง วานรยักษ์ตัวนี้ถึงแม้จะแก้ไขไปได้ชั่วคราว ถัดจากนี้จะทำอย่างไร ทั้งสองท่านมีความคิดเห็นไหม”
“ย่อมจะต้องเสาะหาคนอื่นกลับมา” หยางเฉิงจีเอ่ย “รับคำฝากฝัง ต้องกระทำให้ถึงที่สุด อีกอย่าง พฤติกรรมของเขายังนับว่าเข้าตาอยู่”
เทียนฉานในที่สุดไม่ได้มีความเห็นขัดแย้ง “อืม ยังคงหาคนก่อนเถอะ”
ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกัน โม่เทียนเกอล้วงเครื่องรางวิญญาณหนึ่งแผ่นออกมาจากในอกเสื้อ จี้นิ้วออกไป เครื่องรางวิญญาณติดไฟ กลายเป็นแสงหลบหนีหนึ่งสาย หายลับไปในขอบฟ้า
ก่อนออกเดินทาง หลิงอวิ๋นเฮ่อตระเตรียมแผนการเอาไว้หลายอย่าง หากพลังหลงกันควรจะทำอย่างไรก็บ่งบอกกับทุกคนอย่างชัดเจนไว้ก่อนแล้ว ขณะนี้ไม่ต้องพูดเยอะโม่เทียนเกอก็ปล่อยเครื่องรางสื่อสารออกไป ขอเพียงสามคนที่เหลือไม่เป็นไรก็น่าจะกลับมารวมกลุ่มกันหมด
เครื่องรางสื่อสารของโม่เทียนเกอส่งออกไปไม่นาน ที่ขอบฟ้ามีเครื่องรางสื่อสารหนึ่งแผ่นส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอรับมา เครื่องรางวิญญาณเผาไหม้โดยไร้ไฟ เสียงของหลิงอวิ๋นเฟยดังขึ้นมาว่า “สหายเต๋าฉินไม่เป็นไรกระมัง”
เมื่อได้รับเครื่องรางนี้ โม่เทียนเกอก็ขมวดคิ้ว หลิงอวิ๋นเฟยผู้นี้คล้ายกับจะไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เคยนึกเอาไว้เลย ถ้ามีเวลาส่งเครื่องรางสื่อสารยังมิสู้รีบเร่งมาร่วมกลุ่มกันตรง ๆ เห็นได้ว่าอันที่จริงเขาก็รอบคอบอย่างยิ่ง
“ไม่เป็นไร รีบมารวมกลุ่ม” โม่เทียนเกอตอบเครื่องรางสื่อสารหนึ่งแผ่น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดปรากฏแสงหลบหนีสองสายลอยอยู่ต่ำ ๆ ไม่นานนักหลิงอวิ๋นเฟยกับเถียนจือเชียนสองคนก็ทิ้งตัวลงมา
“ที่แท้สหายเต๋าทั้งสองก็มาถึงแล้ว?” หลิงอวิ๋นเฟยมองหยางเฉิงจีกับเทียนฉานอย่างประหลาดใจ
“พวกเรากลับมาแต่แรกแล้ว” เทียนฉานเอ่ยอย่างชืดชา
“อ้อ?” สายตาของหลิงอวิ๋นเฟยวนไปมาระหว่างพวกเขาสามคนหนึ่งรอบ ถามด้วยใบหน้าระแวงว่า “สรุปว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่ทราบสหายเต๋าทั้งสามอธิบายกับพวกข้าสองคนได้หรือไม่”
เทียนฉานและหยางเฉิงจีไม่ใช่คนที่ชอบอธิบาย ฟังวาจานี้แล้วย่อมมองมาทางโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอจนใจ ได้แต่เอาเรื่องเมื่อครู่มาบอกกับหลิงอวิ๋นเฟยและเถียนจือเชียนหนึ่งรอบ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ฟังกระบวนการทั้งหมดจบแล้ว ในดวงตาหลิงอวิ๋นเฟยปรากฏประกายตื่นเต้นวูบผ่าน ถามโม่เทียนเกอว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าฉินได้อสูรวิญญาณตัวนั้นจากที่ใดหรือ”
โม่เทียนเกอฟังแล้วก็ยิ้ม “เมื่อครู่สหายเต๋าหยางก็ถามคำถามนี้ พูดตามตรง ผ่านมานานมากแล้ว จ้ายเซี่ยเพียงจำได้ว่าเป็นทะเลเหนือ สรุปว่าที่ใดของทะเลเหนือ จำไม่ได้แต่แรกแล้ว”
“อ้อ……” หลิงอวิ๋นเฟยสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ทั้งห้าคนรออยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง ยังไงไม่เห็นร่องรอยของหลิงอวิ๋นเฮ่อ หลิงอวิ๋นเฟยทนไม่ไหวอยู่บ้าง ถามขึ้นมาก่อนว่า “พี่รองข้าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง นานขนาดนี้ยังไม่กลับมา!”
“นี่ก็ยากจะบอกได้” เทียนฉานร้องหึคำหนึ่ง “วานรยักษ์ถูกเฝยเฝยชักจูงไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้หลิงเต้าซยงสรุปว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่รู้”
“……” เทียนฉานผู้นี้ไม่พูดก็แล้วไป พอเริ่มพูดก็มุ่งเน้นไปที่ถ้อยคำไม่น่าฟัง
โม่เทียนเกอคิดแล้วให้จิตสัมผัสเรียกเฟยเฟยกลับ
ผ่านไปไม่นานมาก เฟยเฟยปรากฏตัวขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน วานรยักษ์ตัวนั้นไม่เห็นร่องรอยแล้ว
“งี๊ด!” ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน เฟยเฟยสะบัดหาง เกาะอยู่บนร่างโม่เทียนเกอไม่ขยับ ขณะนี้ในสมองของโม่เทียนเกอมีเสียงที่หมดความอดทนของเฟยเฟยดังขึ้นว่า “เรียกข้ากลับมาทำอะไร”
“ย่อมกลับบ้านไปแล้ว!” เฟยเฟยเอาหัวถูไถ “ท่านต้องการถามเรื่องนี้หรือ”
“ย่อมมิใช่! เจ้าเคยถามมันหรือไม่ว่าคนที่มันไล่ตามเมื่อครู่นี้อยู่ที่ไหน”
เฟยเฟยเอียงหัวคิดสักพัก กระโดดลงจากร่างของนาง “คล้ายกับจะหนีไปแล้ว แต่ลมปราณบนร่างของเขาข้าคุ้นเคยมาก ข้าสามารถหาเขาเจอ”
“ไปเถอะ!” โม่เทียนเกอโบกมือให้คนอื่น ๆ “มันจะพาพวกเราไปหาสหายเต๋าหลิง!”
สี่คนที่เหลือสบตากัน สุดท้ายยังคงตามไป
ถึงจะเป็นครั้งแรกที่มาเยือนหุบเขาไร้กังวล แต่เฟยเฟยเหมือนจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบบริเวณมาก ปีนซ้ายกระโดดขวา ในที่สุดหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น
“งี๊ด!” มันร้อง
“ที่นี่!” โม่เทียนเกอเห็นตั้งแต่แวบแรกว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อล้มอยู่ใต้ต้นไม้ ลมปราณอ่อนแรง
……………………………
*สือโถว (石头) แปลว่าสือแปลว่าหิน โถวแปลว่าหัว สือโถวแปลรวม ๆ ว่าก้อนหิน