บทที่ 68 มีเจ้าทุกครั้งที่ทำการกวาดล้าง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 68 มีเจ้าทุกครั้งที่ทำการกวาดล้าง

“นายพรานที่เป็นพยานเมืองโบราณยังอยู่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“แน่นอน หลังจากพบว่าหมู่บ้านกลายเป็นแบบนี้ พวกเราจึงได้ขอให้เขาอยู่ต่อทันที”

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินตอบ

“ตอนนี้เขาอยู่ในหมู่บ้าน ข้าส่งศิษย์สองคนไปปกป้องแล้ว”

“คนอื่นที่เหลือยังคงใช้เวลาอีกหน่อยกว่าจะมาถึง พาข้าไปถามเขาเถิด”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“เอางั้นหรือ แม้ว่าข้าจะถามสิ่งที่ควรจะถามแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ… ย่อมได้”

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินนําทางไปยังหมู่บ้าน

“เชิญทางนี้”

“เกรงว่าเจ้าจะมีท่าทีดุร้ายเกินไป ข้ากลัวว่านายพรานคนนั้นคงจะพูดอะไรไม่ออก”

ไป๋ชิวหรานพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินลูบหัวตัวเองป้อย ๆ และไม่ได้โต้แย้งกลับไป เพราะมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น

ภายใต้การนําของเขา ไป๋ชิวหรานจึงได้พบกับนายพราน หลังจากสอบถามอย่างละเอียด ไป๋ชิวหรานจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์แบบผิวเผิน ทว่าไม่อาจถามอะไรเพิ่มเติมได้มากไปกว่านั้นอีก

นายพรานเป็นเพียงนายพรานธรรมดา ไป๋ชิวหรานและท่านอาจารย์เว่ยเฉินต่างใช้สัมผัสถึงตัวตนที่แท้จริง ไม่มีพลังงานใดในร่างกายที่แฝงเร้น และตามที่บอกกล่าว คือเขาเพิ่งจับกระต่ายเสร็จ จึงลงจากภูเขาแล้วบังเอิญเห็นหมอกในทิศทางของหมู่บ้าน หลังจากหมอกสลายตัวไป เมืองก็ปรากฏขึ้นบนแม่น้ำที่อยู่บนหน้าผา

แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของเขา หลังจากเห็นเมืองปรากฏขึ้นบนหน้าผา จึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้าน หลังจากนั้นจึงได้พบกับท่านอาจารย์เว่ยเฉินที่พาลูกศิษย์มา แต่ในเวลานั้นเมืองกลับสลายหายไปพร้อมกับหมอกหนาเสียแล้ว

หลังจากนั้นไป๋ชิวหรานก็ได้มาถึงยังจุดที่นายพรานว่า เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินที่กําลังปั่นป่วน ที่นี่น่าจะโดนบางอย่างรบกวนจนเป็นวังวน แต่วิชาเทพเซียนค่ายกลที่รู้จักในปัจจุบันหลายอย่างล้วนสามารถทําเช่นนี้ได้ ดังนั้นการมาครั้งนี้ของไป๋ชิวหรานจึงยังไม่พบอะไร

ไป๋ชิวหรานกลับมายังหมู่บ้านอย่างไม่เต็มใจ เขาสงบสติอารมณ์ตัวเองลง การเผชิญหน้าในรูปแบบเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่เคยประสบมาก่อนและด้วยไม่รู้ว่าเป็นศัตรูยุคไหน ไป๋ชิวหรานจึงจำต้องวิเคราะห์อีกมาก ตอนนี้เขาต้องการเบาะแสเพิ่มเติม!

