ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 69 ฝนตกหนัก ฟ้าไม่ต้อนรับคน (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 69 ฝนตกหนัก ฟ้าไม่ต้อนรับคน (rewrite)

เมืองหลวงพลันเกิดฝนตกหนัก

ดินเลนในตรอกกระเด็น บุรุษถือร่มกระดาษมันหยุดอยู่หน้าประตูจวนเก่าแก่

บุรุษใบหน้าตอบไม่ปนเปื้อนควันไฟใดๆ พ่นลมหายใจช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายประตูที่เก่าแก่แต่ยังไม่พังนั้น เจ้าของจวนอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ป้ายประตูกลับรักษาไว้อย่างดี

จวนนี้ตั้งอยู่ที่ตรอกวสันต์เหมันต์ที่ห่างไกลผู้คนมากที่สุดในเมืองหลวง เพราะป้ายประตูนี้ของเจ้าของจวน รวมถึงเบื้องหลังฐานะที่แสดงออกจากป้ายประตู…ทำให้แขกเมืองหลวงส่วนใหญ่เลือกอ้อมตรอกนี้ไป

ตรอกวสันต์หิมันต์ทั้งตรอกเป็นของเจ้าของคนนี้คนเดียว

บนป้ายประตูแกะสลักนามที่มีคมพู่กันบางมาก แต่มีกลิ่นอายสังหารรุนแรงมาก

“น้ำค้าง”

สวีชิงเค่อที่หุบร่มกระดาษมันมองนามที่คุ้นตาและก็แปลกตานี้ เปิดริมฝีปากช้าๆ เหมือนอ่านนามสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานคนนี้

เขาหัวเราะเสียงเบา “ข้าถือว่าเป็นแขกคนแรกที่มาตรอกนี้ในรอบหลายปีมานี้หรือไม่”

ประตูไม้เคลือบสีแดงของจวนเปิดออกช้าๆ ฝนกระทบดินเลนในตรอกเล็กกระเด็นซ้อนกันเป็นชั้นๆ สวีชิงเค่อหุบร่มกระดาษมัน ยกเท้าก้าวเข้าไปในจวน สิ่งปลูกสร้างของจวนน้ำค้างแห่งนี้ใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์ไปไม่น้อย คุณชายน้ำค้างแห่งแดนบูรพาคนนั้นเดิมทีเป็นคนใหญ่คนโตที่ฟุ่มเฟือยที่สุด นำเครื่องบรรณาการและของน่าสนใจที่เขาศักดิ์สิทธิ์มากมายในแดนบูรพามอบให้ในช่วงหลายปีมานี้ กองไว้ในจวนนี้ทั้งหมด

สวีชิงเค่อลากร่มกระดาษมัน ปลายร่มลากเป็นรอยน้ำฝนยาวบนพื้นและจางลงเรื่อยๆ ในไม้แดงสองข้าง หญิงรับใช้ที่เก็บเสียงราวกับคนตายยืนเรียบร้อยมาก มือถือตะเกียงยาวเหมือนหญิงในวังสุสาน ใบหน้าซีดขาวปากแดง มีกลิ่นอายที่จะตายก็ไม่ตายวนเวียนในจวน มืดทะมึนน่ากลัว

หญิงรับใช้เหล่านี้แต่ละคนมีใบหน้างดงาม ยืนอยู่สองข้างทางเดินกว้าง ถือตะเกียงยืนโค้งตัว ยืนชิดกันอยู่หน้าเสาหินไม้แดง สวีชิงเค่อเดินผ่านก็เงยหน้า ใบหน้าอมยิ้มกับการต้อนรับขบวนเสด็จอย่างยิ่งใหญ่ ดูเหมือน ‘มีชีวิตชีวา’ แต่ความจริงไร้กลิ่นอายไปนานแล้ว ถูกคนลอกเนื้อหนังนี้อย่างสมบูรณ์ คอยรับใช้อยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี ไม่กินไม่ดื่ม ไม่แก่และไม่ตาย

