ตอนที่ 120 พบกันที่ถนนเทียนโย่ว

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ถนนเทียนโย่วเป็นถนนใหญ่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง สองข้างถนนอัดแน่นไปด้วยร้านค้าเรียงราย

วันที่เจ็ด ท้องถนนก็ไม่มีองครักษ์พกดาบออกลาดตระเวนแล้ว ท้องถนนกลับคืนสู่ความคึกคักดังเดิมแล้ว เพียงแต่ว่าหากมองให้ละเอียด หัวและท้ายถนนยังคงมีบรรยากาศแปลกๆ ยากคาดเดาอยู่บ้าง

ตอนเที่ยง ณ หลังม่านประตูใหญ่ร้านอาหาร

“นี่ พวกเจ้าว่าเมื่อวานใช่ฮ่องเต้คิดเสียใจภายหลังไหม ไม่อยากให้องค์หญิงสามโยนลูกแพรเลือกราชบุตรเขยแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดตรงๆ ดังนั้นจึงได้…”

“ชู่ว์…เจ้าไม่เอาหัวแล้วหรือ! ฮ่องเต้ยังกล้าวิจารณ์!”

“หรือว่าพูดไม่จริง! ฮ่องเต้ก็คน กล่าววาจาแล้วจะคืนคำได้อย่างไร!”

“ก็ออกประกาศขอโทษแล้วอย่างไร! บอกว่ามีเหตุราชกิจที่ต้องหารือเร่งด่วน ไม่อาจไม่ยกเลิกงานขบวนเสด็จรอบเมืองและงานหาคู่เมื่อวาน”

“ออกประกาศขอโทษ? เชอะ หลอกเด็กสามขวบเหอะ พวกเจ้าก็เชื่อด้วย! ข้าว่านะ ฮ่องเต้ไม่คิดจะให้องค์หญิงสามแต่งกับสามัญชนอย่างพวกเราอยู่แล้วเถอะ”

“ข้าได้ยินมาว่า ฮ่องเต้ยังต้องการจัดงานประลองเปิดกว้างอีกนะ ผู้ใดชนะการประลอง ผู้นั้นก็จะได้แต่งกับองค์หญิงสาม”

“จริงหรือ ข่าวจากไหน?”

“เช้าวันนี้แพร่มาจากในวัง พวกเจ้าคงรู้ว่าน้องชายภรรยาข้าทำงานในวัง”

“กล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นแปดเก้าส่วนย่อมจริง?”

“จริงแล้วอย่างไร! บอกว่าแข่งขันกันยุติธรรม ผู้ใดจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนเร้นอยู่ไหม…”

“อำนาจไม่เข้าใครออกใคร ไม่แน่พวกเราอาจมีโชควาสนานี้นะ!”

“เชอะ หากเจ้าจะไป ข้าเดาว่ารอบแรกก็โดนคัดออกแล้ว…”

“ทำไม? ดูถูกข้า!”

“ไม่ใช่ดูถูก แต่เพราะหน้าตาเจ้ามันแบบว่าไม่ได้นะ องค์หญิงหาราชบุตรเขย วันหน้ายังต้องเข้าออกวังหลวงบ่อยๆ ดูหน้าตาท่าทางทรงเกียรติของเจ้าแล้ว…จุ๊ๆ…”

“เชอะ รู้แต่กล่าววาจาเหน็บแนมผู้อื่น เก่งจริงก็ไปลองสิ ทำมาหดหัวเป็นเต่า!”

“เจ้า! ลองก็ลอง! พวกเราก็เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ จะกลัวการประลองหรือ!”

“เจ้าขี้โม้กระมัง!”

“เชื่อเถอะ…”

……

“ครึกครื้นกว่าเมืองฝานลั่วมาก” ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งอยู่บนชั้นสองร้านน้ำชามองออกไปดูความครึกครื้นบนท้องถนน พลางยิ้มบางถอนหายใจกล่าว

“เมืองเฟิงเฉิงคนมาก แค่ราษฎรที่ตั้งรกรากในเมืองก็มากกว่าเมืองฝานลั่วเจ็ดแปดเท่าแล้ว ยังไม่นับพวกที่เข้าออกจากต่างเมือง แค่พื้นที่แค่วังหลวงก็ใหญ่กว่าเมืองฝานลั่วรวมกันห้าเมืองแล้ว ในนี้ยังมีจวนขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไปครึ่งเมืองแล้ว ย่อมแออัด” เหลียงเอินไจ่ที่นั่งตรงกันข้ามยิ้มพลางอธิบายละเอียด

