เมื่อถึงโรงเตี๊ยม เฒ่าเสียเยว่สะบัดชายเสื้อนั่งลงอย่างโอ่อ่า โครงกระดูกที่มีแต่หนังเหนียวเหี่ยวตึงเปรี๊ยะจนแทบขาด
ฉินจิ่วเกออยู่กับความเป็นจริง ต่อหน้าคนนับสิบๆ คนในโรงเตี๊ยม ยัดทะนานเอาทั้งเนื้อและปลาลงท้องไปนับสิบๆ จาน
ฉินจิ่วเกอเรอเอิ้ก หวนนึกถึงยามพาเจ้าอ้วนน่าตายไปถล่มทานที่ร้านอาหารในเมืองซวนอู่ ยามนั้น กินล้างกินผลาญจนไม่เหลือซาก
เฒ่าเสียเยว่เห็นฉินจิ่วเกอรับประทานอย่างออกรส ต้องรู้สึกอยากอาหาร จึงลงมือรับประทานร่วมด้วย
แต่ที่ทำให้เถ้าแก่ร้านอาหารต้องตาเหลือกจนแทบร่วงออกจากเบ้ามา คือเทียบกันแล้ว ฉินจิ่วเกอคือบุรุษหนุ่มที่อยู่ในวัยเยาว์เจริญเติบโต มันรับประทานมากก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่เจ้าเฒ่าหนังหุ้มกระดูกที่เบื้องหน้านี้ อย่าได้เห็นว่ามันมีแต่หนังแห้งเหี่ยวตัวลีบตามลม ยามรับประทานยังยัดทะนานเข้าไปมากกว่าบุรุษหนุ่มฉกรรจ์อีก
บนโต๊ะหนึ่งจั้ง กองทับซ้อนสุมไปด้วยจานชามที่รับประทานเสร็จสิ้น ยังปรากฏน้ำมันหยดติ๋งๆ
ฉินจิ่วเกอลากลิ้นเลียตามง่ามนิ้ว มือลูบพุงอย่างสุขสบายยิ่ง
เฒ่าเสียเยว่เองก็กินจนพุงกาง ไม่ต่างจากผีปอบหิวโหยกลับฟื้นคืนชีพ กินจนถ้วยถังกะละมังบินว่อน
“อาวุโสรับประทานอิ่มแล้ว?” ฉินจิ่วเกอหนังท้องตึง ร่างเอนพิงไปด้านหลัง
เฒ่าเสียเยว่ที่เพิ่งว่างปากจากการกินผงกศีรษะตอบ “รสชาติเลวไปหน่อย พอฝืนรับประทานได้”
ฉินจิ่วเกอเช็ดปากเท้าโต๊ะ “แต่ข้ารับประทานอย่างสำราญยิ่ง เช่นนั้นรบกวนท่านจ่ายเงินค่าอาหารด้วย เสร็จแล้วพวกเราจะได้รีบเดินทางต่อ”
ทว่าโครงกระดูกเสียเยว่ไขว่ห้าง ครึ่งท่อนล่างจมอยู่ในกองจานเปล่า “ข้าถูกขังอยู่พันปี แหวนมิติก็ถูกกฎเกณฑ์ย่อยสลายไป แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย”
“หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่าข้าไม่มีเงิน เจ้าไปชำระบัญชีเถอะ รอจนถึงบรรพตสละฟ้า ข้าจะคืนให้”
ฉินจิ่วเกอปาดเหงื่อ ศิลาวิญญาณของมันทั้งหมดถูกสูบสลายไปจนสิ้นแต่แรก ตอนนี้ในแหวนมิติของมันเหลือแต่เปลือกแล้ว
จ่ายเงิน?
เอาที่ไหนจ่าย?
