บทที่ 109 อุ้งเท้าแมวโผล่ออกมาอีกครั้ง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ภายใต้การจัดเตรียมโดยเจตนาของจานหานชิว ฉินปู้เข่อและฉินชิงเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในโอกาสต่าง ๆ

สิ่งที่ฉินปู้เข่อคาดไม่ถึงก็คือคราวนี้ฉินชิงเหยียนสงบลงเป็นพิเศษ หลายครั้งที่นางจงใจทิ้งช่องโหว่ไว้ให้ แต่อีกฝ่ายกลับยับยั้งใจไว้ได้ราวกับว่าเป็นพี่สาวน้องสาวที่คืนดีกันแล้วจริง ๆ

ในช่วงพักกลางวัน ในที่สุดฉินปู้เข่อก็เอาผ้าปิดตาที่ทำขึ้นเอง โดยใช้เวลาในการเย็บหลายวันออกมา

“สีดำอันนี้สำหรับท่าน ส่วนสีชมพูอันนี้สำหรับหม่อมฉันเพคะ” ฉินปู้เข่อพูดแล้วเอาผ้าปิดตามาใส่

หมี่โม่หรู่มองดูสิ่งเล็ก ๆ ในมือของเขาอย่างไม่เชื่อสายตา หลังจากดูไปครู่หนึ่งเขาก็แปลกใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยุ่งอยู่ครึ่งเดือนเพียงเพราะเย็บผ้าสองชิ้นนี้หรือ? มันเหมือนกับการตัดออกตรง ๆ เสียมากกว่า ริ้วผ้าไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย”

ฉินปู้เข่อได้ยินคำพูดที่น่าชังเหล่านี้จึงขู่ว่า “ริ้วผ้าต้องคลายตัวได้ง่าย หากผูกเป็นปมก็จะรู้สึกไม่สบายหลังศีรษะเมื่อนอนหงาย ท่านช่วยหยุดเปรียบเทียบผ้าปิดตาของหม่อมฉันได้หรือไม่ หากท่านทำไม่ได้ก็เอาคืนมาให้หม่อมฉันแล้วไปตัดริ้วผ้าเองเลย!”

ขณะที่พูด นางก็พร้อมที่จะเอาผ้าปิดตาในมือของอีกฝ่ายกลับคืนมา

หมี่โม่หรู่หยิบของที่อยู่ในมือไปไว้ในอ้อมแขนอย่างค่อนข้างเจ้าอารมณ์ “ในเมื่อมันถูกมอบให้ข้าแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่เจ้าจะต้องรับมันคืนไป”

“เจ้าตัวเล็ก น่าชังและบิดพลิ้ว” ฉินปู้เข่อบีบแก้มของเขา

หมี่โม่หรู่หยิบของในอ้อมแขนของเขาออกมา ก่อนจะถูไปมาในมือของเขา พลางยื่นปากทำหน้ามุ่ย “บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว พระชายา ทักษะสตรีของเจ้าไม่ได้ดีนัก เจ้าไม่รู้วิธีเย็บและร้อยไหม เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกวีนิพนธ์และการวาดภาพเลย แถมเจ้ายังดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสตรีที่มีข่าวลือกว้างขวางว่าเป็น ‘สตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในต้าเซี่ย’ จริงหรือไม่ที่ทุกคนในโลกมองดูเจ้าอย่างผิวเผิน และเห็นว่าภายนอกของเจ้าอ่อนโยนและสง่างาม ดังนั้นพวกเขาจึงย่อมต้องยกสมญานามดังกล่าวให้เจ้า”

ใบหน้าของฉินปู้เข่อนิ่งเฉยอย่างผิดปกติและไม่ตอบสนอง นางนั่งลงบนเตียงที่ร้อนระอุก่อนจะหยิบกล่องเย็บผ้าออกมาอีกครั้ง พลางก้มศีรษะลงเพื่อซ่อมผ้าปิดตาในมือของนาง

นางไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเช่นนี้อย่างไรดี ตอนแรกนางคิดว่าจะโกหกหมี่โม่หรู่ แต่บัดนี้นางไม่อยากนอนกับเขาขณะที่หลอกลวงอีกฝ่าย

หากบอกความจริงไป แม้ว่าหมี่โม่หรู่จะคิดมาก เขาก็คงจะไม่เชื่อ นับประสาอะไร…

นางกลัว กลัวว่าหากหมี่โม่หรู่เชื่อและรู้ที่มาของนาง เขาจะหันหน้าหนีและปฏิเสธตัวตนของนางแล้วถามหาฉินปู้เข่อตัวจริง

“อะไรกัน ข้าชอบมันตราบใดที่เจ้าเป็นคนทำเอง” หมี่โม่หรู่อดไม่ได้ที่จะกอดนางและปลอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เขาแทบจะไม่เคยเห็นนางทำสีหน้าเช่นนี้มาก่อนเลย ดวงตาที่สดใสของนางในอดีตดูเหมือนจะมีหมอกสีดำที่ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน ทำให้เขารู้สึกว่านางไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาในขณะนี้

มันเหมือนเกาะแก่งที่เป็นอิสระจากโลก

ฉินปู้เข่อส่ายหัวเงียบ ๆ และแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

นางกลัวความอบอุ่นและการปลอบโยนจากคนอื่นมากที่สุด สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจนัก

“หม่อมฉันจะฝึกฝนให้มากกว่านี้เพคะ” นางไม่รู้จะอธิบายอารมณ์ปัจจุบันของตนเองอย่างไร นางไม่สามารถเปิดเผยความว่างเปล่าที่เข้ามาในหัวใจนี้โดยไม่มีเหตุผลได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหาข้อแก้ตัวที่ไร้สาระเพื่อความสมจริง

หมี่โม่หรู่ถอนหายใจและหยิบเข็มกับด้ายออกจากมือของนาง “ไม่ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเป็นช่างเย็บผ้า เจ้าแค่ต้องอยู่เคียงข้างข้า ไม่ต้องทำสิ่งอื่นใดอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมีทักษะเล่นดนตรี วางหมากรุก ท่องบทกวี หรือวาดภาพหรอก”

ฉินปู้เข่อกะพริบตาขณะจ้องไปยังใบหน้าที่อยู่ใกล้นางอย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นนางก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงด้วยการ ‘ปัด’

ดูเหมือนว่าตอนที่นางโกรธจัดและกำลังจะออกจากวังเมื่อไม่นานมานี้ หมี่โม่หรู่ก็พูดเรื่องนี้กับนางเช่นกัน

เพียงแค่อยู่เคียงข้างเขา

ประโยคนี้ฟังดูเกี่ยวข้องอย่างไรในตอนนี้?

หมี่โม่หรู่มองใบหน้าที่แดงก่ำของนาง เขาเม้มริมฝีปากแล้วยกยิ้ม

ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะผลักเขาและรู้สึกผิดเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นเพคะ”

จุ๊ ๆ ทำไมประโยคนี้รู้สึกเหมือนนางกำลังคิดถึงเรื่องที่ไม่สามารถบรรยายได้ ฟังดูไม่บริสุทธิ์ใจเลย

แต่นางกล้าที่จะให้คำมั่นว่านางบริสุทธิ์ใจจริง บัดนี้นางไม่ได้มีแม้แต่เจตนาไม่ดีแม้สักเล็กน้อยอยู่เลย

หมี่โม่หรู่เกาจมูกของนางเบา ๆ และพูดอย่างสุภาพด้วยทัศนคติของสามีที่ดีว่า “ใช่ เจ้าไม่ได้คิดอะไรเลย”

หลังจากที่เขาพูดจบก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะขยับตัวฉินปู้เข่อเล็กน้อย “แต่ข้าคิดนะ”

บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นสีชมพูอย่างไร้เหตุผล

ฉินปู้เข่อมองออกไปนอกหน้าต่างพลางพึมพำออกมาเบา ๆ “ตอนนี้ยังสว่างอยู่…”

“เกี่ยวอะไรกับสภาพอากาศ?” หมี่โม่หรู่อุ้มนางขึ้นก่อนจะพาคนในอ้อมแขนเข้าไปในห้องชั้นใน และวางนางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล “หากท้องฟ้ายังสว่างอยู่ เจ้าก็เก็บเทียนไว้ก่อน”

หมี่โม่หรู่จูบนางอย่างแผ่วเบา เพราะเกรงว่าคนในอ้อมแขนของเขานี้จะถูกพรากไปที่อื่น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนขึ้นมา และตั้งปณิธานว่าจะไม่สำรวจการตัดสินใจที่เป็นความลับของนางอีกต่อไป

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสูญเสียการควบคุม เพราะเขาไม่อาจควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ เขารู้สึกว่าอาจไม่ใช่หมี่เฉินอี้ที่จะพรากนางไปในสักวันหนึ่ง แต่เป็นความลับของนางในตัวของนางเองต่างหาก

…………………………………….

“เสี่ยวเข่อ”

ความรู้สึกสูญเสียการควบคุมลดลงเมื่อได้ครอบครองร่างกายอย่างแน่นหนา และการสัมผัสบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดอย่างแท้จริงก็ทำให้หมี่โม่หรู่รู้สึกสบายใจ

“เพคะ” ฉินปู้เข่อกำลังนอนพิงหัวเตียงเหมือนปลาที่ขาดอากาศ และกำลังหอบหายใจโดยอ้าปากกว้างแล้วพ่นฟองออกมา

หมี่โม่หรู่ลูบแผ่นหลังเรียบเนียนของนางทีละนิ้วด้วยรอยยิ้มมุมปาก ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ของตนและพูดออกมาเบา ๆ ว่า “หากฉินชิงเหยียนจะทำอะไรบางอย่าง เจ้าก็ขอคนติดตามจากข้าได้ ครั้งนี้จวนมหาเสนาบดีจัดคนมาติดตามพวกเราหลายคนแล้ว”

จากสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับพระชายาตัวน้อย นางไม่ใช่คนที่จะให้อภัยผู้อื่นได้อย่างง่ายดายแน่นอน

แม้ว่าทุกวันนี้หมี่โม่หรู่จะไม่ถามอะไร แต่เขาก็เห็นการกระทำของพระชายาตัวน้อย และก็ยังคาดเดาว่านางจะทำอะไรต่อไปอีกด้วย

จะเป็นอาหารแปลก ๆ อีกหรือไม่ กรงเล็บแมวโผล่ออกมาและขีดข่วนที่หัวใจของเขาอีกครั้ง

“ไม่ต้องหรอกเพคะ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ระหว่างสตรี หากหม่อมฉันไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ หม่อมฉันก็คงอยู่อย่างเปล่าประโยชน์แล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อตอบอย่างอ่อนแรง “ท่านเพียงแค่ต้องเชื่อใจหม่อมฉันเพคะ”

ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต เขาแค่ต้องเชื่อนางอย่างไม่ลังเล ไม่สงสัย ไม่ตั้งคำถามและไม่ลองใจอีกต่อไป

ลำคอของฉินปู้เข่อขยับและกลืนคำพูดเข้าไปในปากของนาง

“เจ้าคือคนเคียงหมอนของข้า และข้าย่อมเชื่อใจเจ้ามากที่สุด” หมี่โม่หรู่กอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาก่อนจะกดหน้าผากของอีกฝ่ายแนบกับอกของตน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พระชายา แม่นางจานที่สี่เชิญท่านไปหาเพคะ” ซวงหวนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานก่อนที่จะกล้าเคาะประตู

“กี่โมงแล้ว” ฉินปู้เข่อมองออกไปที่ท้องฟ้าสีเทาด้านนอก

“ยามโหย่ว*[1]” หมี่โม่หรู่ช่วยตอบให้ “เหตุใดเจ้าไม่ให้นางรอข้างนอกสักครู่ แล้วทานอาหารเย็นกับข้าก่อนที่จะไปที่นั่น”

“ตกลงเพคะ” ฉินปู้เข่อเหลือบมองท้องฟ้าอีกครั้ง “ข้าจะขอให้นางกำนัลกลับไปบอกหานชิวก่อนเพื่อไม่ให้นางรีบมากนัก”

หลังอาหารเย็น ฉินปู้เข่อก็ถึงเวลาใส่เสื้อคลุมก่อนจะเดินออกจากตำหนักถงจิ้ง

ออกไปเพียงไม่กี่ก้าว นางกำนัลก็เดินเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “พระชายาเพิ่งออกมา นายหญิงของข้าน้อยรอไม่ไหวจึงส่งข้าน้อยมาดูเพคะ”

……………………………………………………………………………..

[1] ยามโหย่ว (酉:yǒu) คือ 17.00 – 18.59 น.