วันนี้เขารับคำสั่งท่านพ่อพาน้องสาวและน้องเขยออกมาชมถนนเทียนโย่วที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้ทุกคนไม่เบิกบานกันไปทั้งวัน ต้องต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกลให้ดีๆ สักหน่อย

“โชคดีไม่ได้พาเซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ออกมาที่นี่ วุ่นวายจริง” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบขำพลางส่ายหน้า ความรุ่งเรืองและวุ่นวายในเมืองหลวงไม่เหมาะกับทารกแฝดที่อายุไม่ถึงห้าเดือน เพียงแต่ลำบากซือถูอวิ๋นแล้ว ถูกหลินซือเย่าให้อยู่เฝ้าทารกแฝด

“พี่ใหญ่ อีกสองวันพวกเราก็ออกเดินทางกลับเมืองฝานฮัว” ซูสุ่ยเลี่ยนจิบชาหอมที่เฉพาะเมืองหลวงเฟิงเฉิง หาจังหวะกล่าวกับเหลียงเอินไจ่

“อีกสองวันก็ไป? ทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อย ท่านแม่รอคอยพวกเจ้ามาตั้งนาน หรือว่ามีอะไรในจวนทำให้พวกเจ้าไม่พอใจ” เหลียงเอินไจ่ขมวดคิ้ว สองปีก่อนไม่รู้ว่านางเป็นลูกสาวแท้ๆ พระชายาเฒ่า ก็มีบรรดาลูกสาวภรรยาน้อยท่านพ่อไปหาเรื่องนางไม่น้อยแล้ว ตอนนี้แม้ว่าประกาศสถานะแท้จริงนางให้เป็นที่รู้กันในจวนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนมาพูดปากมากต่อหน้านาง การแย่งชิงในจวนนั้นไม่เคยสงบเลยสักวัน

“ไม่ใช่ ความจริงก็คือที่บ้านมีงานไม่น้อย อย่างไรก็คงไม่อาจเอาแต่อยู่ที่นี่” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางเอ่ยปฏิเสธเหลียงเอินไจ่อ้อมๆ พูดตามตรง จวนอ๋องกับนางไม่ได้ผูกพันอะไรกันมากนัก สิ่งเดียวที่ผูกกันก็คือร่างที่นางครอบครองนี้เท่านั้น ที่พอดีเป็นคุณหนูภรรยาเอกจากจวนอ๋อง เพียงแต่ในจวนวุ่นวาย ทำให้นางแทบไม่มีเวลาดูแลทารกแฝดให้ดี ไม่ใช่ภรรยาน้อยท่านพ่อมาเยี่ยมนางแม่ลูก ก็เป็นน้องสาวคนไหนสักคนมาชะเง้อแอบมอง…

ภาษิตกล่าวได้ดี หากไม่ต้องใจ เงียบวาจาเสียดีกว่า แต่นำมาใช้กับบรรดาภรรยาน้อยท่านอ๋องผู้เฒ่าไม่ได้ แม้เงียบวาจา แต่พวกนางก็หาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาพูดได้ไม่หยุด วันคืนเช่นนี้ทำให้นางยิ่งรู้สึกรำคาญใจขึ้นเรื่อยๆ

จำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ตระกูลซู นางจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร แต่ว่าเมื่อก่อนนางมีแค่แม่รองคนเดียวและน้องสาวจากแม่รองคนเดียว ไม่ได้มีแม่รองเจ็ดคน น้องสาวแปดคนเช่นตอนนี้ นี่ยังไม่นับรวมน้องสาวอีกห้าคนที่ออกเรือนไปแล้วนะ

“เมืองฝานฮัวจะไปมีเรื่องอะไรมากมาย นับประสาอันใดกับการที่ตอนนี้ไม่ใช่มีเซียวเหิงสองสามีภรรยาดูแลอยู่หรือ มีอะไรต้องเป็นกังวล” นางไปแล้ว เขาจะไปหาคู่ประลองที่ฝีมือร้ายกาจอย่างหลินซือเย่าได้ที่ไหนกัน!

เมื่อวานก่อนนอน เขาว่างไม่มีอะไรทำ ก็ลากหลินซือเย่าไปห้องฝึกยุทธ์ประลองกันหลายกระบวน นานแล้วที่เขาไม่อาจก้าวข้ามขั้นวิทยายุทธ พริบตาก็บรรลุขั้นเจ็ด ทำให้เขาดีใจมาก เดิมยังคิดว่าอาศัยโอกาสที่เขาอยู่ที่นี่ จะได้ฝึกให้ดีๆ ไม่คิดว่าเขาจะกลับไปเร็วเช่นนี้

“พี่ใหญ่ อย่างไรข้าก็ออกเรือนแล้ว จวนอ๋อง…ก็เป็นเพียงแค่บ้านเดิม จะอยู่ยาวได้อย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นสีหน้าเหลียงเอินไจ่ไม่เบิกบานอย่างเห็นได้ชัดก็อธิบายอย่างนึกขำ

“เอาละ ข้ารู้แล้ว ใจเจ้ามีแต่เจ้าหมอนี่ ไหนเลยจะมีท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ใหญ่เล่า!” เหลียงเอินไจ่สบถไม่พอใจออกมา

ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนไม่อาจมีวาจากล่าวต่อได้อีก นี่ใช่เหลียงเอินไจ่ที่ปกติวางตัวสูงศักดิ์ แลดูสง่างามคนนั้นจริงหรือ!