ฉินจิ่วเกอแบมือออก ปิดเปลือกตาลงอย่างจนปัญญา “พูดตามตรง ข้าไม่มีสักแดง ตอนช่วยท่านออกมาจากผนึกก็ใช้ไปหมดแล้ว กระทั่งเงินสำรองค่าสินสอดเจ้าสาวยังเอาออกมาด้วย ไม่เชื่อท่านค้นตัวข้า”
“งั้นจะทำยังไง?” เฒ่าเสียเยว่เลิกคิ้วสูงชัน มันเป็นถึงกฎสรรพสิ่ง แม้ตอนนี้พลังฝีมือแท้จริงยังไม่ฟื้นคืนเต็มร้อย แต่ยังไงก็ยังเป็นยอดฝีมือ
ฉินจิ่วเกอเม้มปากแย้มยิ้มจาง “ตอนนี้มีสองทาง หนึ่ง ท่านและข้าทำงานใช้หนี้ค่าอาหาร ล้างจานที่นี่สักสามเดือน ไม่ใช่สิ ท่านกับข้าทานไปไม่น้อย สมควรเป็นสามปีจึงจะถูก”
เฒ่าเสียเยว่รีบขีดเส้นแบ่งมันกับฉินจิ่วเกอทันที มือชี้ไปยังจานเปล่าข้างกายตนเอง “อย่ามาพูดว่าข้ากินเยอะ ข้ากินไปแต่จานนี้จานเดียว”
ฉินจิ่วเกออ้าปากค้าง กลมกว้างจนสามารถยัดไข่นกกระจอกเทศเข้าไปได้ทั้งลูก “ท่านผู้นี้กล่าวอะไรไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ทุกคนในนี้ก็เห็นกับตา อาหารที่ท่านกินยังมากกว่าข้าอีก”
เฒ่าเสียเยว่ประกายตาดุร้าย ดึงหน้าใส่ฉินจิ่วเกอ “งั้นเจ้าบอกมา ทางที่สองคืออะไร?”
“เอ่ยถึงทางที่สอง เช่นนั้นง่ายดายยิ่ง ทั้งไม่ต้องจ่ายเงิน ทั้งไม่ต้องล้างจาน ดีงามประเสริฐเลิศยิ่ง” ฉินจิ่วเกอยิ้มจาง ดูราวกับหนูขโมยน้ำมัน
เฒ่าเสียเยว่ในปากไม่ทราบเป็นรสชาติอย่างไร ได้แต่คิดในใจว่า เด็กน้อยนี้ ไฉนยังคดโกงยิ่งกว่าข้ามารเฒ่าอีก
“วิธีอะไร? ”
“ง่ายดายยิ่ง กินฟรีไงเล่า ท่านในตอนนี้อย่างน้อยสามารถรับมือรกลั่นดวงธาตุได้อย่างไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าท่าน เอ๊ย พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ ยังจะกลัวอันใด”
ฉินจิ่วเกอปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าววาจา หากทว่าแต่ละประโยคยิ่งมายิ่งบัดซบ แม้แต่เฒ่าเสียเยว่เองยังหนังตากระตุก เด็กน้อยนี้ เกิดมาเพื่อฝึกวิชาปีศาจโดยแท้
“ไม่เหมาะสม” เฒ่าเสียเยว่สั่นศีรษะ ชื่อฉายาของมันอย่างไรยังมีคำว่า “คน” เขียนอยู่ เกิดเป็นคนยังไงก็ยังต้องเหลือหน้าตาไว้ให้ใช้บ้าง “โจรมีวิถีโจร ฆ่าคนกลืนวิญญาณดูดสมองกินเลือดเนื้อ นั่นเพียงเป็นวิธีการฝึกปรือ แต่กินแล้วชักดาบแบบนี้ นั่นมันตัวอะไรกัน?”