หานเยวียมีอำนาจในแดนบูรพา มาจากแดนทักษิณ

นามสุภาพของคุณชายน้ำค้างคนนี้ทำให้เด็กน้อยหยุดร้องในยามวิกาล ก็เพราะนิสัยดุร้ายที่ต่างจากภาพลักษณ์สุภาพอย่างสิ้นเชิงนั้น ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณถูกเขาดึงเส้นเอ็นลอกหนัง จุดตะเกียงสวรรค์ วันที่พลังบำเพ็ญสำเร็จครั้งใหญ่ เกิดการสังหารครั้งใหญ่ขึ้น ภูเขาใหญ่แสนลี้มีแต่เสียงภูตผีร่ำไห้ร้องโหยหวน

สวีชิงเค่อมีใบหน้าสุขุม ปราณหยินในจวนนี้หนักอึ้งยิ่ง เหนือกว่าสุสานส่วนใหญ่ในโลก คุณชายน้ำค้างฝึกวิชาแขนงนี้ เคยมีคนพูดมาตรงๆ ว่าหานเยวียเป็นเพียงตัวตลกที่ไม่เข้าขั้น พบเจอแสงตะวันไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น น้ำค้างที่มาถึงแดนบูรพา ไม่นานก็เผยแวว สังหารเด็ดขาด สะอาดเรียบร้อย หลังจากล่าปีศาจกลับมาจากแดนอุดร ใต้ฟ้าทั้งแดนบูรพาก็ไม่ได้ยินคำดูถูกและด้อยค่าอีกเลย

จวนแห่งนี้ ข้างนอกปกคลุมด้วยเมฆเงามืด เมื่อก้าวเข้ามาอย่างแท้จริง ข้างในจะสร้างเป็นตำหนักเล็กห้องหนึ่ง เดินผ่านทางเดินมา ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างตำหนักใหญ่ไว้

ภายในตำหนักคลุมด้วยผ้าบาง พลิ้วไหวตามสายลม ชนเงาคนในนั้น มีคนรินสุรามีคนคลอเคลีย มีคนก้มตัวลุกขึ้นระบำ มีคนพูดคุยหัวเราะเบาๆ บุรุษที่นั่งหลังม่านบนบัลลังก์รินสุราเองดื่มเอง

สวีชิงเค่อหยุดตรงสุดทางเดิน มองเงานั้นหลังม่าน

“สวีชิงเค่อแห่งแดนประจิมรึ”

คุณชายน้ำค้างชะงักไป ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเคยได้ยินนามนี้ ตั้งได้ไม่เลว มีกลิ่นอายสุจริตเที่ยงธรรม…”

จากนั้นเขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเจ้าจะเป็นอย่างหยวนฉุนหรือ ผู้ปฏิเสธเงินทอง ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดารึ”

สวีชิงเค่อยิ้มไม่ได้ปฏิเสธ

“คุณชายหยวนฉุนมีความสามารถสติปัญญาสูงส่งและภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง” สวีชิงเค่อที่ปักร่มกระดาษมันเอ่ยเสียงใส ไม่ต่ำต้อยและไม่อวดดี “แซ่สวีเทียบไม่ได้ ไม่ใช่คนมีคุณธรรมสูงส่ง และไม่ได้มีจิตใจปฏิเสธเงินทอง”

“เหอะ…” หานเยวี่ยหัวเราะ เขามองบุรุษผอมบางที่ยืนตรงสุดทางเดิน รู้สึกว่าน่าสนใจนิดๆ “ยุคนี้ การจะเอาอย่างหยวนฉุน ไม่หิวตายก็ต้องเหนื่อยตาย มีโชคช่วยอย่างยิ่งถึงจะเดินมาถึงสุดทาง และยังไม่ได้ตายอย่างสงบอีก เติมอิฐเติมกระเบื้องให้ราชวงศ์ ใต้ฟ้าต้าสุยใหญ่ขนาดนี้ หากไม่ระวังได้เติมตัวเองเข้าไปแน่”

สายลมเงามืดพัดผ่านอย่างน่าเศร้า

สวีชิงเค่อไม่คิดเช่นนั้น

“ก่อนเจ้ามาเมืองหลวง ข้าคิดว่าหลี่ไป๋หลินแบกรับคำดูถูกมาหลายปี ในที่สุดก็หาอาจารย์พบ และยังไม่ใช่ปัญญาชนในเมืองหลวงนอกจากหยวนฉุนอีก แต่เป็นผู้คงแก่เรียนสุภาพจากรากหญ้า จะต้องมีจุดที่เหนือกว่าใครแน่ เผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากในแดนประจิม กลับใช้เวลาไม่นานก็จัดการได้อย่างเรียบร้อย”

