ตอนที่ 200 นักต้มตุ๋นมาหลอกปู้ฉิวเสียแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 200 นักต้มตุ๋นมาหลอกปู้ฉิวเสียแล้ว

อวี้ฉังคงเดินตามฉินหลิวซีออกมาจากร้านโลงศพ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นผีน้อยตนนั้นนั่งอยู่ที่ประตูพลางกินอมยิ้มที่ฉินหลิวซีให้อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อมีคนเดินผ่านเขาก็จะยื่นเท้าออกไป คนผู้นั้นถูกสกัดขาจนเซเกือบล้มลงไปคลานที่พื้น อยากจะด่า แต่เมื่อหันกลับไปมองร้านโลงศพก็ไม่กล้าด่าเสียงดัง เพียงแค่ด่าอย่างเบาๆ แล้วเดินจากไป

ผีน้อยยืนเท้าสะเอวชี้ไปที่หลังชายผู้นั้นแล้วหัวเราะ เมื่อเห็นว่าอวี้ฉังคงยังมองอยู่ เขาก็ทำหน้าผีอีกครั้ง

อวี้ฉังคงละสายตา ก่อนจะเดินตามฉินหลิวซีไป เห็นว่าอีกฝ่ายมาที่ร้านขายกระดาษทองธูปเทียนเครื่องบูชาโดยเฉพาะ ยื่นส่งเงินย่อยจำนวนหนึ่ง สั่งธูป กระดาษเงินกระดาษทอง และของอื่นๆ ให้ส่งไปที่ร้านขายโลงศพปลายยามเซิน

เมื่อได้ยินว่าให้ส่งไปที่ร้านโลงศพ เถ้าแก่ผู้นั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อย หรือว่าตาเฒ่ากวนเขา…”

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “คืนนี้เขาก็จะไปแล้ว”

เถ้าแก่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ นำเงินจำนวนนั้นคืนให้นาง เอ่ย “ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันในถนนสายนี้ เงินนี้ไม่จำเป็นแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าจะจัดส่งไปให้อย่างเหมาะสมแน่นอน นับว่าช่วยไปส่งเขาแล้ว”

“ขอให้เทพประทานพรแก่ท่าน อย่างไรก็รับไว้เถิด นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ฉินหลิวซีไม่ได้รับคืนมา วางไว้แล้วเดินจากไป

หลังจากออกจากร้านสีขาวแล้ว ฉินหลิวซีก็วิ่งไปอีกสองสามร้าน ล้วนไปสั่งสิ่งของต่างๆ สุดท้ายก็ไปที่ร้านอาหารชื่อว่าเฉิงจี้ สั่งอาหารหนึ่งโต๊ะให้ไปส่งที่ร้านโลงศพในยามพลบค่ำเช่นเดิม

เมื่ออวี้ฉังคงเห็นว่าอีกฝ่ายจัดเตรียมทุกอย่างอย่างเหมาะสมก็อดมองตามไปไม่ได้ ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

“ชายชราผู้นั้นจะหมดอายุขัยแล้วหรือ” อวี้ฉังคงอดถามไม่ได้

ฉินหลิวซีอุทานด้วยความสงสัย เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าท่านมองออกแล้วเสียอีก”

อวี้ฉังคงยิ้มเจื่อนๆ “ข้ามองออกแล้ว แต่ท่าทางของท่านกลับดูสงบมาก”

เห็นได้ชัดว่าดูสงบมาก ราวกับว่ากำลังจัดการเรื่องปกติทั่วไป แต่ความสงบเช่นนี้กลับทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ โศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

ฉินหลิวซีเอ่ย “จุดจบของชีวิต เป็นเรื่องที่มีความสุขสำหรับผู้เฒ่าทุกคน ย่อมสงบเป็นธรรมดา สำหรับข้าแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงแค่วัฏสงสาร สรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาจากไป วันใดวันหนึ่งก็จะหวนกลับคืนมาอย่างเงียบๆ”

อวี้ฉังคงเงียบอยู่นาน “ท่านรู้จักเขานานแล้วหรือ จึงได้รับคำขอ”