ฉินจิ่วเกอส่ายหัวหวืด ลอบกลอกตาตลบหนึ่ง ในใจร้อนรน
โจรเฒ่าเจ้าฆ่าคนเป็นผักปลานับพันหมื่น ตอนนี้แค่เบี้ยวหนี้ค่าข้าวกลับหน้าบาง ยาจกคอยวาสนาแท้ๆ ตอนฝึกวิชาปีศาจทำไมไม่ถือคุณธรรมนำหน้าแบบนี้บ้าง!
” งั้นท่านก็หาทางเอาเองเถอะ ข้ามันก็แค่หลอมวิญญาณขั้นเก้า ไม่มีอันใดไปออกหน้า” ฉินจิ่วเกอแค่นเสียง
“ความคิดเคี้ยวคดเจ้ามากมายปานนี้ ลองคิดออกมาอีกสิ”
“ถ้างั้น อันที่จริงก็ยังมีทางที่สาม แต่ต้องดูว่าท่านยินยอมหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอไม่ทราบสมควรบรรยายเฒ่าเสียเยว่นี่อย่างไรดี ปีศาจฆ่าคนตาไม่กะพริบผู้ทรงคุณธรรม?
“ว่ามาเถอะ”
“เรื่องนี้ไม่อาจพูดออกมาต่อหน้าผู้คน ท่านเอาหูเข้ามาใกล้ๆ”
ฉินจิ่วเกอกระซิบกระซาบข้างหูเฒ่าเสียเยว่ ดูไปเหมือนโจรร้ายกำลังสุมหัววางแผนชั่วอันใด ท่าทางน่ารังเกียจยิ่ง เฒ่าเสียเยว่เองก็ลอบปรายตามองฉินจิ่วเกอหลายครา
เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนดี ตนเองคิดกลืนกินร่างอีกฝ่าย คุณธรรมของมันใช่จะด้อยคุณภาพลงหรือไม่? เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว ผู้ฝึกวิชาปีศาจอย่างพวกมันล้วนกลายเป็นคนดีมีเมตตาขึ้นมาทันที
“ได้ งั้นเอาตามนี้!” เฒ่าเสียเยว่แยกเขี้ยว ตอบรับคำ
“ดี” ฉินจิ่วเกอตบมือ “ต้องดูการแสดงออกของท่านแล้ว”
“ใครบอกว่าข้าจะทำ?”
” หมายความว่า?” ฉินจิ่วเกอยกอุ้งเท้าทั้งสองขึ้น ท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยไร้เดียงสาน่าเวทนา
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้า หรือจะให้ข้าทำ?” คำตอบอันโหดร้ายทารุณ บีบคั้นจนฉินจิ่วเกอสูญเสียโอกาสประพฤติเป็นคนดีไปอย่างสิ้นเชิง
ฉินจิ่วเกอเบิกตากว้าง สองตาเขม้นมองไปยังจมูก รวบรวมสมาธิ หมักบ่มกระบวนท่าร้ายกาจตระเตรียมใช้ออก
เฒ่าเสียเยว่อ้าปากหาวหวอด ย้ายม้านั่งที่ใต้ก้นของมันออก ขยับขยายที่ทางให้ฉินจิ่วเกอได้แสดงอย่างเต็มที่
ฉินจิ่วเกอกระอักไอออกมาอย่างรุนแรง พ่นลมปากกลิ่นตลบอบอวลอย่างหวนโหย สองแก้มแดงเถือกเห่อขึ้นบนหน้าซีดขาว “แค่กแค่กโค้กค่อก!”
เสียงอึกทึกครั้งนี้ เรียกความสนใจจากคนทั้งโรงเตี๊ยม
ฉินจิ่วเกอที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าคลาสการแสดงที่ไหนมาก่อน ร่างพลันอ่อนยวบยาบร่วงหล่นลงบนพื้น ทับโต๊ะอาหารจนจานชามคว่ำระเนระนาด เพล้งพล้างโครมครามเละเทะบนพื้นโรงเตี๊ยม
“ศิษย์ข้า! เจ้าเป็นอะไรไปแล้วศิษย์ข้า!” เฒ่าเสียเยว่ตะโกนเสียงลั่น ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความวิตกทุกข์ร้อน เร่งเข้าไปพยุงฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอผลักมือเหี่ยวกรังทั้งสองของอาจารย์ออก ตะกายร่างอยู่บนพื้นคืบคลานเข้าหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยม “มีพิษ เอายาแก้พิษมาให้ข้า พวกเจ้าใช่วางยาสิบความหอมสลายกระดูกแก่ข้าใช่หรือไม่?”