หานเยวี่ยเอ่ยอย่างเฉยชา “แต่กลับทำให้ข้าผิดหวัง…ผู้สืบทอดเขาสู่ซานที่ครองพินิจเหมันต์มาเมืองหลวงแล้ว ไม่ใช่องค์ชายสาม แต่เป็นเด็กกำพร้าจากเทือกเขาประจิม นี่นับว่าเป็นเรื่องตลกเท่าฟ้าหรือไม่”

“คุณชายเจ้าหรุยฝากโอกาสไว้ให้คนใต้ฟ้า หากข้าอยู่แดนประจิม เช่นนั้นตำแหน่งอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานจะไม่ตกไปอยู่ในมือคนนอก” หานเยวียยิ้ม “องค์รัชทายาทไม่แก่งแย่งชิง เจ้าก็ไม่แย่งชิงเหมือนกันรึ ถึงที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่ได้อะไรเลย”

สวีชิงเค่อขานรับเบาๆ

เขามองตำหนักใหญ่พลางถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าล่ะ”

สายลมเงามืดหยุดลง

หานเยวียที่อยู่ในท่าถือแก้วหยุดนิ่งหลังม่าน งานเลี้ยงใหญ่ที่มีเสียงเพลงดังหลังม่านเงียบลง

สวีชิงเค่อพูดเสียงเบาอีกครั้ง

“หานเยวีย เจ้าต่อสู้แย่งชิงสุดชีวิต เจ้าได้อะไร”

หญิงรับใช้ที่ถือตะเกียงโค้งตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองคุณชายอาภรณ์ครามคนนั้นที่หันหลังให้และยืนอยู่หน้าสุดตรงระเบียงด้วยสีหน้าเคียดแค้น

“มีคนพยายามจะเดินอยู่ใต้แสงตะวันสุดชีวิต แต่เขาดันเห็นแสงตะวันไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยทำอย่างหยวนฉุนไม่ได้ หยวนฉุนเป็นตะเกียงที่ส่องสว่างยาวนานที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุย เขายังส่องแสง ไม่สนใจว่าภายภาคหน้าจะมอดดับอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด”

สวีชิงเค่อมองตำหนักใหญ่ พูดราบเรียบและเฉยชา

“น้ำค้าง ข้ารู้ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าไม่อยากเป็นหยวนฉุน แต่เจ้าอยากเป็นตะเกียงนั้น เจ้าจะเป็นขุนนางใต้เท้าบุตรสวรรค์ แต่ไม่ใช่ขุนนางใต้เท้าบุตรสวรรค์…ในตอนนี้”

คำพูดนี้ขัดแย้งกันยิ่ง แต่เมื่อพิจารณาคำพูดที่น่ากลัวนี้ ถ้วยเครื่องเคลือบที่อยู่ในมือคนในตำหนักถูกบีบแตกดังปัง

นี่คือการ…ทรยศระดับใด!

สิบก้าวหนึ่งเสา รวมทั้งหมดร้อยยี่สิบเก้าก้าว สองข้างสุดทางเดิน หญิงรับใช้ถือตะเกียงยี่สิบสี่คนแทบจะหายไปพร้อมกัน พายุพัดผ่านเข้ามา พลันบีบพื้นที่หลายจั้งรอบตัวผู้คงแก่เรียนอาภรณ์ครามคนนั้นจนไม่มีที่ระบายออก

หญิงรับใช้ที่ถือตะเกียงด้วยสองมือเป่าลมหายใจน่ากลัว แสงไฟสั่นไหว ใบหน้าซีดขาวทุกคนเผชิญหน้ากับสวีชิงเค่อ เจ็ดทวารมีเลือดไหลมาไม่หยุด ในดวงตาว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แม้แต่ดวงตาดำยังไม่มี ชุดคลุมแดงใหญ่ปลิวไสวตามสายลม

ปราณหยินน่าสะพรึงกลัว

สวีชิงเค่อมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ยังคงเฉยชา

“คนอย่างข้า ความจริงแล้วใจอ่อนมาก” หานเยวียที่บีบแก้วแตกยังคงอยู่ในท่ายกแขนขึ้นเล็กน้อย พูดอย่างไร้ความรู้สึก “หญิงพวกนี้ไม่ใช่ว่าตอนนั้นข้าลงมือเหี้ยมโหด จงใจทำลายดอกไม้งาม…แต่พวกนางร้องขอข้า ตั้งแต่โบราณมา หญิงงามก็เหมือนขุนพลเลื่องชื่อ ไม่ยอมให้ชาวโลกเห็นผมขาว พวกนางมีชีวิตอย่างสวยงาม เมื่อถึงเวลาโรยราอย่างแท้จริงก็มาร้องขอข้า ความจริงข้าจะทำอะไรให้พวกนาง ข้าก็เต็มใจทั้งนั้น แต่พวกนางยี่สิบสี่คนนี้ มีเงื่อนไขเดียว พวกนางอยากจะเก็บความสาวไว้ตลอดกาล”

หานเยวียยิ้ม เขาพึมพำกับตัวเองอย่างนุ่มนวล เสียงเบาอย่างยิ่ง “ตอนนั้นข้าถามพวกนางคำถามหนึ่ง ข้าถามพวกนางว่าหากข้าให้พวกนางเป็นสาวตลอดกาล ราคาต้องจ่าย คือยินดีอยู่กับข้าตลอดไปหรือไม่”

สวีชิงเค่อหรี่ตาลง

“คนพวกนั้นที่เลือกพูดความจริง พวกนางน่าสงสาร มองข้าพลางส่ายหน้า บอกว่ายินดีอยู่กับข้าเพียงสิบปี ยี่สิบปี ตอนนั้นข้าก็เข้าใจ มนุษย์ล้วนเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว เจ้ามองพวกนางสิ ไม่ยอมแม้แต่จะจ่ายสิ่งเหล่านี้ ไฉนข้าต้องช่วยพวกนาง” หานเยวียยิ้มเยาะ “ข้าลอกเนื้อหนังพวกนางออก ให้พวกนางอยู่กับข้าที่นี่ สิบปีก็ดี ยี่สิบปีก็ดี ถือว่าช่วยทำให้พวกนางสมหวัง”

สวีชิงเค่อครุ่นคิด

เขาถามต่อเหมือนว่าบุรุษคนนั้นในตำหนักใหญ่อนุญาตให้พูด

“แล้วคนที่พยักหน้าพวกนั้นล่ะ”

“ก็ได้ตามที่พวกนางต้องการ พวกนางยังเป็นสาวไปชั่วนิรันดร์ แต่สิ่งที่ต่างจากเนื้อหนังที่อยู่สิบปียี่สิบปีก็ถูกทิ้งพวกนั้น ก็คือข้าจะไม่ทิ้งพวกนาง” หานเยวียนั่งเรียบร้อย พูดอย่างจริงจัง “พวกนางจะอยู่กับข้าตลอดไป มองข้าใช้ชีวิตในโลกนี้ ชื่นชมใบหน้าพวกนาง”

สวีชิงเค่อมองบุรุษที่นั่งในตำหนักนิ่งๆ

“ข้าคือมารร้ายจากแดนทักษิณ พบเจอแสงตะวันไม่ได้” หานเยวียพูดเสียงเบา “แต่ตอนนี้ข้ายืนอยู่จุดสูงสุดของแดนบูรพา ดวงตะวันเผาใจก็ไม่ต้องกลัว ข้าทำการแลกเปลี่ยนกับทุกคน ผู้มาไม่ปฏิเสธ แต่พวกเขาไม่เคยมีจุดจบที่ดี”

“คุณชายชิงเค่อ เจ้ารู้…ถึงผลสุดท้ายของการแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่”

สวีชิงเค่อขมวดคิ้ว เหมือนกำลังนึกว่าจะพูดอย่างไร

เขาส่ายหน้า

จากนั้นเขาพูดต่อ “หานเยวีย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาจวนน้ำค้าง ไม่ใช่เพื่อมาตกลงกับเจ้า”

บุรุษหลังม่านหรี่ตาลง

“ข้ามาแจ้งข่าวกับเจ้า”

สวีชิงเค่อมีใบหน้าราบเรียบ อาภรณ์ครามโบกสะบัด “ข้ามาบอกเจ้า ว่าข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร และสิ่งที่ข้าต้องการ…เจ้ากลับไม่รู้”

สวีชิงเค่อหยุดชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “ข้าต้องการ…”

หานเยวียม่านตาแคบลง

เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนฟ้า

สวีชิงเค่อนำยันต์แสงสีครามออกมาจากแขนเสื้อ บีบช้าๆ

ตำหนักใหญ่พลันระเบิดแสงสว่าง หญิงรับใช้ชุดคลุมแดงตัวใหญ่ที่ล้อมรอบสวีชิงเค่อไว้ยกแขนขึ้นบังหน้าไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ตะเกียงวังตกลงพื้น จุดเปลวเพลิงลุกขึ้น พวกนางกรีดร้อง สองแขนกันใบหน้าเน่าเละไม่ได้

เสียงดังไร้เสียง

สวีชิงเค่อมองหานเยวียในตำหนัก เมื่อเอ่ยจบลง จวนที่นี่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้ยินสลายหายไป

หานเยวียนั่งในตำหนักใหญ่ เขามองข้ามหญิงงามที่ล้มกับพื้นและร้องอ้อนวอนพลางคลานไปทางตำหนักใหญ่ สีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม ในดวงตามีเพียงคุณชายอาภรณ์ครามที่กางร่มกระดาษมันช้าๆ และหมุนตัวจากไปกลางสายลมเงามืดนั้น

ความคิดเขาว่างเปล่า มีแต่สองคำนั้นที่ผู้คงแก่เรียนใช้สายฟ้าบนฟ้าพูดวนเวียนไปมา

หานเยวียรู้สึกใจตัวเองเต้นเป็นครั้งแรก เร็วขึ้นอย่างเหนือการควบคุม กระทั่งนั่งไม่ติดพื้นเล็กน้อย

“เจ้าจะเป็นขุนนางใต้เท้าบุตรสวรรค์ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว”

สวีชิงเค่อเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเบา “หลังฝนใบไม้ผลิครั้งนี้ สี่สำนักศึกษาจะแยกจากกันไม่อาจหวนคืนกลับมา แดนบูรพาก็ดี แดนประจิมก็ดี จะรับได้เท่าไรก็แล้วแต่ความสามารถ ข้าจะเดินเส้นทางนั้น เจ้าหานเยวียมีความสามารถมากกว่านี้ก็ต้องเดินไปกับข้า ดังนั้น…ของเจ้าคือของข้า แดนบูรพาได้ผลประโยชน์เท่าไร ข้าก็ยินดีที่จะได้เห็นมัน”

หานเยวียหน้าซีดขาว “สวีชิงเค่อ…เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าจะทำอะไรกันแน่”

ผู้คงแก่เรียนที่ถือร่มกระดาษมันนั่งย่อตัวลง แนบยันต์แสงครามนั้นกับเสาไม้แดง เขามองไปรอบๆ มองตรอกวสันต์หิมันต์ที่อยู่ในโลกนี้มานานมาก

“ไม้แดงผุแล้ว จวนจะถล่มแล้ว”

ฝนโหมกระหน่ำ ยันต์แสงครามนั้นลุกไหม้ขึ้นช้าๆ กลางราตรีมืดมิด ได้จุดไฟเสาจวนไม้แดงนั้นด้วยความหัวดื้อและแน่วแน่ ไม้ที่ผุข้างในลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่หานเยวียที่รวมร่างจากแสงดารานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่ จวนน้ำค้างเริ่มลุกไหม้ สมบัติมากมายเสียหายกลางควันไฟ เขาไม่สนใจเลย แต่ครุ่นคิดถึงปัญหาใหญ่เท่าฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง

ลังเลไม่แน่ใจ ยากจะจัดการได้

หานเยวียเงยหน้าขึ้น

แต่ฝนตกหนัก ฟ้าไม่ต้อนรับคน

……………….