“รู้จักมาหลายปีแล้ว ตาเฒ่าไม่มีโชคอะไรเลย ชีวิตลำบาก บุตรชายก็บังเอิญมาตายขณะที่นำโลงศพไปส่งตอนยังหนุ่มๆ ลูกสะใภ้ทนไม่ไหวก็ไปแต่งงานใหม่ หลานชายของเขาผู้นั้นก็เช่นกัน เขากินไข่จนสำลักติดคอตายตอนอายุห้าขวบ ในครอบครัวจึงเหลือเขาเพียงคนเดียว” ฉินหลิวซีใช้ปลายเท้าเตะก้อนกรวดจนกระเด็น เอ่ยต่อว่า “เขาไม่มีลูกหลาน ในเมื่อจะไปแล้ว ข้าก็จะส่งเขา นับว่าไม่สูญเปล่าที่ได้รู้จักกัน”

อวี้ฉังคงเห็นว่าก้อนกรวดที่อีกฝ่ายเตะไปนั้น กระเด็นไปโดนขโมยที่กำลังจะแตะถุงเงินของสตรีผู้หนึ่ง ทำเอาขโมยผู้นั้นดึงมือกลับคืนมาพลางร้องด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นจะรู้ตัวแล้ว เหลือบมองด้วยสายตาตักเตือนจากนั้นก็เร่งรีบเดินหนีไป

อวี้ฉังคงอดจ้องมองฉินหลิวซีไม่ได้

ฉินหลิวซียิ้มอย่างไร้เดียงสา “สตรีผู้นั้นมีลูกป่วยอยู่ที่เรือน จะแย่เอาหากถูกขโมยเอาเงินค่ายาไป”

อวี้ฉังคงอดยกมือขึ้นไปลูบมวยผมของอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจคิดว่าช่างเป็นคนมีน้ำเสียงเย็นชา แต่ในบางสถานการณ์หัวใจของอีกฝ่ายนั้นกลับอ่อนโยนกว่าใครๆ

ช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เมื่อทั้งสองคนเดินกลับมา มีนักพรตเต๋าผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมเต๋า แบกธงขาวไว้ในกระเป๋าข้างหลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง

“โอ้ คุณชายน้อย ข้าเห็นว่าจุดกลางหว่างคิ้วของท่านหม่นหมอง ดูเหมือนว่า…หืม?” นักพรตเต๋าหรี่ตามองฉินหลิวซีอย่างละเอียด ร้องอุทานพลางเอามือปิดตา

ปวด ปวดจริงๆ

อวี้ฉังคงรู้สึกขบขันเล็กน้อย มองไปยังฉินหลิวซี นักต้มตุ๋นที่พูดถึงเมื่อครู่ได้มาหลอกท่านถึงที่นี่แล้ว ดูสิว่าท่านจะทำอย่างไร

ฉินหลิวซีก็รู้สึกสนุก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีนักบวชคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือมาลองวิชาต่อหน้าตน นี่นับว่าเป็นคนแรก

ครึ่งเซียนเถี่ย นับว่ากล้ามาก!

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านนักพรตบอกว่าจุดกลางหว่างคิ้วของข้าหม่นหมอง จะมีภัยพิบัตินองเลือดในมิช้านี้หรือ เร็ว รีบบอกมาว่าต้องแก้อย่างไร ข้าจะทำตาม ขอท่านนักพรตโปรดช่วยข้าให้หลุดพ้นจากภัยร้ายด้วยเถิด”

หากเป็นคนอื่นเอ่ยเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะร้องตะโกนอยู่ในใจว่าได้พบกับเหยื่ออันโอชะเข้าแล้ว!

แต่คนตรงหน้าผู้นี้?

ครึ่งเซียนเถี่ยขยี้ตาไปมาเพราะเจ็บปวดจนน้ำตาไหล ในใจรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว

คนธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะพูดถึงการที่จุดกลางหว่างคิ้วหม่นหมองทำให้มีภัยพิบัตินองเลือดได้อย่างคุ้นเคยเช่นนี้ ซ้ำยังเอ่ยถึงการแก้ให้หลุดพ้นจากภัยร้าย อีกฝ่ายต่างหากที่จะหลอกลวงเขา!

หรือไม่ก็เพียงแค่ล้อเลียนเขาเท่านั้น

อีกทั้งโหงวเฮ้งของคนผู้นี้ ยังไม่ทันได้มองอย่างละเอียดก็เหมือนกับถูกเข็มทิ่มแทงแล้ว ไม่สามารถมองดูได้เลย

แย่แล้ว วันนี้ก่อนออกจากเรือนเขาไม่ได้ดูฤกษ์มงคล!

เขาโบกมือพลางเอ่ย “คุณชายน้อยเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่ข้าแค่เอ่ยไปตามความเคยชิน เพียงแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น ไอ้หยา ต้องโทษปากไม่ดีของข้า! ”

เขาทำท่าทางตบปากตัวเอง เอ่ยว่า “คุณชายน้อย เสียมารยาทแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

ครึ่งเซียนเถี่ยโค้งคำนับฉินหลิวซี เดินอ้อมนางไป

คนผู้นี้หลอกไม่ได้ต้องหนีให้พ้น

“หยุด” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ใช้มือดึงเบาๆ ให้เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าที่เดิมอีกครั้ง เอ่ยว่า “คนอย่างเจ้าไม่มีจรรยาบรรณ จะเป็นนักต้มตุ๋นหลอกคนก็ต้องทำให้ครบถ้วน พูดมาเพียงประโยคเดียว เห็นว่าข้าเป็นคนจน ไม่คุ้มให้เจ้าหลอกอย่างนั้นหรือ”

ดูเอาเถิด จะหลอกเขาได้อย่างไรกัน

ครึ่งเซียนเถี่ยรู้สึกเศร้าใจ ว่าแล้วว่าวันนี้ตอนออกจากเรือนสำลักน้ำลาย รู้ว่าต้องโชคร้าย แต่เพราะมีเงินเหลือไม่มากนักจึงต้องออกมาหาเงิน สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร

เขายิ้มอย่างรู้สึกผิด เอ่ย “คุณชายน้อย เป็นข้าที่มีตาหามีแววไม่ มาชนเข้ากับท่าน ข้าน้อยขออภัย”

เขาโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ

ฉินหลิวซีมองหน้าเขา เอ่ยว่า “ให้เจ้าทำนายเจ้าก็ทำนายสิ”

เมื่อครึ่งเซียนเถี่ยเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไปก็ทำหน้าบึ้งตึง เอ่ย “เหลวไหล การทำทายดวงชะตาจะมาทำนายมั่วซั่วเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่สามารถทำนายให้ท่านได้ พอใจหรือยัง”

“เช่นนั้นก็ทำนายให้เขา โหงวเฮ้งเป็นอย่างไร” ฉินหลิวซีชี้ไปที่อวี้ฉังคงที่ยืนอยู่ข้าง

เขามองไปยังอวี้ฉังคง คนผู้นี้เต็มไปด้วยรัศมีทองคำอันสูงส่ง จะต้องมาจากตระกูลชั้นสูง ดูเป็นคนมีคุณธรรมและความสามารถ จะต้องเป็นคุณชายตระกูลใหญ่เหล่านั้นแน่นอน ลองดูอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้น เหตุใดโหงวเฮ้งของสองคนนี้จึงมองเห็นไม่ชัด

ครึ่งเซียนเถี่ยเอ่ยอย่างลำบากใจ “คุณชายน้อย ข้าเป็นเพียงนักต้มตุ๋นผู้หนึ่ง วิชาความรู้ไม่ดี ทำนายไม่ได้ ช่วยปล่อยข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”

“มองอะไรไม่ออกเลยหรือ”

ให้ตายเถอะ หากไม่ทำนายก็คงไปไม่ได้สินะ

ครึ่งเซียนเถี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “หากข้าดูไม่ผิด คุณชายผู้นี้เสียบิดามารดาไปตั้งแต่อายุยังน้อย มากกว่านี้ข้าก็ดูไม่ออกแล้ว”

สีหน้าของอวี้ฉังคงไม่เปลี่ยน แต่มือที่ไพล่หลังอยู่ ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็นได้

ฉินหลิวซีพยักหน้า “นักต้มตุ๋นอย่างเจ้าทำพิธีบวงสรวงเป็นหรือไม่”

ครึ่งเซียนเถี่ยอุทานด้วยความประหลาดใจ ในดวงตาแฝงไว้ด้วยความสงสัย

“ได้หรือไม่”

“ก็พอได้อยู่ แต่ว่าท่าน”

ฉินหลิวซีโยนเงินให้จำนวนหนึ่ง เอ่ย “ปลายยามเซินไปรออยู่ที่ร้านโลงศพกวนจี้ในตรอกโซ่วสี่” จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป เหลือเพียงหนึ่งประโยคทิ้งไว้ “เจ้ารับเงินไปแล้ว หากไม่ไป ข้าจะทำให้เจ้าต้องพบกับห้าโทษสามวิบัติ!”

ครึ่งเซียนเถี่ยสีหน้าย่ำแย่ลง “?”

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆขาวลอยอยู่เหนือศีรษะ ให้ตายสิ ที่แท้คนที่จุดหว่างคิ้วหม่นหมองคือเขานี่เอง!

***************