“ไม่ต้องไปสนใจเขา พวกเราไปเดินเล่นที่ถนนกัน” เห็นว่าพักผ่อนได้พอสมควรแล้ว หลินซือเย่าก็เข้าประคองภรรยาตัวน้อยลงจากชั้นสองไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

“เฮ้ๆๆ อย่างไรข้าก็เป็นพี่ใหญ่พวกเจ้านะ ไม่รู้จักอาวุโส!” เสียทีที่เขารู้สึกดีว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคเหมือนกัน ความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นมาต้องถูกตีตกไปด้วยความโมโหน้องเขยที่ไม่เห็นพี่ภรรยาเช่นเขาในสายตา เชอะ!

แต่จะว่าไป หลงซีเยว่ที่ปกติคอยต่อปากต่อคำกับเขาก็ตามตาแก่โอวหยางกลับเซวี่ยหมิงไปแล้ว อีกไม่นานน้องเขยวิทยายุทธสูงส่งของเขาก็จะพาน้องสาวเขากลับเมืองฝานฮัวไปอีก วันหน้าเมืองหลวงก็ไม่มีอะไรให้เขาสนใจอีกแล้ว รู้สึกไร้แรงบันดาลใจที่จะฮึดสู้จริง

เอาเถอะๆ ในเมื่อองค์กรจอมยุทธ์มีน้องเขยมาช่วยปิดบังไว้แล้วก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็คงต้องแล่นไปเซวี่ยหมิงหานางมาโต้ฝีปากแล้วกัน นางจะได้ไม่ถูกเรื่องแต่งงานก่อนหน้านี้ลืมการมีอยู่ของเขาไป นางเป็นของเขา แม้ว่าในใจเขายังไม่คิดยอมรับเร็วเกินไปก็ตาม

……

“อาเย่า ที่นี่มีของหลายอย่างมากมายที่เมืองฝานลั่วไม่มี เลือกสองสามอย่างกลับไปเป็นของฝากดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนจ้องมองของประดับเล็กๆ ตุ๊กตาผ้า และของอื่นๆ ที่วางเรียงขายสองร้านริมทางตาเป็นมัน…แม้ว่าของแปลกใหม่แต่ราคาก็ไม่แพง เลือกติดมือกลับไปสองสามชิ้นก็ไม่เลว

“ได้” หลินซือเย่าอมยิ้มพยักหน้า ในใจรู้ว่านางชอบสะสมของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยฝีมือประณีตน่ารักพวกนี้มาก แม้ว่าเขาจะไม่สนใจของพวกนี้ นอกจากเอาไว้วางตั้งบนโต๊ะแล้วจะเอาไปทำอะไรได้อีก

แต่นางชอบก็พอ

เห็นนางไปหยุดหน้าร้านเล็กๆ ขายเครื่องประดับและงานฝีมือประณีตร้านหนึ่ง ก็รั้งมือนางเดินเข้าไปในร้านทันที จะได้ให้นางค่อยๆ เลือก

“อืม…ปิ่นชิ้นนี้ฝีมือดีมาก…แก้วชุดนั้นน่ารักมาก…ยังมีต่างหูรูปหัวใจนี่อีก…” ซูสุ่ยเลี่ยนชมไม่ขาดปากหลังเดินวนรอบร้านรอบหนึ่ง จึงได้มาหยุดหน้าโต๊ะคิดเงิน เรียกเถ้าแก่ร้านห่อให้นาง นางเลือกเครื่องประดับฝีมือประณีตมาสิบกว่าชิ้นได้ พลันได้ยินเสียงเรียกนาง

“สุ่ยเลี่ยน!” เสียงสตรีดังกังวานใสที่แสนคุ้นเคยอย่างยิ่งดังอยู่ข้างหูนาง

“ซีเยว่!” ซูสุ่ยเลี่ยนอดกุมปากที่ส่งเสียงดังตกใจไม่ได้ หลงซีเยว่! นางอยู่ในชุดสตรีปกติสามัญที่ทำการค้าขาย เป็นหลงซีเยว่ที่หายไปจากวังหลวงเมื่อวาน!

