บทที่ 89 ให้เธอได้ประสบพบกับไออุ่นของโลก

เจ้าของร้านพิศวง

โครม!

หลินเจี๋ยเตะประตูร้านหนังสือของตน เขาวางเด็กสาวไว้บนเก้าอี้เอนตัว แล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา พรางคิดกับตัวเองว่าเขาอาจพบกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างเข้าเสียแล้ว

ทว่าหากไม่ทำอะไรเลย เมื่อน้ำท่วมขัง สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็จะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าเดิม

หลินเจี๋ยสังเกตเด็กสาวในเสื้อโค้ตสีขาวเปื้อนเลือด เรือนผมยาวและเปียกของเธอลู่ไปตามใบหน้า แต่เลือดบนแก้มนั้นถือว่าแจ่มชัดนัก

ตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวขาวราวหิมะจนดูโปร่งแสงนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลสดที่มีเลือดหยดลงมา

บาดแผลทั่วทั้งร่างดูมีทิศทางของมัน และบางที่ก็ปะปนมาพร้อมกับแผลไหม้ ทำให้หลินเจี๋ยคาดเดาว่าเด็กสาวคนนี้ดูจะเป็นเหยื่อของแรงระเบิด

เธอน่าจะอยู่ห่างจากจุดระเบิดอยู่นี่สิ…

หลินเจี๋ยหน้าตึง แผลจากแรงอัดมักจะทำให้อวัยวะภายในเสียหายหนัก ในขณะที่ด้านนอกมีพอสมควรเสียด้วย คลื่นระเบิดรุนแรงสามารถทำให้อวัยวะภายในขาดสะบั้น และมีแนวโน้มสูงว่าจะมีอวัยวะภายในตกเลือดและกระดูกร้าว

ทว่าบาดแผลบนตัวของผู้หญิงคนนี้ถือว่าน้อย และเลือดออกจากข้างในก็คงไม่ทำให้เสียเลือดหนักขนาดนี้

อีกอย่าง รอยเลือดบนเสื้อโค้ตขาวนั้นเป็นรอยสาดกระเซ็นซึ่งไม่เข้ากับร่องรอยบาดแผลบนตัวเธอสักเท่าไร นั่นแปลว่าเลือดนี้อาจไม่ใช่ของเธอก็เป็นได้

หลินเจี๋ยไม่รู้เลยว่าควรจะวิเคราะห์ว่าเกิดเหตุอะไรบ้าง

ดังนั้นการตอบสนองแรกของชายหนุ่ม ก็คือการใช้เครื่องมือสื่อสารในการต่อสายหาโรงพยาบาล แต่ทว่า…

ปี๊บ… ปี๊บ…

เขากลับพบว่าสัญญาณสายไม่ว่าง

หลินเจี๋ยถอนหายใจ เมื่อเทียบกับสถานการณ์อีกฝั่งที่มีไฟโหมกระหน่ำก็ถือว่าสมเหตุสมผล เกรงว่าอย่างน้อยถนนหลายสายได้รับผลกระทบไปด้วย และทีมฉุกเฉินอาจไม่สามารถรับมือกับความเสียหายวงกว้างระดับนี้ได้

อย่างน้อยที่สุด สายเรียกโรงพยาบาลในพื้นที่นี้อาจไม่ว่างเลยแน่นอน

เขาวางเครื่องมือสื่อสารลง และตัดสินใจจะลองติดต่อใหม่ในอีกสักพัก

สิ่งที่เรียกว่าเครื่องมือสื่อสาร แท้จริงก็คือโทรศัพท์มือถือของโลกนี้นี่แหละ

อย่างที่เคยเปรยไปแล้ว เทคโนโลยีพื้นฐานในอาซีร์นั้นเทียบได้กับโลกในยุคปี 80 และ 90 ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงที่โทรศัพท์อิฐได้เริ่มพัฒนาเป็นโทรศัพท์พับเก็บพอดี…

ทว่าการพัฒนาของมือถือในโลกนี้ดูจะไวกว่านิดหน่อย เครื่องมือสื่อสารโลกนี้เป็นมือถือแบบสไลด์จอไปแล้ว

แน่นอนว่าของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะซื้อกันได้ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับทีวียุคเก่าคือสิ่งที่เจ้าของร้านข้าง ๆ เขาเปิดโอ้อวดอยู่เสมอ ผู้สามารถครอบครองเครื่องมือสื่อสารได้อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเยอะพอสมควร…

อีกทั้งเครื่องมือสื่อสารของหลินเจี๋ยนี้ เขาได้มาจากลูกค้าคนหนึ่ง

หลินเจี๋ยรู้จักคนเพียงหยิบมือเดียว และการที่อุตสาหกรรมเกมช้าเกินต้านย่อมแปลว่าขนาดเกมงูยังไม่มีให้เล่น ดังนั้นหลินเจี๋ยเลยไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือสื่อสารนี้เลย แต่เขาก็ถือไว้ติดตัวตลอดเวลาเผื่อเหตุฉุกเฉิน

ความจริงยืนยันแล้วว่าชายหนุ่มคิดถูก

เมื่อได้ลองต่อสายหาโรงพยาบาลอีกครั้งและสายไม่ว่างอีกรอบ หลินเจี๋ยจึงเห็นป้ายชื่อห้อยคอเด็กสาวอยู่

เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา ด้านหลังป้ายชื่อนี้มีสามเหลี่ยมสีขาวจาง ๆ ปรินต์ติดไว้ ในขณะที่โอโรโบรอสซึ่งบิดจนผิดรูปประดับไว้บริเวณขอบ

ไม่เคยเห็นสัญลักษณ์แบบนี้มาก่อนเลยแฮะ…

หลินเจี๋ยคิดในใจ เขาพลิกป้ายชื่อกลับไปและแอบสับสนเมื่อเห็นว่ามันมีภาพของชายหนุ่มอยู่

ความสนใจของหลินเจี๋ยอยู่ที่รอยแผลและรอยเลือดบนเสื้อโค้ตมาตลอด เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าเสื้อนี้ไม่ใช่ของเธอเอง

เมื่อพิจารณาวิกฤตที่แพร่กระจายจากไกล ๆ และร่างอันเปียกโชกของเด็กสาวคนนี้แล้ว หลินเจี๋ยก็เดาว่าเธออาจจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบที่หนีออกมาจากเขตระเบิดและเปลวเพลิงได้สำเร็จ

แต่เธอกลับมีเสื้อโค้ตนักวิจัยที่ไม่ใช่ของตัวเอง ซ้ำยังมีเลือดปริมาณมากอีกด้วย นั่นแปลว่าเธอไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบธรรมดา

หลินเจี๋ยคาดเดาตามที่คนปกติธรรมดาเขาทำกัน

เสื้อนี้ไม่ใช่ของเด็กคนนี้ แต่เธอเองก็ไม่น่าจะสวมมันได้เหมือนกัน

ร่องรอยความเสียหายของเสื้อเธอไม่เข้ากับรอยแผลบนตัว แน่นอนว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ใส่ชุดนั้นอยู่ตอนที่เจอแรงระเบิดเข้า

นั่นแปลว่าเธอสวมชุดนี้หลังได้รับบาดเจ็บแล้ว

แต่คนบาดเจ็บจากแรงระเบิดที่ไหนจะยังมามีอารมณ์ถอดเสื้อคนอื่นมาใส่แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันเล่า

แถมป้ายชื่อแขวนอยู่ที่คออีก

แน่นอนว่าต้องมีคนช่วยเธอสวมชุดนี่ และนั่นอาจเป็นเจ้าของป้ายชื่อก็ได้

ส่วนสาเหตุและแรงจูงใจของการปลอมตัว หลินเจี๋ยก็ทำได้แค่เดาและไม่มีทางค้นหาความจริงได้เลย

“เฮือก…”

ในตอนนั้นเอง ขนตาของเด็กสาวก็สั่นก่อนจะเปิดกว้าง เผยให้เห็นแววตาอันสับสนและระมัดระวัง

หลินเจี๋ยทรุดตัวลงไปนั่งยอง ๆ และยื่นมือไปลูบหัวเธอ พยายามฉีกยิ้มอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ตื่นแล้วสินะครับ ไม่สบายตัวหรือเปล่า อย่าเพิ่งขยับมากนะครับ

“แผลของเธอสาหัสมากทีเดียว ให้ผมลองติดต่อโรงพยาบาล…”

เด็กสาวเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของคนคนนี้แล้วจึงรีบสังเกตสภาพแวดล้อมแปลกตา ร่างกายเกร็งของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าเขาเป็นชายหนุ่มผู้อยู่ตัวคนเดียว

ไม่มีความผันผวนของอีเธอร์ เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น

เขาอาจจะคิดว่าเลือดบนร่างกายเธอเป็นของเธอเอง ถ้าอย่างนั้นแล้ว การได้รับความเชื่อใจจากเขาก็ถือว่าไม่ยากอะไร

เด็กสาวเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของหลินเจี๋ย แล้วกระซิบเสียงแหบแห้ง “อย่าเรียกโรงพยาบาลนะคะ พวกเขาอยากฆ่าหนู… หนูหนีมา”

หลินเจี๋ยสับสนไปพักใหญ่ เมื่อมองร่างกายอันบอบบางภายใต้เสื้อขนาดใหญ่แล้ว เขาก็นิ่งคิดไปเล็กน้อย และตัวละครอันโด่งดังของซีรีส์เจ้าหนูยอดนักสืบโคนันก็ผุดขึ้นมา… ไฮบาระ ไอ นั่นเอง!

เท่าที่เขาจำได้ ไฮบาระ ไอได้หลบหนีมาจากองค์กรชุดดำและหมดสติข้างทางในเสื้อกาวน์ตัวใหญ่หลังเธอตัวเล็กลงนี่…?

หรือว่า…

บางทีเรื่องตัวเล็กลงนี่คงไม่ใช่ แต่แปลว่าระเบิดกับอัคคีภัยนั่นเกิดขึ้นมาจากงานวิจัยอันตรายลับสุดยอดงี้เหรอ

สมมติฐานนี้ เมื่อรวมเข้ากับคำพูดของเด็กสาวแล้วถือว่าเข้าเค้า

เจ้าของเสื้อโค้ตนี่อาจจะเป็นหนึ่งในนักวิจัยขององค์กรลับที่พบกับภยันตรายถึงชีวิต และอาจเกิดเหตุไวเกินไปจนหาทางหนีออกจากสถานการณ์นั้นไม่ได้

ในขณะเดียวกัน เด็กคนนี้ที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับคนคนนั้นอยู่ที่นั่นพอดี และดูจากเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ที่เด็กสาวสวมใส่อยู่ บางทีแล้ว…

พล็อตคงเป็นแบบนี้ก็ได้… นักวิจัยคนหนึ่งมีความลับและถูกองค์กรชั่วร้ายจับเป็นตัวประกันและขู่จะฆ่าคนที่เขารัก

สุดท้ายแล้ว นักวิจัยคนนั้นก็เหลือรอดจนระเบิดตัวตาย ไม่สนชีวิตของตัวเองอีกต่อไป และให้เด็กสาวสวมเสื้อของเขาเพื่อหลบหนีมาขอความช่วยเหลือ

หลินเจี๋ยรู้สึกว่านี่แหละคือเรื่องราวอีกด้าน

แล้วทำไมร่างของเด็กสาวถึงเต็มไปด้วยบาดแผลล่ะ? เพราะว่าตอนนั้นทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอยู่ไง

แล้วทำไมร่างของเด็กสาวถึงเปียกปอนได้ขนาดนี้? ก็เพื่อทุเลาแผลเผาไหม้ที่ได้มาจากการหลบหนีไง

แล้วทำไมเธอถึงใส่เสื้อของคนอื่นล่ะ? เป็นการตอบโต้คำขู่คุกคามนั่น เจ้าของเสื้อโค้ตก็เลยให้เธอหนีมาไง

เด็กสาวส่ายหน้าหวืด ๆ จ้องมองหลินเจี๋ยด้วยสายตาอ้อนวอน

หลินเจี๋ยปิดเครื่องมือสื่อสารแล้วถอนหายใจ เขาเก็บมันลงไปในกระเป๋าและปลอบโยนเธอ “ได้สิครับ ผมไม่ต่อสายแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราต้องมั่นใจว่าเธอจะไม่เป็นไรนะครับ…บาดแผลภายนอกน่ะรักษาง่าย แต่แผลภายในที่มองไม่เห็นเลยนี่สิ ถ้าอวัยวะภายในเธอพังไปละก็คงขำกันไม่ออกแน่ ๆ เพราะมันเกี่ยวกับความเป็นความตายของเธอเลยนะครับ”

แล้วเขาจึงเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่หมอ แต่ก็ยังช่วยรักษาแผลส่วนใหญ่ได้อยู่… เธอต้องให้เหตุผลเพื่อให้ผมโล่งใจหน่อยถ้าเธอไม่อยากไปโรงพยาบาลนะ

“เพราะงั้น ช่วยให้ความร่วมมือแล้วให้ผมดูบาดแผลหน่อยนะครับ โอเคนะ?”

หลินเจี๋ยสังเกตเด็กสาวตรงหน้าแล้วเผยสีหน้าพึ่งพาได้อันแสนจริงใจ พร้อมเอื้อมมือไปบีบมือเย็น ๆ ของเด็กสาวเพื่อมอบความอบอุ่นและกำลังใจให้

เฮ้อ… นี่ฉันใจดีจนยินดีช่วยเหลือคนแปลกหน้าขนาดนี้เลยสิน้า เด็กนี่คงไม่โชคดีขนาดนี้หรอกถ้าไปเจอคนอื่นแทนน่ะ

ประสบการณ์อันเจ็บปวดนั่นคงทิ้งความชอกช้ำทางใจเอาไว้แน่ ๆ

ต้องให้เธอประสบพบกับความอบอุ่นของโลกใบนี้ซะแล้ว!

เด็กสาวก้มลงมองมือของตนที่ถูกกุมเอาไว้ และนั่นทำให้เธอสัมผัสได้กับสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะตัวแข็งค้างไป ก่อนจะพยักหน้าเงียบ ๆ

“เก่งมากครับ ถ้ารู้สึกไม่สบายอะไรก็ส่งเสียงบอกได้เลยนะ”

หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปกดบริเวณที่อาจรู้สึกเจ็บได้ “เจ็บไหมครับ”

เด็กสาวส่ายหน้า

หลินเจี๋ยตรวจสอบร่างกายเธอคร่าว ๆ บริเวณอื่นต่อไป

ถือว่าแปลกมาก

ร่างกายของเธอเห็นได้ชัดว่าน่วมจากแรงระเบิด แต่เธอกลับไม่มีแผลอวัยวะภายในเลยสักนิด ถึงจะมีกระดูกร้าวบ้างก็ตาม

“ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกครับ ถ้าไม่มีแผลภายในร้ายแรงอะไร แต่เธอยังต้องได้รับการรักษาอย่างดีนะ…”

เด็กสาวเหลือบมองหลินเจี๋ยด้วยสายตางงงวย ทว่าความคิดของเธอที่เพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เธอกระชับมือที่จับไว้

เมื่อแนะนำไปแบบนี้แล้ว หลินเจี๋ยก็ถามต่อ “มีอะไรที่อยากได้อีกไหมครับ เดี๋ยวผมจะไปห้องใต้ดินเพื่อไปเอาเครื่องมือมารักษาแผลภายนอกเธอสักหน่อย เดี๋ยวผมมานะ”

“หนาว” เด็กสาวเหลือบมองประตูที่เปิดค้างไว้อยู่

“อ๊ะ ผมลืมปิดนี่เอง ขอเวลาสักครู่นะครับ” หลินเจี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นสาวเท้าไปที่ประตู

นัยน์ตาของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เมื่อเธอเพ่งมองหลินเจี๋ยที่กำลังปิดประตู เธอก็ลุกขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งหมอบบนเก้าอี้ชายหาด ทั้งร่างของเด็กสาวเกร็งขึ้นราวกับสายธนูที่ถูกง้าง เตรียมยิงลูกศรออกไปทุกเวลาเพื่อสังหารชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่วงท่างดงาม…

ทันใดนั้นเองที่เด็กสาวก็หยุดการกระทำของตน สายตาของเธอที่กำลังจ้องหลินเจี๋ยได้เปลี่ยนไปจ้องรูปปั้นการ์กอยล์บนเคาน์เตอร์ในทิศทางเดียวกันแทน

เมื่อเห็นดวงตาสีแดงระยิบระยับของการ์กอยล์นั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอีเธอร์ขับเคลื่อนอันชั่วร้ายและอำมหิตในปริมาณมหาศาลซึ่งหมุนเวียนอยู่ในตัวมัน

ความเย็นยะเยือกน่าขนลุกเกาะกุมหัวใจของเธอ นี่มันความรู้สึกที่ถูกจับตามอง!

เจ้าการ์กอยล์นี่มีชีวิตนี่นา!

นี่มันไม่ต่างกับการตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายสำหรับเด็กสาวเลยสักนิด เมื่อรู้ตัวเธอก็เปิดตากว้างเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมอีกครั้ง ความสัมพันธ์กับอีเธอร์ที่ไม่ได้ฟื้นฟูเพราะบาดแผลได้กลับมาหมุนเวียนรอบตัวอีกครั้ง

ทุกอย่าง… ที่นี่… มีชีวิตหมดเลย

ทั้งร่างของเธอกริ่งเกร็งยามมองหลินเจี๋ยซึ่งตอนนี้ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว

มนุษย์เดินดินธรรมดา?

เธอกลับไปนอนลงกับเก้าอี้ชายหาดอย่างว่าง่าย