“อะไรนะ?” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน คนแตกตื่นตะลึงลานไปพร้อมกับแขกเหรื่อทั้งหลาย ไม่ทันตั้งตัวว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น
ฉินจิ่วเกอส่งสัญญาณแก่เฒ่าเสียเยว่ นี่ก็คือการทดลองมหาวิถีแห่งการใส่ร้ายป้ายสี
ทันทีที่สังเวยมหาวิถีนี้ออกมา ขอเพียงหนังหน้าหนาทักษะการแสดงพอใช้ รับประกันว่ากินไปทางไหนล้วนไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียว
“มีพิษ เจ้าวางยาสิบหอมสลายกระดูกใส่ข้า เอายาแก้พิษมา!” ฉินจิ่วเกอคว้าหมับเข้าที่เท้าของเถ้าแก่ร้าน ชี้นิ้วสั่นระริกไปทางอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น ใบหน้าดำทะมึน
“สิบหอมสลายกระดูกอะไรกัน?” เถ้าแก่ร้านพลันไอคิวไม่ทำงานกะทันหัน ไอ้หมอนี่มันพูดเรื่องอะไรของมัน “ให้ข้าตามนักปรุงยาให้มั้ย?”
ผู้คนในเมืองน้อยอุปนิสัยล้วนเรียบง่ายไม่ซับซ้อน กล่าวอีกทางหนึ่ง ทักษะการแสดงมหาวิถีป้ายสีของฉินจิ่วเกอมิใช่คนทั่วๆ ไปจะสามารถบังคับควบคุมออกมาได้ นี่เป็นมันสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาใช้ในโลกพิสดารแห่งนี้
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ฉินจิ่วเกอเอาแต่จับข้อเท้ามันแน่น คนเริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเหมือนผีเข้า ปากปรากฏฟองฟูมไหลทะลักออกมา
ถึงตาเฒ่าเสียเยว่ออกโรงแล้ว คนเริ่มร่ำไห้เรียกฟ้าเรียกดิน วิงวอนให้ศิษย์ของตนกลับเป็นปกติ
ฉวยโอกาสจากการสร้างสถานการณ์ของฉินจิ่วเกอ เฒ่าเสียเยว่ปลดแหวนมิติออกจากนิ้วเด็กน้อย ทำข้อตกลงกับเถ้าแก่ร้าน
จากนั้น เฒ่าเสียเยว่หิ้วร่างศิษย์ของมันราวถุงกระสอบ อ้อมอกกอบโกยศิลาวิญญาณระดับต่ำหลายก้อน เดินโซซัดโซเซออกจากร้านไป
กล่าวตามตรง หากพูดถึงหนังหน้าแล้ว เฒ่าเสียเยว่นับว่าห่างไกลความหนาจากหน้าของฉินจิ่วเกอไปไกลโข ห่างเปลี่ยนเป็นฉินจิ่วเกอ ย่อมต้องข่มขู่อีกฝ่ายมาหลายร้อยศิลาวิญญาณจึงพอใจ แต่ตอนนี้เล่า กลับกลายเป็นตนเองต้องประเคนแหวนมิติหนึ่งเดียวบนร่างที่พอมีมูลค่าออกไปแทน
แหวนมิติวงนั้น นั่นมันของที่แอบขโมยช่วงชิงมาจากซ่งเล่อนะ ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดใจยิ่ง ผิดหวังเสียใจยิ่ง
“เป็นอะไรไป รอจนกลับถึงบรรพตสละฟ้า ข้าจะคืนให้เจ้าเป็นสองเท่า ของที่อยู่ในเรือนสมบัติล้วนสามารถหยิบฉวย แค่เจ้าบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลให้เร็วหน่อยก็พอ”
ได้ยินอีกฝ่ายออกตั๋วอนุญาตแล้ว ฉินจิ่วเกอที่สะอึกสะอื้นไห้อยู่พลันกลับคืนสู่ชีวิตชีวา ปากพลันคมกริบขึ้นมาทันที “ผู้เฒ่าท่านหมายความว่า สมบัติทั้งสิบเมืองใหญ่ของบรรพตสละฟ้า ของภายในห้องสมบัติให้ข้าหยิบออกมาตามใจชอบ?”
“แน่นอน ขอเพียงเจ้ารีบเข้าสู่ขั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็พอ” เฒ่าเสียเยว่ขยับคิ้วแข็งทื่อของมัน พยายามแสดงสีหน้าเมตตาการุณย์
ฉินจิ่วเกอที่ถูกหิ้วอยู่เริ่มดีดลูกคิดรางแก้ว อืม มันกำลังจะรวยแล้ว ดังนั้นกระตุ้นเฒ่าเสียเยว่เดินทางให้เร็วกว่าเดิม ดูไปยังเร่งรีบกลับบรรพตสละฟ้ากว่าเฒ่ามารเองเสียอีก
บรรพตสละฟ้า กอปรไปด้วยหนึ่งยอด แปดเขา สิบเมือง
หนึ่งยอดที่ว่า คือยอดสูงสุดที่เป็นที่พำนักหลักของเฒ่าเสียเยว่ เป็นศูนย์กลางของบรรพตสละฟ้า เฒ่าเสียเยว่คือประมุขพรรค ที่จริงไม่ต่างจากจ้าวผู้ครองขุนเขาเท่าใด
แปดเขาที่ว่าคือแปดผู้ดูแลของเฒ่าเสียเยว่ ทั้งหมดล้วนเป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุ
สิบเมือง เป็นเมืองในอาณัติของบรรพตสละฟ้า เป็นที่มาของรายได้หลักในพรรค
“ทั้งหมดนี้ คือเมืองที่บรรพตสละฟ้าปกครองทั้งสิ้น?”
เมื่อพาฉินจิ่วเกอมาถึงละแวกถิ่นเดิมของมัน เฒ่าเสียเยว่ชี้ไปยังผืนดินรกร้างอย่างภาคภูมิ บอกว่านี่คือหนึ่งในเมืองที่บรรพตสละฟ้าปกครอง
“เทียบกับเมืองน้อยที่เราหยุดทานข้าวยังเก่าโทรมยิ่งกว่า อย่างนี้เจ้าก็เรียกเป็นเมืองใหญ่ด้วย?” ฉินจิ่วเกอโมโหแล้ว
ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ต่อให้เป็นเง็กเซียนฉินจิ่วเกอก็กล้าชน ผู้ฝึกวิชาปีศาจเป็นตัวอะไร
ที่เรียกว่าเมืองใหญ่นั้น กำแพงสี่ด้านพังไปสาม สิ่งก่อสร้างภายในเป็นบ้านดินเหนียวแตกหักผุพัง ขอเพียงลมพัดมาก็สามารถม้วนพัดขึ้นฟ้า คนที่อยู่ภายในนับไปมาได้แค่สองสามหมู่บ้านทั่วๆ ไปเท่านั้น
เฒ่าเสียเยว่รู้สึกขมปร่าในปาก ไม่อาจตอบให้กระจ่างชัดเจนได้ “เป็นเพราะข้าไม่ได้อยู่ดูแล พวกมันจึงปล่อยปละละเลย ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นมหานคร ทุกปีสามารถสร้างรายได้นับร้อยๆ ล้าน”
“เหอเหอ” ฉินจิ่วเกอดึงหน้า ทำหน้ายาวเหมือนมะระ
ดี ในเมื่อเจ้ารั้งตัวข้าไว้ไม่ให้ไป งั้นข้าก็จะไปดูในรังของเจ้า มีสมบัติพัสถานอันใด นายน้อยจะช่วยเจ้าเก็บไปให้หมดสิ้น
รอจนฉินจิ่วเกอและเฒ่าเสียเยว่มาถึงเขตแปดขุนเขา ..ซะที่ไหนเล่า ที่จริงเป็นกองดินแปดกองเท่านั้น ยังสูงกว่าซาลาเปาแปดลูกอยู่หน่อยเดียวเท่านั้น
ด้านบนโล้นเลี่ยนเตียนโล่ง แม้แต่หนูยังไม่คิดขุดคุ้ยหาอาหาร
“นี่คือที่เจ้าเรียกว่าแปดขุนเขา?” ฉินจิ่วเกอไม่เกรงอกเกรงใจแล้ว ใบหน้าไม่ดีไม่ร้าย “เหอะเหอะ”
เฒ่าเสียเยว่ทันทีที่ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเหอะเหอะสองคำ ต้องสะกดกลั้นเพลิงโทสะที่ลุกโหม จู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกอยากระเบิดออกมา หรือว่ามันควรพับแผนดูดกลืนร่างเจ้าเด็กนี่ เปลี่ยนไปเฉือนมันทำเนื้อตากแห้งแทนดีกันเล่า
“อา เป็นเพราะข้าไม่อยู่ที่นี่นานเกินไป พวกมันเมื่อไม่มีหัวหน้าคอยดูแล ย่อมปล่อยปละละเลยไปบ้าง ที่จริงพวกมันล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นกับการฝึก ดังนั้นด้านการดูแลจัดการเลยบกพร่องไปบ้าง”
จากนั้นมันพาฉินจิ่วเกอเหินร่างผ่านแปดขุนเขา มาถึงหนึ่งยอดที่มันเรียกขานในท้ายที่สุด
ถึงยามนี้ ฉินจิ่วเกอแทบบ้าคลั่ง นี่มันผียาจกชัดๆ!
“ห๊ะ นี่น่ะนะหนึ่งยอดของเจ้า?” ฉินจิ่วเกอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ยกนิ้วชี้ไปที่จมูกของเฒ่าเสียเยว่
ท่านย่าเถอะ กฎสรรพสิ่งวิเศษเลิศลอยเหรอ ข้านายน้อยทนไม่ไหวแล้ว!
“ดูสิดู ผืนดินแล้งเลี่ยนเตียนโล่ง เขายากจนคนยากไร้ ขนาดลมที่พัดมายังเหม็นเปรี้ยว ดูกระต๊อบง่อยๆ บนเขาไม่กี่ลูกนั่นสิ อย่างกับบ้านคนแคระไม่มีผิด แม้แต่วัดร้างที่ขอทานใช้เป็นรังนอนยังหรูหรากว่าเป็นไหนๆ! ดูฮวงจุ้ยทางด้านนี้สิ ให้นอนตรงนี้ไปนอนโลงยังจะดีซะกว่า!”
ฉินจิ่วเกอปากแหลมคม หากเปรียบถึงการใช้ปากฆ่าคนได้ ถ้าฉินจิ่วเกอบอกตัวเองเป็นที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง
แม้แต่ยอดผู้ฝึกวิชาปีศาจเช่นเฒ่าเสียเยว่ ฝีมือสูงสุดสุดสูง ฆ่าคนเป็นผักปลา ทั้งจิตใจชั่วร้ายอำมหิต
ทว่ายามเมื่อได้ยินวาจาของฉินจิ่วเกอ ยังโกรธกระโจนโลดขึ้นจนแทบสิ้นลม