“เจ้า…เจ้า…” ไม่ได้บอกว่านางถูกชาวเซวี่ยหมิงช่วยออกไปแล้วหรือ ทำไมมาอยู่ที่นี่ และยังอยู่ในชุดแบบสตรีค้าขาย?

“เรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาว เข้าไปคุยด้านในกันเถอะ” หลงซีเยว่กวักมือเรียกชิงหลันมาช่วยดูร้านก่อน ตนเองยิ้มดึงซูสุ่ยเลี่ยนเข้าไปด้านใน

“คุณชายหลิน ขอตัวฮูหยินท่านสักครู่ ไม่ถือสากระมัง วางใจได้ อย่างมากครึ่งชั่วยาม ข้าก็จะคืนท่านอย่างปลอดภัย” หลงซีเยว่หันไปกล่าวกับหลินซือเย่าที่กำลังจะเดินตามซูสุ่ยเลี่ยนเข้าไปด้านใน ปิดประตูม่านใส่หน้าเขา ปิดบังร่างนางกับสุ่ยเลี่ยนลง

หลินซือเย่าจ้องมองม่านอยู่นาน แน่ใจว่าด้านในมีแต่เสียงสองคนคุยกันหัวเราะดังออกมา จึงได้ถอยออกไปเฝ้าอยู่ด้านนอก ในใจก็คอยระวังการเคลื่อนไหวด้านใน

……

“เจ้าทำเช่นนี้ไม่โดนพวกลาดตระเวนค้นเจอหรือ” พอสองคนลงนั่ง ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ในเมื่อหายตัวไปจากวังหลวง ทำไมจึงได้มาเดินเอ้อระเหยกลางถนนเช่นนี้ได้

“ไม่เป็นไร หลงซีเยว่ติดตามหมอโอวหยางไปเซวี่ยหมิงแล้ว ตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าก็คือเถ้าแก่หยางจิ้งจือแห่งร้านเจินหย่าเก๋อ” นี่คือชื่อนางตอนอายุยี่สิบในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด สิบปีจากนั้นจึงได้มาใช้อีกรอบ คิดถึงชื่อนี้จริง! หลงซีเยว่ อ้อ ไม่สิ จากนี้ไปนางก็คือหยางจิ้งจือตัวจริงเสียงจริงแล้ว นางหันไปมองซูสุ่ยเลี่ยนแววตาซุกซน เหมือนไม่กลัวสักนิดว่าจะในวังท่านนั้นจะหานางพบได้ทุกเมื่อ

“แต่ว่า…เจ้ากับชิงหลันปรากฏตัวพร้อมกันบนถนนเทียนโย่ว…” แม้เปลี่ยนชื่อแซ่สถานะ อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ไหม ถึงกับกล้ามาเปิดร้านค้าใกล้ๆ วังหลวง จุ๊ๆ หลงซีเยว่นี้ใจกล้าไม่ใช่เล่น

“เอาน่า หลายวันนี้ฮ่องเต้ไม่มีเวลามายุ่งกับข้า รอให้เรื่องที่นี่เรียบร้อย ข้าก็จะไปจากเมืองหลวงแล้ว”

“เรื่องอะไร ต้องให้ข้าช่วยไหม”

“ตอนนี้ยังไม่ต้อง แต่ได้มาพบเจ้าที่นี่ ก็แสดงให้เห็นว่าเราสองมีวาสนาต่อกัน ข้าตัดสินแล้วว่าจากเมืองหลวงไปก็จะไปตั้งรกรากที่เมืองฝานลั่ว อืม จะให้ดีเจ้าก็เหลือห้องให้ข้าสักห้อง จะได้สะดวกตอนข้าไปเยี่ยมทารกแฝด อย่างไรพวกเขาข้าก็ทำคลอดให้ คงต้องรับข้าเป็นแม่บุญธรรมไหม” หยางจิ้งจือกล่าวไปมาก็มาสู่เรื่องที่จะรับหลินเซียวกับหลินหลงเป็นลูกบุญธรรม ทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนมีท่าทีแทบอยากจะร้องไห้

“นี่ยังไม่รีบ รอให้เจ้ามาเมืองฝานฮัวค่อยว่ากันเถอะ”

“ข้าพูดจริงนะ พวกอาจารย์เขา…เอ่อ คิดว่าชาตินี้คงไม่เหยียบแผ่นดินต้าหุ้ยแล้ว ข้าอยู่ที่นี่ไร้ญาติขาดมิตร ที่พอจะนับญาติได้ก็มีแต่เจ้าแล้ว…”

“หมอโอวหยางเขา…“

“…พูดไปแล้วก็ยาว…”