บทที่ 116 ไปพาคนกลับมา

บทที่ 116 ไปพาคนกลับมา

แม้แม่นางน้อยผู้นี้จะยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เช่นเดียวกับพวกเขา ทว่าเป็นนางที่คอยปลอบโยนพวกเขาในคราแรกที่รู้สึกตัว เสี่ยวเป่าจึงถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวของพวกเขาไปโดยปริยาย

นอกจากเสี่ยวเป่าจะไม่มีท่าทีหวาดกลัวแล้ว นางกลับคลี่ยิ้มอ่อนโยนส่งให้พวกเขาอีกด้วย

“ไม่ต้องกลัว เสี่ยวเป่ามีวิธี”

นางเอ่ยปลอบใจพลางจับบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นไม่นานมือเล็ก ๆ ก็กำบางสิ่งออกมา พอนางแบมือออกก็พบว่ามีผึ้งตัวใหญ่เท่านิ้วก้อยอยู่บนฝ่ามือของนาง

ดวงตาสามคู่เบิกกว้างทันที

นี่มันอันใดกัน!!!

เสี่ยวเป่ายักคิ้วแล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบ “มันเป็นผึ้งที่เสี่ยวเป่าเลี้ยงไว้ ทั้งท่านพ่อ ท่านอา และพี่ ๆ ล้วนรู้จักมันดี หากพวกเขาเห็นผึ้งนี้ ก็จะต้องตามมันมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน”

ดวงตาสามคู่เป็นประกายทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าคนตัวเล็กทั้งสามเต็มไปด้วยความคาดหวัง

เสี่ยวเป่าพาผึ้งไปที่หน้าต่างก่อนจะดึงกระดาษที่อุดรูบนหน้าต่างไว้ออกเพื่อปล่อยให้ผึ้งในมือโบยบินออกไป

“ไปหาท่านพี่ของข้า แล้วพาพวกเขามาที่นี่”

ผึ้งที่อยู่ด้านนอกบินวนสองรอบเพื่อสื่อว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นมันก็บินจากไป

“แล้วพวกเราจะรออยู่ที่นี่เงียบ ๆ ต่อไปหรือ?” เมื่อมองเห็นความหวัง เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยกลัวแล้ว พวกเขาต่างมองเสี่ยวเป่าอย่างชื่นชม

แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขายังเป็นเพียงเด็กน้อย จึงไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือสมเหตุสมผล หากพวกเขาโตกว่านี้สักหน่อยก็คงจะคิดได้ว่า การขอให้ผึ้งไปตามคนมาช่วยเช่นนี้มันดูไม่น่าเป็นไปได้เลย

“ข้ากลัว หากคนไม่ดีพวกนั้นทุบตีเราเล่า เราจะทำอย่างไรดี”

เด็กหญิงตัวเล็กมีนามว่า เสี่ยวหลาน ตอนนี้นางนั่งตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ เสี่ยวเป่า

เจ้าก้อนแป้ง “ไม่ต้องกลัว ข้ายังมีอีก”

นางพูดพลางชี้ให้พวกเขาดูผึ้งบนผม บนเสื้อผ้า ด้านในชายแขนเสื้อและกระโปรง ซึ่งผึ้งบนผมนั้นตัวใหญ่ที่สุด ขนาดตัวของมันแทบจะเท่าฝ่ามือเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าอยู่แล้ว

เด็กทั้งสามตะลึงงัน ถึงกับหลงลืมความกลัวหรือความกังวลใด ๆ ไปครู่หนึ่ง

“โอ้โห… ตัวใหญ่มาก”

โจวเหยียนจ้องผึ้งตัวใหญ่ตาแทบถลน เด็กทั้งสามมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาชื่นชมมากยิ่งขึ้น

ในระหว่างที่รอให้คนมาช่วย หัวเล็ก ๆ ทั้งสี่ก็ระดมสมองเพื่อหารือกันว่าจะสั่งสอนคนชั่วพวกนั้นอย่างไรดี

ผึ้งที่ได้รับภารกิจบินวนรอบเมืองหลวง ทั้งบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยใช้เวลากว่าสองชั่วยาม ในที่สุดก็บินกลับมาถึงสถานที่ที่คุ้นเคย