หลังจากรอในหมู่บ้านสักพัก ผู้คนที่เกี่ยวข้องต่างมาถึงทันทีที่ได้รับข่าว

เนื่องจากพวกเขามาเป็นกลุ่มสุดท้าย และด้วยครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนที่เริ่มมีข้อมูลบ้างแล้ว จึงมาถึงภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ไป๋ชิวหรานมาถึง

ไป๋ชิวหรานและท่านอาจารย์เว่ยเฉินออกจากหมู่บ้านเพื่อต้อนรับ หลังจากเห็นตัวแทนจากสํานักเหอฮวน ใบหน้าดุร้ายของท่านอาจารย์เว่ยเฉินพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง

“ฮ่าฮ่า”

เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของท่านอาจารย์เว่ยเฉิน ผู้อาวุโสสํานักเหอฮวนที่สวมผ้าคลุมหน้าสีดําหัวเราะคิกคัก

“เหตุใดท่านอาจารย์เว่ยเฉินถึงดูโกรธนัก? หรือไม่อยากต้อนรับข้า?”

“มู่ฮวน เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!”

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินพูดอย่างโกรธเคือง

“คราวที่แล้วก็มีเจ้า! เหตุใดทุกครั้งที่สำนักพุทธเทียนเซิ่งพบเจอปัญหามักจะต้องมีเจ้าด้วย?!”

ผู้อาวุโสมู่ฮวนจากสํานักเหอฮวน และท่านอาจารย์เว่ยเฉินแห่งสำนักพุทธเทียนเซิ่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินเป็นผู้ฝึกฌานในสำนักพุทธเทียนเซิ่งที่มีนิสัยใจร้อนวู่วาม เขาเป็นแนวหน้าการกวาดล้างในแต่ละครั้งของห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมมาอย่างยาวนาน ในหนึ่งพันปีมานี้เขายึดครองรังลับที่ผิดกฎหมายของสํานักเหอฮวนไว้ไม่รู้กี่แห่ง จึงได้เกี่ยวพันกับมู่ฮวนที่เป็นผู้อาวุโสในสํานักเหอฮวนเสมอ

หลายปีก่อน ประมุขสำนักเหอฮวนยังไม่ใช่ซูเซียงเสวี่ย มู่ฮวน ณ ตอนนั้นจึงเป็นเพียงแม่ทัพที่กล้าหาญของสํานักเหอฮวน ทำให้พวกเขาสองคนได้ประลองฝีมือกันหลายครั้ง เป็นศัตรูคู่กรณีกันมาหลายร้อยปี ต่อมาห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารได้ลงนามสัญญาร่วมกัน เมื่อซูเซียงเสวี่ยก้าวขึ้นสู่อํานาจ กิจกรรมของสํานักเหอฮวนจึงไม่อนุญาตให้ฆ่าแกงกันอีก มู่ฮวนจึงย้ายจากสนามรบด้านหน้าไปสู่งานด้านเทคนิคและช่วยซูเซียงเสวี่ยบริหารจัดการงานของสํานักเหอฮวน

แต่ผู้อาวุโสมู่ฮวนคนนี้มีงานอดิเรกประหลาดอย่างหนึ่ง คือตอนที่ทํากิจกรรมทางด้านเทคนิคส่วนตัว มักชอบไปยังวัดต่าง ๆ ในสำนักพุทธเทียนเซิ่ง เพื่อมอบบางสิ่งให้กับพระภิกษุสงฆ์ในสำนัก ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านอาจารย์เว่ยเฉินจึงเรียกได้ว่าไม่มีทางดีขึ้นได้!

ดังนั้นเมื่อได้พบกัน มู่ฮวนจึงเริ่มยั่วยุท่านอาจารย์เว่ยเฉินในทันที

“โอ๊ย ไม่นะ ไฟแห่งความโกรธเผาไหม้ข้าแล้ว”

และหลังจากเมื่อได้ยินคําพูดของท่านอาจารย์เว่ยเฉิน มู่ฮวนก็ได้แลบลิ้นเลียมุมปากแล้วพูดยั่วเย้าออกมาอีกว่า

“พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องขันติอดทน ขอท่านอย่าโกรธเคืองเลย”

“โกหก!”

ท่านอาจารย์เว่ยเฉินพับแขนเสื้อเผยให้เห็นท่อนแขนแข็งแกร่ง

“เจ้าคนชั่วช้า ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

“มาสิ แน่จริงมาจัดการข้าสิ!”

“เอาล่ะ!” ไป๋ชิวหรานตะโกนขัดเมื่อเห็นทั้งสองคนเริ่มทำท่าจะวางมวยกันแล้ว

“ปัญหาครั้งนี้สําคัญนัก ระงับโทสะเสีย ส่วนมู่ฮวน เจ้าควรพูดให้น้อยลงสักสองสามคํา และหันมาพูดเรื่องงานให้ถูกประเด็น”

เมื่อได้ยินคําพูดของไป๋ชิวหราน ท่านอาจารย์เว่ยเฉินพยายามควบคุมอารมณ์ เม้มปากแน่น เดินไปนั่งสมาธิแล้วเริ่มสวดมนต์ ส่วนมู่ฮวนมองไปทางไป๋ชิวหรานด้วยความกลัว ปิดปากนิ่งเงียบถอยห่างออกมาเล็กน้อย

มีเพียงซูเซียงเสวี่ยคนเดียวในสํานักเหอฮวนที่ไม่กลัวไป๋ชิวหราน แต่คนอื่น ๆ โดยเฉพาะมู่ฮวนล้วนกลัวหัวหด

หลังจากที่ไป๋ชิวหรานห้ามปราบทั้งสอง บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจก็เกิดขึ้น จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสจากสํานักวิญญาณหยินเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม

“ทุกคน พวกเราไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ช่วยบอกข้อมูลที่ทราบจากสํานักของตนในช่วงสองสามวันมานี้กันก่อน”

เมื่อเห็นทุกคนพยักหน้า เขาพลันพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำต่อทันทีว่า

“หลังจากการประชุมในวันนั้น ศิษย์สํานักวิญญาณหยินของเราออกค้นหาพื้นที่ใกล้สํานักงานใหญ่ พบว่ามีหมู่บ้านที่ไม่มีคนอยู่ในพื้นที่ ทางตอนเหนือยังมีน้ำวนของปราณจิตวิญญาณอยู่ เหมือนกับ…”

เขาชี้ไปที่แม่น้ำที่อยู่ติดกับหมู่บ้าน

“ที่แห่งนี้!”

ตำแหน่งอันเป็นที่ตั้งของสำนักวิญญาณหยิน นับว่ามีเอกลักษณ์โดดเด่นจนเกือบเรียกได้ว่าหนึ่งเดียวท่ามกลางเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน มีภูมิศาสตร์พิเศษ พื้นบริเวณนี้เป็นชั้นหินมีรูพรุน เต็มไปด้วยหลุมลึกนับไม่ถ้วนอยู่ด้านล่างชั้นหินเหล่านี้ อยู่ด้านใต้พื้นลงไปซึ่งเปรียบได้กับอาณาจักรใต้ดิน

แต่เนื่องจากอยู่ใต้ดินลึกลงไป พลังหยินจึงทรงอำนาจเสียจนเปล่งแสงสีดำมืดสนิทออกมา ทําให้ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตหาได้ยากมากมาย นอกจากนี้ยังมีวิญญาณที่อันตรายมากมาย เช่นวิญญาณพเนจร ผีดิบ กระดูก หรืออื่น ๆ อีกมาก ดังนั้นสำนักวิญญาณหยินจึงย้ายรังของพวกเขามาที่นี่

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดที่ทุกคนจะสนใจมากนัก การรั่วไหลของปราณจิตวิญญาณที่ว่านั่นอยู่ห่างจากชิงโจวนับหมื่นลี้ หากแต่ภายในการรั่วไหลที่ว่ากลับปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณ นั่นหมายความว่า ขอบเขตของการเคลื่อนที่ไม่ได้จํากัดอยู่แค่ในชิงโจวเท่านั้น!

ทุกคนมองหน้ากัน นึกถึงกุญแจสําคัญ หลังจากนั้นผู้อาวุโสมู่ฮวนและผู้อาวุโสหอหยกแห่งเซียนตูอธิบายเสริมเรื่องเครือข่ายข่าวกรองของทั้งสองสํานักจะระบุสถานที่ชุมนุมที่ไม่เคยปรากฏในเมืองโบราณทั้งเมืองอวิ๋นโจวและเหลียงโจว

“มันเคลื่อนที่ไปได้อย่างไร?”

ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิด…