บทที่ 128 เด็กโง่

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 128 เด็กโง่

การแข่งขันบนเกาะเงือกของยอดเขาลำดับเจ็ดสิ้นสุดลงแล้วจากเสียงประกาศของผู้อาวุโสเจ็ด

เผ่าเงือกครั้งนี้ไม่มีโอกาสและคุณสมบัติในการเลือกจะเป็นพันธมิตรแล้ว

เผ่าเงือกในตอนนี้ตายไปแล้วกว่าครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้แข็งแกร่งยังล้วนถูกสยบกดขี่เยี่ยงทาส ทรัพย์สินที่รู้กันทั่วไปบนเกาะทั้งสี่ก็ถูกปล้นสะดมไปจนเกลี้ยง แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับเผ่าเผ่าหนึ่งแล้ว สมบัติที่เก็บซ่อนเป็นความลับกับเส้นสนกลในมีมากยิ่งกว่า

เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ระดับรวมปราณด้านล่างภูเขาจะไปแตะต้องได้

แม้จะมีค่ายกลสะกด แต่สุดท้ายก็ยังมีสถานที่เก็บรักษาสมบัติและเส้นสนกลในอีกมากมายที่ระดับรวมปราณจะสังเกตเห็น จินตนาการได้เลยว่าถัดจากนี้จะเป็นงานเลี้ยงใหญ่ของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว

“ครั้งนี้เจ็ดเนตรโลหิตได้รับชัยครั้งใหญ่ ยิงธนูนัดเดียวไม่รู้ได้นกมาตั้งกี่ตัว”

นายกองที่หมอบอยู่บนหลังจางซานหัวเราะ และเหมือนการหัวเราะก็กระเทือนไปถึงบาดแผล เขารีบล้วงผิงกั่วที่กินไม่หมดก่อนหน้าออกมา กัดลงไปคำหนึ่ง สีหน้าดูพึงพอใจมาก เหมือนว่าการทำเช่นนี้ทำให้เขาไม่เจ็บปวดนัก

“แล้วได้กี่ตัวล่ะ” จางซานพอได้ยินก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“การใช้เผ่าเงือกเป็นสถานที่แข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ด เป็นแค่แผนการที่รู้กันโดยทั่วไปเท่านั้น การรีดไถระลอกแรกของศิษย์ด้านล่างภูเขา ถัดมาจึงเป็นการรีดไถระลอกสองของสร้างฐาน จากนั้นก็เป็นการรีดไถระลอกสามของหลอมตันเถียน สุดท้ายจึงเป็นการรีดไถของพวกผู้อาวุโส

“เมื่อเป็นเช่นนี้เส้นสนกลในหลายปีของเผ่าเงือกจึงปิดไว้ไม่อยู่เลย ถูกย้ายออกไปจนหมด นี่คือนกตัวที่หนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิต

“ส่วนเรื่องที่แอบวางแผนไว้ คือใช้เผ่าเงือกเป็นเหยื่อ ล่อให้เผ่าสิงซากสมุทรเปิดค่ายกลส่งข้ามเข้ามา จนทำให้บรรพจารย์ที่อยู่ในสภาพหิวโหยจากการทะลวงขั้นได้กินอิ่มไปมื้อหนึ่ง นี่คือนกตัวที่สอง

“นอกเหนือจากนี้ ยังใช้ประโยชน์จากการลงมือครั้งนี้ สั่นสะเทือนไปยังต่างเผ่ารอบๆ ทำให้อำนาจของเจ็ดเนตรโลหิตยิ่งขยายเป็นวงกว้างขึ้นไปอีก นี่คือนกตัวที่สาม ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

“ส่วนเรื่องนกตัวที่สี่ จุดที่เผ่าเงือกอยู่เป็นจุดยุทธศาสตร์ระหว่างเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทร เมื่อครอบครองที่นี่ก็สามารถเปิดฉากกลยุทธ์กบกระโดดได้ เพ่งเล็งไปที่เผ่าสิงซากสมุทร ข้าคาดว่าสงครามคงจะใกล้เข้ามาแล้ว”

นายกองวิเคราะห์อยู่ข้างๆ สวี่ชิงฟังไว้ในหู เขาขาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงเข้าใจเพียงครึ่งหนึ่ง เวลานี้พอฟังจบ ในใจก็กระจ่างทันที แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยและถามออกไปคำหนึ่ง

“บรรพจารย์ทะลวงขั้นแล้วเหตุใดจึงหิวโหย”

“เจ้าไม่อยากรู้หรอก” นายกองมองอย่างล้ำลึกที่สวี่ชิงผาดหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสเจ็ดบนท้องฟ้ามีสีหน้าพึงพอใจ สายตากวาดไปยังพื้นดิน จากนั้นจึงโบกมือ เรือศึกบรรพกาลเบื้องล่างเขาก็แหงนหน้าเปล่งเสียงคำราม พ่นลำแสงสีม่วงไปทางด้านล่าง

ตอนที่ลำแสงผืนนี้สาดมาก็แผ่ซ่านกลายเป็นทะเลแสง หลังจากปกคลุมไปทั้งสี่เกาะแล้ว ค่ายกลส่งข้ามก็เปิดออก

จากการที่ความคิดของสวี่ชิงผ่อนคลายลง ค่ายกลส่งข้ามส่งคนทั้งหมดซึ่งรวมเขาสลายหายไปในพริบตานี้กลับไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตท่ามกลางเสียงครืนครัน

หลังจากพวกเขาออกไป ผู้บำเพ็ญสร้างฐานเหล่านั้นบนท้องฟ้าแต่ละคนก็ดวงตาเปล่งประกาย

ผู้อาวุโสเจ็ดมองพวกเขาแล้วยิ้มๆ

“ไปเถอะ!”

พอคำพูดออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญสร้างฐานนับร้อยก็กลายเป็นแสงรุ้งยาวพุ่งตรงไปยังเกาะทั้งสี่ทันที สำหรับระดับสร้างฐานเหล่านี้แล้ว การมาที่นี่ถ้าไม่มีผลประโยชน์ พวกเขาคงไม่ยินดีเป็นแน่

ก่อนหน้านี้ในการแข่งขันล้วนเป็นผู้บำเพ็ญรวมปราณ ดังนั้นพวกเขาเองจึงไม่ใส่ใจ เวลานี้แต่ละคนเผยประกายแสงออกมา รีบร้อนกระจายออกไปยังเกาะทั้งสี่เพื่อทำการรีดไถ

ขณะเดียวกันในแท่นบูชาใจกลางเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต ทะเลแสงสีม่วงปรากฏขึ้นฉับพลัน บนท้องฟ้าก็มีวงแหวนขนาดยักษ์วงหนึ่งก่อตัวขึ้น ด้านในมีร่างของศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตหลายคนปรากฏออกมา ทยอยร่อนตัวลงบนพื้น

จนถึงตอนนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็สังเกตเห็นว่าจำนวนของคนที่กลับมาเหมือนไม่ถึงสองพันแล้ว ในร่างแต่ละคนมีปราณพิฆาตอยู่

‘ตอนที่ไปสี่พันกว่า กลับมาหายไปมากกว่าครึ่ง’

หลังจากสวี่ชิงร่อนลงพื้น ไม่ได้อยู่กับจางซานและนายกองแล้ว สายตาเขากวาดไปรอบด้าน รู้สึกเข้าใจความโหดร้ายของการแข่งขันของเจ็ดเนตรโลหิตมากขึ้น

แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าบรรดาคนที่กลับมา นอกจากปราณพิฆาตแล้ว สีหน้าก็ปิดตื่นเต้นไว้ไม่มิด เห็นได้ชัดว่าผลประโยชน์ของแต่ละคนในครั้งนี้ล้วนน่าตกตะลึงมาก กระทั่งสวี่ชิงยังเห็นเจ้าอ้วนน้อยในกลุ่มคนด้วย

ตอนที่แข่งขันก่อนหน้าอีกฝ่ายไปคนละเกาะกับสวี่ชิง ตอนนี้เขายืนยิ้มแป้นอยู่ตรงนั้น ที่เอวมีถุงเก็บของอยู่เจ็ดแปดใบ อยู่ในท่าทางที่หยิ่งทะนงมาก

หลังจากสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง เขาก็วิ่งเข้ามาหาสวี่ชิงอย่างดีอกดีใจ

“เป็นอย่างไร เก็บเกี่ยวมาเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ข้าได้มาเพียบเลย”

สวี่ชิงพยักหน้า เพียงแต่ทั้งร่างตอนนี้ยังคงเจ็บปวด ความอ่อนแอปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าขึ้นมา

เจ้าอ้วนน้อยกำลังจะพูดต่อ ตอนนี้เอง ด้านในทะเลแสงบนท้องฟ้าก็มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมา พอร่างนี้เดินออกมา พลังบำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่ก็สะกดไปทั้งแปดทิศทันที จนทำให้ศิษย์ที่นี่พากันเงียบ เงยหน้ามองไป

สวี่ชิงเองก็เงยหน้าสายตาจดจ้องเช่นกัน มองออกว่าอีกฝ่ายคือปู่ของเจ้าจงเหิง ผู้อาวุโสสามแห่งยอดเขาลำดับเจ็ด

“เผ่าเงือกยังมีเรื่องที่ต้องจัดการต่อ เจ้ายอดเขายังอยู่ที่นั่นเพื่อรอท่านบรรพจารย์กลับมา ดังนั้นผลลัพธ์การแข่งขันครั้งนี้ ข้าจะเป็นผู้ประกาศเอง

“การสะสมการสังหารของพวกเจ้า ล้วนมีบันทึกไว้ในป้ายฐานะของแต่ละคน ส่วนสิ่งที่พวกเจ้าได้มาก็วางใจได้ ในป้ายฐานะไม่บันทึกสิ่งเหล่านี้ และไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะได้มามากเท่าไร ก็ล้วนเป็นเรื่องของพวกเจ้า การแข่งขันที่ผ่านๆ มาล้วนเป็นเช่นนี้ สำนักจะไม่ไปยุ่งด้วย

“ครั้งนี้ ข้าจะประกาศแค่อันดับหนึ่งเท่านั้น

“ติงเซียวไห่ ออกมา!”

คำพูดของผู้อาวุโสสาม ติงเซียวไห่ในกลุ่มคนที่ชุดนักพรตขาดวิ่นและเห็นได้ชัดว่าภายในเจ็บหนักเงยหน้าขึ้นทันที ฝืนใช้ยันต์บินทะยานลอยตัวขึ้น

“ติงเซียวไห่ ได้รับอันดับหนึ่งการแข่งครั้งนี้ จะได้ฐานะเป็นศิษย์หลัก ได้รับชุดนักพรตสีม่วงอ่อน มีอำนาจเข้าพักบนภูเขา แต่ถ้ำแพงมาก เจ้าจำเป็นต้องซื้อเอง!”

ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เสียงดังก้องราวสายอัสนีไปทั่วสารทิศ

ติงเซียวไห่ดูตื่นเต้นเล็กน้อย ประสานกำปั้นคารวะไปทางท้องฟ้า

“ขอบพระคุณสำนักมาก!”

ผู้อาวุโสสามก้มหน้าลงมองติงเซียวไห่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งของด้านล่างภูเขามาโดยตลอด ดวงตาเผยความชื่นชม

เขาชื่นชมศิษย์ที่ต่อสู้เพื่อความรุ่งโรจน์ของสำนัก แต่การชื่นชมก็ส่วนการชื่นชม เขาไม่มีความคิดที่จะโปรดปรานอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นที่อีกฝ่ายขอบคุณคือสำนัก ไม่ใช่ตนเอง

ในมุมมองของสำนัก ศิษย์แบบนี้ดีมาก ยึดมั่นถึงที่สุดเพื่อเป็นอันดับหนึ่ง พุ่งสังหารศัตรูอย่างสุดกำลัง

แต่สำหรับมุมมองรายบุคคลแล้ว เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายนิสัยดื้อรั้น ยอมสละผลประโยชน์ที่หาได้ยากยิ่งทั้งหมดเพื่อเรื่องครั้งนี้ คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ในโลกาวินาศนี้ได้ยาก

และใช้ชีวิตไปได้ไม่นาน ความโปรดปรานทั้งหมดก็จะไร้ความหมาย ยิ่งไปว่านั้นในโลกที่วุ่นวายนี้ก็ยังให้ความสำคัญกับการเก็บงำความสามารถ ต้องซ่อนเร้นให้เป็น

สำหรับพวกที่ชอบอวดเบ่งล้วนมีจุดจบน่าอนาถทั้งสิ้น จุดนี้เขายังชื่นชมเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อสวี่ชิงคนนั้นมากกว่า ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงขอบเขตที่จะทะลวงขั้นเสียแล้ว

เวลานี้จากเสียงตื่นเต้นที่ติงเซียวไห่พูดออกไป ศิษย์ที่กระเป๋าตุงรอบๆ แต่ละคนก็ล้วนเอ่ยคำชมขึ้นมา แต่ละคนล้วนแสดงความยินดี

“ยินดีด้วยสหายติง!”

“ยินดีด้วยสหายติง!!” สวี่ชิงในกลุ่มคนได้ยินเสียงของนายกอง เจ้าอ้วนน้อยข้างๆ ก็ตะโกนยินดีขึ้นด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงก้มหน้าทอดถอนใจกับสวี่ชิง

“สหายติงนี่ยอดไปเลย จิตใจมีเพียงการสังหารศัตรู ไม่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรจากพวกเราเลย ถ้าหากเจ็ดเนตรโลหิตเป็นแบบสหายติงทั้งหมดก็คงดี”

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังติงเซียวไห่บนท้องฟ้าด้วยอารมณ์ปกติ

ในโลกนี้ ทุกคนล้วนมีวิธีใช้ชีวิตของตนเอง มีทั้งที่ให้ค่าต่อผลประโยชน์ มีทั้งให้ค่าชื่อเสียง ในนี้ไม่มีผิดมีถูก แม้ว่าพลังบำเพ็ญของติงเซียวไห่จะไปอยู่ที่ชายขอบการทะลวงขั้น ขอแค่ทะลวงขั้นก็สามารถได้รับชุดนักพรตสีม่วงแล้วก็ตาม

แต่บางทีสถานะศิษย์หลักอาจจะเป็นเพียงทิฐิของเขาก็เป็นได้

สวี่ชิงไม่วิจารณ์ใดๆ แต่ตัวเขาเองรู้ว่าตนเองไม่สนใจเรื่องเหล่านี้

สิ่งที่เจ็ดเนตรโลหิตดึงดูดเขามีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น เขาปรารถนาจะกลายเป็นระดับสร้างฐาน ด้านหนึ่งพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า อีกด้านหนึ่งก็คือเขารู้สึกสนใจการจัดสรรผลประโยชน์ทุกเดือนหลังจากกลายเป็นระดับสร้างฐาน

นอกเหนือจากนี้ เขาไม่ชอบทำตัวเด่น นอกเสียจากผลดีจากการทำเช่นนี้น่าตกตะลึง ไม่เช่นนั้นการซ่อนตัวอยู่ในความมืดจึงปลอดภัยยิ่งกว่า

หลังจากที่สำนักมอบรางวัลให้ติงเซียวไห่ ศิษย์บนแท่นบูชาก็ต่างคนต่างแยกย้ายจากการที่ผู้อาวุโสสามเหยียบทะเลแสงส่งข้ามกลับไป สวี่ชิงเองก็แยกออกมาทันที

ต่อให้ตอนนี้จะเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่สวี่ชิงก็ไม่กล้าอยู่ที่เจ็ดเนตรโลหิตนานนัก เพราะผลประโยชน์ครั้งนี้ของเขามันมหาศาลเสียเหลือเกิน

มหาศาลถึงระดับที่ว่าถ้าเปิดเผยออกมา คงสั่นสะเทือนไปทั้งเจ็ดเนตรโลหิต

ถึงอย่างไร…นั่นก็เป็นตะเกียงแห่งชีวิตที่ทำให้สำนักใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ยังตาร้อนขึ้นมาได้

ดังนั้นสวี่ชิงจึงตรงไปที่ร้านค้าต่างๆ ในท่าเรือเป็นอันดับแรก จัดการนำเอาของจิปาถะต่างๆ ที่ได้มาครั้งนี้ไปขายเป็นหินวิญญาณทั้งหมด

ชดเชยของวิเศษอักขระกลับมาบางส่วน จากนั้นจึงตรงไปยังร้านขายค่ายกล ใช้แต้มอุทิศจำนวนมากที่ได้มาจากการสังหารในการแข่งขันซื้อค่ายกลคุ้มกันมาห้าชุดอย่างไม่เสียดาย

ค่ายกลนี้ราคาน่าตกตะลึง แต่ประสิทธิภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน ไม่ว่าจะชุดใดตอนที่เปิดใช้งานก็สามารถทำให้ศิษย์ที่อยู่ด้านในปลอดภัยได้ยาวนานภายใต้การโจมตีของระดับสร้างฐานขณะอยู่ในสภาวะแสงนภา

ยิ่งไปกว่านั้นขอแค่มีหินวิญญาณเพียงพอ พลานุภาพของมันก็จะรักษาได้เรื่อยๆ อีกด้วย ซ้ำยังสามารถฟื้นฟูตนเองในระดับหนึ่งต่างหาก

และการใช้ทั้งห้าชุดซ้อนทับกัน ประสิทธิภาพก็จะดียิ่งขึ้น

ค่ายกลทั้งห้าชุดนี้ สิ้นเปลืองแต้มอุทิศที่สวี่ชิงได้รับมาจากการสังหารในการแข่งขันนี้ไปถึงเก้าส่วน แต่เขารู้ว่านี่คุ้มค่า จึงไปยังร้านขายยาต่อ ซื้อยาลูกกลอนกับสมุนไพรพิษมาอีกจำนวนมหาศาล

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองเตรียมตัวได้พอประมาณแล้ว

“ต้องดูว่าซ่อมเรือเวทใช้เวลานานเท่าไร ถ้าหากอยู่ในหนึ่งวันข้าก็จะรอ แต่ถ้านานกว่านั้น…ก็รอไม่ได้แล้ว” สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาจะรีบสร้างฐานให้ไวที่สุด

มีตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ในมือ สร้างฐานช้าไปวันหนึ่งก็เหมือนมีความตึงเครียดกับความไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาหนึ่งวัน

ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขารู้ว่าตนเองจะสร้างฐานในสำนักไม่ได้ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าตอนที่ตะเกียงแห่งชีวิตผสานเข้าไปตอนสร้างฐาน จะก่อคลื่นอะไรให้คนภายนอกจับได้หรือไม่

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่กล้าเสี่ยง

โดยเฉพาะเขาที่เห็นผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกคนหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นตอนสร้างฐานบนเกาะจวีอิงมากับตา ถึงแม้สำหรับเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว เรื่องไม่คาดคิดแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม

แต่สวี่ชิงก็อดป้องกันขึ้นมาไม่ได้

และมีตะเกียงดับวิญญาณคอยคุ้มกันให้อยู่ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะสร้างฐานภายนอกเพียงลำพังแล้ว จึงเพิ่มความเร็วการก้าวเดิน รีบตรงไปยังกรมขนส่งเพื่อหาจางซาน

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด ตอนที่สวี่ชิงตรงไปยังกรมขนส่งอย่างระมัดระวัง ในโรงเตี๊ยมถนนทองผุด ชายชรากำลังทาแผลบางส่วนบนเกล็ดของงูใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าเขาอย่างปวดใจ

“เจ้านี่นะ กล้าแอบไปซื้อลูกกลอนแปลงร่างแล้วกินลงไป เจ้าสิ่งนี้มันกินมั่วๆ ได้เสียที่ไหน เจ้ายังไม่ถึงช่วงแปลงร่าง กินเข้าไปก็แปลงได้ไม่กี่วัน แล้วถ้ากินมากไปพลังบำเพ็ญทั้งชีวิตของเจ้าก็จะหายไปอีกไม่รู้หรือ!!

“แล้วก็งูโง่อย่างเจ้า กินลูกกลอนแปลงร่างก็เพื่อไปเข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ดเนี่ยนะ การแข่งนั้นอันตรายมากเจ้าไม่รู้หรือ”

ชายชราปวดจิตปวดใจ พอทายาเสร็จก็เอ่ยตำหนิขึ้น

“ฟ่อๆ ฟ่อ” งูใหญ่เหมือนจะดีอกดีใจ บิดตัวยื่นหัวเข้ามา เอ่ยกับชายชราอย่างภาคภูมิใจ

“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า เจ้าหัวขโมยสวี่นั่นจ้องดีงูของเจ้าอยู่จริงๆ หืม เจ้าไปร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่ คงไม่ใช่เพราะไปหาเขาใช่หรือไม่!” ชายชราถลึงตา

“ฟ่อฟ่อ!” งูใหญ่ร้องขึ้นอย่างไม่ยอม

ชายชรามองงูใหญ่ตรงหน้าตัวนี้ พักหนึ่งจึงถอนใจยาวออกมา ยกมือขึ้นลูบหัวของงูใหญ่ เอ่ยขึ้นอย่างจริงใจเหมือนบิดาที่พูดคุยกับลูกสาวตนเอง

“เจ้าเด็กโง่ เขาบอกว่าดีงูขม หมายความว่าเขาเคยกินดีงูมาแล้วหรือไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นคงจะไม่ใช่กินไปแค่อันเดียวด้วย…”

งูใหญ่มึนงง นิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ดวงตาค่อยๆ รื้นแดงเหมือนจะร้องไห้