เวลาล่วงเลยมาถึงยามจื่อ แต่ทั่วทั้งวังกลับยังคงสว่างไสว เหล่าทหารองครักษ์ในวังหลวงต่างก็ได้รับคำสั่งให้ออกตามหาองค์หญิงที่หายตัวไปตามบ้านเรือนวิ่งวุ่นทั่วเมืองหลวง

ส่วนตำหนักฉินเจิ้งนั้นเรียกได้ว่า ถูกความกดดันเข้าปกคลุมโดยสมบูรณ์ เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างก้มหน้าก้มตาและหดคอลง แม้จะเดินยังต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อเบาเสียงหมายทำตนเป็นเสมือนอากาศธาตุ

หนานกงสือเยวียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ไอสังหารแผ่ออกมาทั่วร่าง พลังทำลายล้างในตัวเขาที่ผู้ใดก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

ฝูไห่กงกงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

“มีเบาะแสอันใดบ้างหรือไม่?”

น้ำเสียงเย็นเยียบดุจภูเขาน้ำแข็งที่หยั่งรากลึกในมหาสมุทรจากองค์เหนือหัว เป็นผลให้หลินเจิ้งชิงซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอดไม่ได้ที่จะมือไม้สั่น

“ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”

“ไสหัวไป! ตามหาต่อไปจนกว่าจะพบ!”

หนานกงสือเยวียนโมโหเลือดขึ้นหน้า นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำ

หลินเจิ้งชิงรีบถอยออกมาด้วยความเร็วแสง และตามหาคนต่อไปอย่างขะมักเขม้น

“ฝ่าบาท”

ด้วยกลัวว่าโรคเก่าของหนานกงสือเยวียนจะกำเริบ แล้วพวกเขาควบคุมมันไม่ได้ ฝูไห่จึงต้องกัดฟันเอ่ยปลอบโยนเขา

“ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงน้อยมีเฟิงเฟิงตามติดไปด้วย หากมีคนต้องการจับองค์หญิงไปจะต้องถูกต่อยเป็นแน่ ทว่ามีบางอย่างน่าประหลาดใจ หากองค์หญิงถูกจับตัวไป คนพวกนั้นก็ต้องโดนต่อยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฝูไห่กงกงใช้สมองคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยออกมา จุดประสงค์หลักก็เพื่อปลอบโยนองค์เหนือหัว

แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าหนานกงสือเยวียนจะสงบลงเพราะคำพูดของตน

จริงสิ ความกังวลและความโกลาหลทำให้เขาลืมไปเสียสนิทว่าเสี่ยวเป่ามีเจ้าพวกนั้นติดตัวไปด้วย

เขาเคยเห็นเสี่ยวเป่าสั่งการผึ้งพวกนั้นด้วยตาตนเอง แม้ในยามนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คนคับคั่งก็ตาม ทว่าเสี่ยวเป่ากับหนานกงหลีก็อยู่ใกล้ ๆ กัน

หากนางมีอันตราย ผึ้งเหล่านั้นจะต้องปกป้องนางอย่างแน่นอน ฤทธิ์เดชของผึ้งพวกนั้นแม้แต่นักฆ่าก็ทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับโจรลักพาตัวที่เป็นคนธรรมดา ๆ

ทว่ากลับไม่มีเสียงร้องอันใดเลยในตอนที่เสี่ยวเป่าถูกจับตัวไป

หรือว่าพวกผึ้งที่อยู่กับเสี่ยวเป่าจะไม่ทำตามคำสั่งจึงไม่ได้โจมตีคนร้าย หรือไม่ก็อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

อีกอย่างเสี่ยวเป่าก็มีผึ้งมากมาย หากนางถูกจับตัวไปจริง ๆ ก็พอเบาใจเล็กน้อย เพราะคนพวกนั้นทำเพื่อเงินเท่านั้น หากพวกมันต้องการขายเด็กก็คงจะไม่ทารุณหรือทำอันตรายเด็ก ๆ และตอนนี้ทั้งเมืองหลวงก็อยู่ภายใต้การตรวจตราของทหารองครักษ์ พวกมันจะต้องยังอยู่ในเขตเมืองหลวงเป็นแน่

สิ่งที่ทำให้เขากลัวมากกว่าก็คือ มันอาจเป็นแผนการล่อเขาออกจากถ้ำ

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงเรียบเฉย ทว่าในหัวกลับคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย

ทันใดนั้นผึ้งตัวหนึ่งก็บินหึ่ง ๆ เข้ามา

“ผึ้งมาจากที่ใด รีบไล่ออกไปเร็วเข้า”

ขันทีหน้าซีดด้วยความตกใจ ฝ่าบาทกริ้วอยู่แล้ว หากผึ้งตัวนี้บินเข้ามา และทำให้โอรสสวรรค์ไม่พอใจ ผลที่ตามมาพวกเขาคงรับไม่ไหว

หนานกงสือเยวียนได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอกพลันเอ่ยถามเสียงเข้ม

“ข้างนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

ฝูไห่กงกงลอบด่าคนโง่เขลาเหล่านั้นในใจ พลางรีบเอ่ยตอบทันที “กระหม่อมจะรีบไปดู”

พอเดินจ้ำอ้าวออกมาก็เห็นเหล่าขันทีและนางกำนัลกำลังพยายามไล่ผึ้งที่บินเข้ามา

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

ผึ้งตัวใหญ่อย่างนี้ เห็นทีมันคงเป็นผึ้งที่องค์หญิงเก้าทรงเลี้ยงไว้

เหล่าขันทีและนางกำนัลรีบคุกเข่าลงเมื่อได้ยินเสียงของฝูไห่ “ฝูไห่กงกง โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเราก็ไม่รู้ว่าผึ้งตัวนี้เข้ามาได้อย่างไร”

ฝูไห่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นผึ้งที่องค์หญิงเลี้ยงไว้ ปกติแล้วพวกมันอยู่อย่างสงบมาก พวกมันจะไม่มาที่นี่ เว้นเสียแต่ว่าองค์หญิงจะพามา

พอนึกถึงบางสิ่งได้ เขาก็จดจ้องผึ้งตัวนั้น

“ท่านจะไปกับข้าหรือไม่?”

เขาพูดพลางเดินนำไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำเช่นนั้นด้วยเหตุใด แต่ผึ้งก็บินตามเขามา

ฝูไห่หัวใจเต้นแรงมากขึ้น รีบพาผึ้งไปหาฝ่าบาททันที

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ!”

ฝูไห่กงกงก้าวพรวดไวว่องเข้ามา ไม่กล้าชักช้าเสียเวลาแม้แต่น้อย

หนานกงสือเยวียนเงยหน้าขึ้น ผึ้งตัวนั้นพลันปรากฏตัวต่อหน้าเขา

ฝูไห่รีบเอ่ยตามที่ตนคิด “ฝ่าบาท นี่อาจเป็นเฟิงเฟิงที่องค์หญิงน้อยทรงพาไปด้วยบินกลับมาเพื่อส่งข่าว”

หนานกงสือเยวียนยกมือขึ้น ผึ้งก็บินไปเกาะบนมือของเขาทันที

ความเย็นเยียบในร่างกายเขาพลันหายไปในพริบตาเดียว

“เตรียมม้า!”

เมื่อได้รับข่าว หลินเจิ้งชิงก็รีบกลับมาพร้อมกับทหารองครักษ์ รวมถึงหนานกงหลีด้วย

“เสด็จพี่ ได้ข่าวเสี่ยวเป่าแล้วหรือ? นางอยู่ที่ใด?”

เขาเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าทันทีที่ม้าหยุด สีหน้าทั้งเหนื่อยล้าและเป็นกังวล

เขานำกำลังออกตามหาเสี่ยวเป่าตั้งแต่ที่รู้ว่านางหายตัวไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด

หนานกงสือเยวียนไม่พูดสิ่งใดให้มากความ เพียงปล่อยผึ้งในมือออกมา

คนอื่นไม่เข้าใจ แต่หนานกงหลีเข้าใจได้ทันที

“เสี่ยวเป่าส่งมันกลับมา!”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “ไปเถอะ ไปพาคนกลับมา”

ทันทีที่กายแกร่งก้าวขึ้นสู่หลังม้า บุรุษผู้มีแววตาเย็นชาพลันฉายแววอาฆาตแค้น มันผู้ใดที่บังอาจจับตัวธิดาตัวน้อยของเขาไป เขาย่อมไม่ปล่อยให้ลอยนวล

หนานกงสือเยวียนปล่อยให้ผึ้งบินนำทาง

“ตามไป”

หลินเจิ้งชิง “???”

ฝ่าบาทและเซียวเหยาอ๋องกำลังเล่นทายปริศนาอันใดกัน แล้วเหตุใดผึ้งที่นำทางไปถึงได้ตัวใหญ่เพียงนั้น ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก!